มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 132 ดอกสาลี่เบ่งบาน
แสงอาทิตย์รุ่งอรุณปรากฏกายได้เพียงครู่หนึ่งก็ถูกเมฆกลืนกินไปอย่างรวดเร็ว
มิรู้เป็นเพราะอากาศหนาวเย็นเกินไปหรือเปล่า สีของแสงอาทิตย์คล้ายจางลงไป ดูไร้เรี่ยวแรง
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปหน้าเมืองไป๋เฉิง เหลียวหน้ากลับไปมองยังทิศเหนือ
ที่ราบหิมะอยู่ตรงหน้า จิ๋งจิ่วอยู่ข้างใน แต่นางกลับเข้าไปไม่ได้
ด้วยสภาวะของนาง ต่อให้เข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ นางไม่สามารถที่จะฝ่าหมอกอันหนาวเย็นนั่นไปได้ด้วยซ้ำ เข้าไปก็มีแต่ต้องตาย
ในเวลาแบบนี้ นางต้องการความช่วยเหลือ แต่สำนักชิงซานไม่อนุญาตให้นางเข้าไป แล้วก็ย่อมไม่มีทางช่วยนาง ดังนั้นนางจึงได้แต่ต้องไปหาคนผู้นั้น
เดิมเมื่อคืนหยวนฉีจิงไม่อยากพบนาง แต่นางพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา หยวนฉีจิงเลยชี้ทางให้นาง
ทางเส้นนั้นมุ่งไปยังวัดแห่งหนึ่ง
ในเมืองไป๋เฉิงมีวัดอยู่แห่งเดียว หาไม่ยาก
นางเดินไปถึงหน้าวัด เดิมคิดว่าจะเจอคนผู้นั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางกลับได้เจอกั้วตงก่อน จึงรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ
กั้วตงนั่งอยู่บนธรณีประตู ไม่รู้กำลังครุ่นคิดเรื่องใดอยู่
สองข้างของประตูวัดมีกลอนคู่ติดเอาไว้
“ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากคือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เรียนรู้ธรรมะคือการเรียนรู้ตัวเอง”
บางทีกลอนคู่นี้อาจจะมีความหมายอะไรล้ำซึ้ง แต่เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ไปคิดถึงมัน หากแต่เดินเข้าไปในวัด
ในตอนที่ร่างกายเฉียดผ่าน กั้วตงถามว่า “อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว?”
เจ้าล่าเยวี่ยส่งเสียงอืม จากนั้นเดินไปยังหน้าพระพุทธรูปทองคำพลางหรี่ตามอง
แม้นแสงแดดยามเช้าจะอ่อนแรง แต่เมื่อสะท้อนกับสีทอง มันยังคงดูเจิดจ้า
พระพุทธรูปทองคำองค์นั้นดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ มือกุมท้อง ใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาหรี่เล็ก
สายตาของนางมองไปยังดาบที่วางอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูป
ดาบเล่มนั้นยาวเหมือนคานบ้าน ไม่รู้ว่าหนักเท่าไร
เมื่อคิดถึงเรื่องราวเล่าขานของดาบเล่มนี้ ดวงตาเจ้าล่าเยวี่ยค่อยๆ เปล่งประกาย เกิดเป็นความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
เพียงแต่เจ้าของดาบเล่มนี้อยู่ที่ไหน?
นางหมุนตัวเดินไปที่ประตูวัด กล่าวถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
กั้วตงกล่าว “นางกำลังคลอดลูก”
เจ้าล่าเยวี่ยงุนงง ถามว่า “ใคร?”
กั้วตงกล่าว “ราชินีหิมะ”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ถามว่า “หมอกคืออะไร?”
“หมอกพวกนั้นล้วนแต่เป็นเลือดลมของนาง” กั้วตงมองดูไอหมอกที่อยู่ทางเหนือ กล่าวว่า “นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตนาง ดังนั้นนางจึงใช้เลือดลมเรียกรวมเผ่าพันธุ์ทั้งหมดกลับมาโดยไม่เสียดาย เพื่อจะได้ไม่ถูกคนรบกวน แต่แน่นอน นางเองก็ไม่มีทางที่จะเป็นฝ่ายทำการยั่วยุด้วยเช่นกัน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือ ผู้หญิงคลอดลูกจะเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แล้วก็อ่อนแออย่างมาก”
กั้วตงกล่าว “ข้าก็เคยอ่านเจอในหนังสือเช่นกัน เพราะว่าอยากรู้อยากเห็นเลยอ่านดูครั้งหนึ่ง ผู้หญิงที่คลอดลูกนั้นเจ็บปวดจริงๆ แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนแอจริงๆ ข้าคิดว่า เผลอๆ นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดในชีวิตอันยาวนานของนางก็เป็นได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่เรียกรวมยอดฝีมือทั้งหมดในโลกบำเพ็ญเข้าไปยังที่ราบหิมะเพื่อสังหารนาง?”
