มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 14 ปู้เหล่าหลินในศาลเจ้าเก่า
เยาซงซานกล่าว “คนผู้นี้ลึกลับยิ่งนัก มีเพียงไม่กี่คนที่เคยพบเจอเขา ในงานเลี้ยงซื่อไห่ก็มิได้ปรากฏตัว มีแต่ผู้ชนะทั้งสี่ที่จะได้เจอเขาในลานเมฆตอนที่รับมอบของวิเศษ สหายธรรมที่เคยเจอเขาก่อนหน้านี้ต่างกล่าวชื่นชมเขาเอาไว้มาก”
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว ในใจคาดเดาว่าคนที่เขาต้องการพบน่าจะเป็นคนผู้นี้
เยาซงซานกล่าว “หากอาจารย์อาไม่อยากถูกคนรบกวน ถ้ายังไงให้ข้าออกหน้าไปยุติเรื่องนี้กับทางกรมชิงเทียนดีหรือไม่ขอรับ”
เรื่องนี้ที่ว่าย่อมต้องหมายถึงเรื่องที่กรมชิงเทียนเรียกผู้บำเพ็ญพรตมาล้อมโจมตีเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่ว
เยาซงซานเป็นเพียงศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง แต่กลับบอกว่าตัวเองจะออกหน้ายุติเรื่องนี้ได้อย่างใจเย็น ช่างดูสุขุมและมั่นใจในตัวเองยิ่งนัก
“ไม่ต้อง เจ้าทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ไปแล้วกัน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เอาไว้ถึงเวลาที่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวแล้วค่อยว่ากัน”
เยาซงซานกล่าว “ศิษย์รับทราบ”
……
……
เมื่อกลับมาถึงโรงเตี้ยม เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวถาม “เหตุใดเจ้าต้องเจอซีหวังซุน?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าสงสัยว่าเขาจะเป็นคนผู้หนึ่ง”
คิ้วของเจ้าล่าเยวี่ยเลิกขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “อินซาน?”
เมื่อดูจากช่วงเวลาแล้ว ตอนที่อินซานตายกับตอนที่ซีหวังซุนจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ซีไห่นั้นใกล้เคียงกันอย่างมากจริงๆ
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่แน่ใจ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “อินซานคือใครกันแน่? เหตุใดเจ้าจึงดึงดันคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่?”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่ตอบคำถามนี้
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “อย่างนั้นพวกเราจะเข้าร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่ไหม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่เป็นศิลปะทั้งสี่”
เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกแปลกใจ กล่าวถามว่า “มีเรื่องที่เจ้าทำไม่เป็นด้วยหรือนี่?”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ กาลก่อนนั้นไม่มีเวลา แล้วก็มิได้สนใจในเรื่องนี้ ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านก็ไม่มีคนเล่นสิ่งเหล่านี้
เขาถามว่า “เจ้าเป็นไหม?”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนกล่าวว่า “ตอนยังเด็กเคยเรียนอยู่ไม่กี่วัน มิได้สนใจอะไร”
ขณะที่พูดคุยกัน พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าร่องรอยของตนเองได้ถูกกรมชิงเทียนพบเข้าแล้ว
ในเมืองไห่โจวอย่างน้อยก็มีดวงตานับหลายร้อยคู่คอยจับตามองตามโรงเตี๊ยมและศาลเจ้าเทพทะเลต่างๆ เอาไว้อยู่ เป้าหมายใดๆ ก็ตามที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยล้วนไม่มีทางคลาดสายตา
พวกเขาซึ่งสวมหมวกลี่เม่าย่อมต้องดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ถูกกรมชิงเทียนยืนยันว่าเป็นเป้าหมายอย่างรวดเร็ว
เวลากลางดึก บริเวณรอบๆ โรงเตี๊ยมมีไอพลังบางๆ คล้ายมีคล้ายไม่มีปรากฏขึ้นนับหลายสิบสาย ไอพลังเหล่านั้นคือผู้บำเพ็ญพรตที่มาจากสถานที่ต่างๆ ของแผ่นดิน
ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นเว้นระยะห่างระหว่างกันหลายสิบจ้าง กลายเป็นเหมือนตาข่ายตาห่างๆ ล้อมโรงเตี๊ยมเอาไว้ตรงใจกลางของตาข่าย
กระบี่บินเล่มหนึ่งลอยนิ่งๆ อยู่ในหมู่เมฆยามค่ำคืน
บนบันทึกคดีเขียนระบุเอาไว้อย่างชัดเจน สองคนนั้นท่องไปทั่วทั้งแผ่นดิน มิเคยขี่กระบี่บินมาก่อน แต่กรมชิงเทียนมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องมีความสามารถในการขี่กระบี่อยู่อย่างแน่นอน เพื่อป้องกันมิให้อีกฝ่ายขี่กระบี่หนีไป การให้เหอจือชงผู้อาวุโสแห่งคุนหลุนซึ่งมีสภาวะลึกล้ำคอยป้องกันท้องฟ้าเอาไว้จึงเหมาะสมที่สุด ส่วนเยาซงซานของสำนักชิงซานถูกจัดให้อยู่ใกล้กับโรงเตี๊ยมมากที่สุด
สำนักกระบี่ซีไห่ที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเมืองเจาเกอมาโดยตลอด มิได้ส่งยอดฝีมือเข้าร่วมการล้อมสังหารกับกรมชิงเทียนในครั้งนี้ แต่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือท้องทะเล แรงกดดันสายหนึ่งลอยล่องมาพร้อมสายลม เห็นได้ชัดว่ามียอดฝีมือที่มีสภาวะสูงส่งผู้หนึ่งอยู่ตรงนั้น อาจเป็นเพราะกังวลว่าแผนการล้อมสังหารของกรมชิงเทียนจะสร้างความวุ่นวายให้แก่เมืองไห่โจว จึงเตรียมพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ
ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งเรียบร้อย เมื่อพลุดอกหนึ่งลอยขึ้นฟ้า กองทัพเสินเว่ยจำนวนหลายร้อยคนก็แห่กันเข้าไปในโรงเตี้ยม เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังขึ้นราวกับสายฝนที่โหมกระหน่ำ มิได้กลัวเลยว่าจะทำให้แขกในโรงเตี๊ยมตื่นตกใจ
……
……
มาตรว่าเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงที่บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเล ก็ไม่มีทางคาดเดาความคิดของคนธรรมดาที่เดินไปเดินมาบนท้องถนนเหล่านั้นจากสายตาของพวกเขาได้ นอกเสียจากต้องไปอยู่ในภูเขาที่รกร้าง ดังนั้นขอเพียงเข้ามาในเมืองหรือในหมู่บ้าน ก็ไม่มีทางที่จะสามารถปิดบังร่องรอยของตัวเองได้ แม้นจะเป็นจิ๋งจิ่วหรือเจ้าล่าเยวี่ยก็ไม่สามารถเช่นเดียวกัน
แต่ในตอนที่ผู้บำเพ็ญพรตคนแรกมาถึงด้านนอกโรงเตี๊ยม เจ้าล่าเยวี่ยพลันตื่นขึ้นมา
นางสวมหมวกลี่เม่า เดินไปยังข้างหน้าต่างยืนเคียงข้างจิ๋งจิ่ว สายตามองดูุถนนยามค่ำคืนที่คล้ายเงียบสงบ แต่ความจริงแล้วกลับมีความอันตรายแอบแฝงอยู่
สีหน้าจิ๋งจิ่วยังคงเรียบเฉย มองไม่เห็นถึงความกังวลใดๆ
หากเขาและเจ้าล่าเยวี่ยเปิดเผยตัว ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเปิดฉากโจมตีใส่พวกเขา มาตรว่ากรมชิงเทียนจะสูญเสียทั้งกำลัง เวลาและทรัพยากรไปมากมายกว่าจะจัดแผนล้อมสังหารครั้งนี้ขึ้นมาได้ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงมองดูพวกเขาเดินจากไป แต่หากต้องทำเช่นนี้จริงๆ ตอนที่อยู่ในที่พักเซียนเมื่อช่วงหัวค่ำก็ควรจะให้เยาซงซานเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้
เจ้าล่าเยวี่ยมิรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
แผ่นไม้บนพื้นพลันเลื่อนไปยังมุมกำแพง เผยให้เห็นปากทางเข้าอุโมงค์
ดอกมะลิสีขาวดอกหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากในเงามืด
นั่นคือเสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงที่บรรเลงเพลงอยู่ในร้านหม้อไฟเมื่อตอนกลางวัน
เสี่ยวเหอกวักมือเรียกพวกเขา พลางกล่าวเสียงเบาๆ “ตามข้ามา”
ภายในโรงเตี๊ยมมีทางใต้ดินด้วยหรือนี่? ปิดบังกรมชิงเทียนเอาไว้ได้อย่างไร?