“อันดับแรก ตอนนี้นางยังไม่ได้คลอด ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าต้องรออีกกี่ปี”
กั้วตงกล่าว “ต่อให้นางคลอดแล้วจริงๆ เจ้าคิดว่าจะมีกี่คนที่กล้าเข้าไปฆ่านาง?”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือนี่มิใช่โอกาสที่ดีที่สุดของมนุษย์?
“หากเรียกรวมยอดฝีมือทั้งหมดของมนุษย์มา ต่อให้ไม่เอาพวกพรรคมารมาด้วย แน่นอนว่าอาจจะฆ่านางได้โดยไม่ต้องรอให้นางคลอดลูกได้เช่นกัน”
กั้วตงเงยหน้าขึ้นมากล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ผู้บำเพ็ญพรตเก้าในสิบคนที่เข้าร่วมอาจจะต้องตาย เช่นนี้ยังจะมีใครยอมละทิ้งหนทางที่จะมีชีวิตยืนยาวเข้าไปสู้จนตัวตายล่ะ?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แต่ยังไงก็ต้องมีคนทำเรื่องนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กั้วตงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ดูค่อนข้างชื่นชม
เมื่อนานมาแล้ว นางก็เหมือนกับเจ้าล่าเยวี่ยในตอนนี้ อีกทั้งยังติดต่อกับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละสำนัก และบอกเล่าแผนการของตัวเองให้ฟัง
นางไปยังเขาด้านหลังเขาอวิ๋นเมิ่งและยอดเขาซ่อนเร้นในชิงซาน
แต่ว่านอกจากเจ้าปัญญาอ่อนนั่นแล้ว ไม่มีใครที่จะตอบรับคำเชิญของนางเลย
คำตอบของจิ่งหยางนั้นเด็ดขาดที่สุด
เด็ดขาดเสียจนหลังจากวันนั้น นางก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย
“หลายปีมานี้ มีเพียงเจ้าปัญญาอ่อนนั่นที่สู้อยู่ที่นี่ไม่หยุด เจ้าเคยเห็นพวกเขามาไหมล่ะ?”
กั้วตงนั่งอยู่บนธรณีประตู มือชี้ไปยังยอดฝีมือแห่งโลกบำเพ็ญพรตที่ยังไม่ยอมปรากฏตัวที่อยู่ด้านหลังเมฆเหล่านั้น พลางกล่าวด้วยสีหน้าดูถูก
เจ้าล่าเยวี่ยมองนางพลางกล่าวถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
มีท่าทีต่อยอดคนอย่างเจ้าสำนักจงโจว เทพกระบี่ซีไห่ หยวนฉีจิงเช่นนี้ ใช้คำว่าปัญญาอ่อนมาเรียกเทพดาบ เช่นนั้นนางย่อมต้องไม่ใช่ศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยแน่
กั้วตงมิได้ตอบคำถาม
เสียงถอนใจเสียงหนึ่งดังขึ้นภายในวัด
กั้วตงมิได้สนใจ
เจ้าล่าเยวี่ยหมุนตัวมองเข้าไป นางยังคงมองไม่เห็นผู้ใด แล้วก็วิเคราะห์ไม่ออกมาเสียงนี้มาจากทางไหน
“ข้าเข้าใจว่าเจ้ามาทำไม แต่ข้ามิอาจช่วยเจ้าได้”
เสียงนั้นฟังดูจริงใจและกังวาน ดังสะท้อนไปในวัด คล้ายดังขึ้นมาจากทั่วทุกที่ แล้วก็คล้ายขาดอะไรไปบางอย่าง ทำให้ผู้ฟังรู้สึกหงุดหงิด
มองไม่เห็นคน แต่เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร
นางคารวะเข้าไปในวัดอย่างจริงจัง กล่าวว่า “เจ้าล่าเยวี่ยแห่งชิงซาน คารวะท่านเทพดาบ”
……
……
เจ้าของเสียงนั้นภายในวัดก็คือเทพดาบ
เขาคือผู้สืบทอดที่ลงมายังโลกปุถุชนรุ่นที่สามของวัดกั่วเฉิง ได้รับคำสั่งให้มายังทิศเหนือ เข้าไปอยู่ในสำนักเฟิงเตา
เขาคว้าที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยด้วยฐานะศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของสำนักเฟิงเตา แต่กลับปฏิเสธกลับไปยังวัดกั่วเฉิงเพื่อสืบทอดวิชาจากเจ้าอาวาส
ในช่วงเวลาหลายปีหลังจากนั้น สำนักเฟิงเตาที่อ่อนแอก็กำราบสำนักคุนหลุนเอาไว้ กลายเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในภาคเหนือของแผ่นดินเฉาเทียน
ตัวเขาเองก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกเคารพยำเกรงมากกว่านั้นก็คือเขามายังเมืองไป่เฉิง จากนั้นก็ไม่เคยออกไปจากเมืองอีกเลย
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขานำลูกศิษย์และสาวกร่วมมือกับกองทัพเจิ้นเป่ย คอยต่อสู้กับการรุกรานของสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ย
หากมองไปในโลกนี้แล้ว เขาเป็นเพียงคนเดียวที่กล้าต่อสู้กับราชินีแคว้นเสวี่ย ยิ่งไปกว่านั้นยังสู้โดยโดยไม่หยุดพักด้วย
หลายปีมานี้ เขาและราชินีแคว้นเสวี่ยไม่รู้ว่าต่อสู้กันมาแล้วกี่ครั้ง บาดเจ็บสาหัสจนใกล้ตายกี่ครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้
ดาบเดียวดายสะกดหิมะ
ย่อมต้องกลายเป็นเทพ
……
……
วิถีกระบี่ของเทพกระบี่ซีไห่นั้นล้ำลึกเหลือประมาณ เทียบได้กับเทพเซียน ดังนั้นจึงได้รับการขนานนามว่าเทพกระบี่ แต่สำนักกระบี่อย่างชิงซานและอู๋เอินเหมินล้วนแต่ไม่เคยยอมรับ
แต่ในแผ่นดินเฉาเทียนไม่มีใครกล้าไม่ยอมรับฉายาเทพดาบนี้
มิเช่นนั้น เจ้าก็เข้ามา
นอกจากนักพรตจิ่งหยางแล้ว มีน้อยคนนักที่ทำให้เจ้าล่าเยวี่ยยอมรับได้
หากพูดอย่างไม่เคารพล่ะก็ กระทั่งยอดคนอย่างเจ้าสำนักชิงซานหรือเทพกระบี่ซีไห่ นางก็ไม่คิดว่ายอดเยี่ยมอะไร
ก็แค่อยู่มานานกว่าเท่านั้นมิใช่หรือ?
— หากข้าสามารถอยู่ได้นานขนาดนั้น ไม่แน่อาจจะแข็งแกร่งกว่าก็เป็นได้
แต่เทพดาบนางยอมรับ
เพราะนางทำแบบนี้ไม่ได้
ดังนั้นในตอนที่ทำการคารวะนางจึงตั้งใจเป็นอย่างมาก ร่างกายโน้มต่ำลง
เทพดาบกล่าว “ในเมื่อเจ้าแห่งยอดเขาเป็นศิษย์ของนักพรตจิ่งหยาง เช่นนั้นก็พูดคุยกับข้าด้วยฐานะที่เท่าเทียมกันก็ได้”
เจ้าล่าเยวี่ยยืดตัวขึ้นมา กล่าวถามว่า “เช่นนั้นก็ขออภัยที่ข้าถามตามตรง เหตุใดถึงช่วยข้าไม่ได้?”
หากถามว่ามีใครกล้าที่จะเข้าไปในที่ราบหิมะในเวลาแบบนี้แล้วพาจิ๋งจิ่วออกมา คนผู้นั้นก็ย่อมต้องเป็นเทพดาบ
เขามีความกล้านี้ และมีความสามารถนี้
“ข้ากับนางต่อสู้กันมายาวนาน แต่ข้าไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน ทั้งอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่ง โกรธเกรี้ยวง่าย อีกทั้งฉุนเฉียว…ข้ามีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องหยั่งเชิงหรือท้าทาย เพียงแค่การเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยที่สุดก็สามารถทำให้นางเกิดความเข้าใจผิดได้แล้ว นางจะทำการโจมตีกลับอย่างรุนแรงที่สุด พูดอีกอย่างก็คือนางมีโอกาสที่จะคุ้มคลั่ง ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้คนที่อยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้นยินดีช่วยเหลือ และพวกเราสามารถสังหารนางได้จริงๆ แต่จะมีคนบนโลกอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ต้องตายตามนางไปด้วย แต่ถ้าตอนนี้พวกเราไม่ขยับ ดินแดนทางเหนือก็น่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่สงบสุขที่สุด นางต้องเลี้ยงลูก ก็น่าจะค่อนข้างยุ่งใช่ไหมล่ะ? อย่างนั้นช่วงเวลานี้ก็อาจจะค่อนข้างยาวนานก็เป็นได้”
เมื่อฟังคำพูดนี้จบ เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
เมื่อเทียบกับความสงบสุขของดินแดนทางเหนือที่อาจจะยาวนานหลายสิบปีหรืออาจจะยาวนานกว่านั้นแล้ว อย่าว่าแต่จิ๋งจิ่วหรือไป๋เจ่าเลย ต่อให้เป็นคนที่สำคัญกว่านั้นก็ไม่มีค่าให้พูดถึง
“เช่นนั้นก็ต้องรอต่อไปแบบนี้? รอจนกระทั่งนางคลอดลูกแล้วทำยังไงต่อ? ถึงตอนนั้นเผ่าพันธุ์มนุษย์อาจจะต้องเผชิญหน้ากับราชินีสองตัว”
“โลกของแคว้นเสวี่ยนั้นเรียบง่ายกว่าพวกเราทางนี้ ราชินีจะมีได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น เอาไว้เมื่อนางเลี้ยงลูกจนโตแล้ว เชื่อว่าพวกนางน่าจะต่อสู้กันเพื่อตัดสินแพ้ชนะก่อน หากถึงตอนนั้นผู้ชนะอยากจะบุกลงใต้ ข้าก็จะสู้กับราชินีตัวนั้น”
“กระทั่งตอนนี้ท่านก็ยังไม่กล้าเข้าไป หรือภายหน้าจะสู้นางได้?”