แม้นยอดฝีมือของกรมชิงเทียนจะมีอยู่ไม่มาก แต่ก็เป็นไปได้ยากที่จะพลาดรายละเอียดเช่นนี้
จิ๋งจิ่วมิได้ลังเล เขาก้าวเดินไปทางอุโมงค์
เจ้าล่าเยวี่ยพลันเข้าใจขึ้นมาทันที ที่แท้เขาก็รอคอยการปรากฏตัวของหญิงสาวผู้นี้มาโดยตลอด
อุโมงค์ยาวเหยียด ไม่มีแสงสว่างใดๆ มืดมิดราวหุบเหวลึก
หากไม่เป็นเพราะจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยมีความสามารถในการมองเห็นอันยอดเยี่ยม การเดินในอุโมงนี้ก็เรียกได้ว่ายากลำบากยิ่งนัก
เสี่ยวเหอเป็นปีศาจบำเพ็ญพรต มองไม่เห็นถึงสภาวะที่แท้จริง แต่กลับเดินนำอยู่ข้างหน้าอย่างคล่องแคล่ว แล้วก็มิรู้ว่านางมีแผนการอะไรหรือเปล่า
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเสี่ยวเหอก็หยุดฝีเท้า
เจ้าล่าเยวี่ยคาดคะเนจากเวลาและความเร็ว พวกเขาน่าจะออกจากเมืองไห่โจวมานานแล้ว
“ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่าให้รีบออกจากเมืองไห่โจว? เหตุใดพวกท่านจึงไม่ฟัง?”
เสี่ยวเหอมองพวกเขาพลางกล่าว “ข้าขอบอกพวกท่านไว้ก่อน หากเข้าไปแล้ว จะไม่มีทางออกมาได้อีก”
จิ๋งจิ่วมองดูนางเงียบๆ ก่อนจะมั่นใจว่านางพูดความจริง
คำพูดประโยคนี้เดิมเป็นคำพูดสองแง่สองง่าม มีความหมายซ้อนกันสองชั้น
ประตูหินอันหนักอึ้งถูกผลักออก มิได้ส่งเสียงใดๆ
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินตามเสี่ยวเหอออกไปนอกอุโมงค์ใต้ดิน
สายลมยามค่ำคืนโถมเข้ามา แฝงไว้ด้วยกลิ่นเค็มและกลิ่นคาว
เสียงคลื่นดังชัดเจน น่าจะอยู่ไม่ไกล
ที่ีนี่คือผาขาดแห่งหนึ่งที่อยู่ริมทะเล บนหน้าผามีศาลเจ้าเทพทะเลเก่าแก่ที่ไม่มีใครมากราบไหว้อยู่แห่งหนึ่ง
ในเวลานี้ พวกเขาอยู่ด้านหน้าประตูศาลเจ้า
ไกลออกไปมีลำแสงกระบี่ปรากฏเลือนราง คอยส่องสว่างผิวน้ำทะเลเป็นพักๆ
ทะเลตะวันตกในเวลากลางคืนคล้ายบ่อน้ำหมึกที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกหา
บนท้องฟ้ายามค่ำคืนมีไอพลังที่คล้ายมีคล้ายไม่มี กำลังจับจ้องมายังศาลเจ้าเทพทะเล
“เข้ามา”
เสียงของเสี่ยวเหอแลดูห่างไกล คล้ายจนปัญญาเล็กน้อย
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยหมุนตัวเดินเข้าไปในศาลเจ้า
เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูที่ถูกลมทะเลพัดจนผุพัง เดินผ่านกำแพงที่เต็มไปด้วยดอกเกลือ พวกเขาก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของศาลเจ้าเทพทะเล
ตรงนั้นมีรูปปั้นเทพทะเลอยู่องค์หนึ่ง สภาพเสียหายอย่างหนัก ส่วนหัวของรูปปั้นเหลืออยู่เพียงครึ่ง
คนชุดดำคนหนึ่งก้าวเดินออกมาจากด้านหลังรูปปั้นเทพทะเล
“เวลาที่เจ้าเผชิญหน้ากับความเป็นปรปักษ์ของทั้งโลก ควรจะทำอย่างไร?”
คนชุดดำมองเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าว “เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากอีกโลกหนึ่ง หรือไม่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกนั้น”
เสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบแห้ง คล้ายดั่งมีพลังเวทมนตร์อะไรบางอย่าง
เจ้าล่าเยวี่ยเลิกคิ้วที่ดูคล้ายกระบี่สั้นสองเล่ม พลางกล่าวว่า “ปู้เหล่าหลิน?”
……………………………………………………………………………