ทุกอย่างล้วนแต่มีเหตุผล แต่นางยังคงรู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้จะเป็นเทพดาบ นางก็ยังอยากจะค่อนแคะอีกฝ่ายสักประโยค
เสียงของเทพดาบราบเรียบเป็นอย่างมาก ออกจะฟังดูซื่อๆ เสียด้วยซ้ำ
“สู้น่ะสู้ไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้ก็สู้ไม่ได้…แต่ก็ยังต้องสู้”
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยไม่มีอะไรจะกล่าวอีก
เสียงของเทพดาบก็ไม่ดังขึ้นมาอีก
นางเดินไปที่ประตูวัด นั่งลงบนธรณีประตู มองไปทางที่ราบหิมะทิศเหนือ กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “หรือต้องรอแบบนี้ต่อไป?”
ก่อนหน้านี้นางถามคำถามเดียวกัน ครั้งนั้นนางหมายถึงราชินีหิมะ แต่ครั้งนี้นางหมายถึงจิ๋งจิ่ว
“หมอกนั่นหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ไม่มีใครที่จะมีชีวิตรอดอยู่ในนั้นได้ ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องรอ เพียงแต่ทุกคนมักจะวางท่าเหมือนเป็นห่วงและอยากจะทำอะไรสักอย่าง”
กั้วตงกล่าว “เจ้าลองดูสิ อีกไม่กี่วันทุกคนก็จะไปจากที่นี่ ความคึกคักในเมืองไป๋เฉิงจะหายไป”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แต่จิ๋งจิ่วยังไม่ตาย”
กั้วตงกล่าว “บางทีเขาอาจจะตายไปแล้ว บางทีอาจจะกำลังจะตาย แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องตาย”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ไม่ ต่อให้พวกเจ้าตายไปหมดแล้ว เขาก็ไม่มีทางตาย”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ ภายในวัดพลันเงียบสงัด
เด็กสาวสองคนนั่งอยู่บนธรณีประตู
พระพุทธรูปทองคำมองดูพวกนาง
……
……
หมอกอันหนาวเหน็บปกคลุมที่ราบหิมะ
เรือวิเศษของแต่ละสำนักทยอยบินออกไป
เจ้าล่าเยวี่ยให้กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนตามเรือกระบี่ของชิงซานกลับไป แต่ตัวเองยังรั้งอยู่ที่นี่
เมืองไป๋เฉิงยิ่งหนาวขึ้นทุกขณะ
ฤดูใบไม้ร่วงเพิ่งมาถึง หิมะตกหนักลงมาหลายครั้ง บ่อน้ำภายในเมืองถูกแช่แข็ง เตาไฟยากจุดติด ต่อให้เป็นสาวกที่เลื่อมใสศรัทธามากที่สุดก็ยังถูกบีบให้ต้องไปจากนี่
กั้วตงก็ไปแล้วเหมือนกัน
เจ้าล่าเยวี่ยยังคงนั่งอยู่ที่ธรณีประตู
เมื่อผ่านฤดูหนาวไปก็เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศยังคงหนาวเย็น
กระทั่งฤดูร้อนมาถึง ไอหมอกบนที่ราบหิมะมิได้ลดน้อยลง ในที่สุดในเมืองไป๋เฉิงก็มีความอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
บ่อน้ำค่อยๆ ละลาย ดอกสาลี่เบ่งบานทั่วทั้งเมือง จิ๋งจิ่วยังไม่กลับมา
เจ้าล่าเยวี่ยลุกขึ้น เปียสีดำห้อยตกลงมา ยาวขึ้นกว่าปีที่แล้ว
นางจับเปียขึ้นมา ตัดมันเบาๆ ก่อนจะโยนลงพื้นแล้วเดินจากไป
ลมพัดโชย ผมสั้นปลิดปลิว
…………………………..