มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 129 ผลจากการเจรจาค่อนข้างยอดเยี่ยม
กั้วตงยิ้มเยาะเล็กน้อย
นางไม่ชื่นชอบคนเหล่านี้ ไม่มีความเด็ดขาดเลยแม้แต่นิดเดียว ไหนเลยจะเหมือนจิ่งหยางเมื่อในอดีต บอกทำก็ทำ ถึงแม้นจะเป็นศิษย์พี่ที่สั่งสอนตนเองมาแต่เล็ก ก็ยังกล้าที่จะเอากระบี่แทงไปที่ด้านหลัง บอกไม่ทำก็ทำ ถึงแม้สหายจะตายไปต่อหน้า แต่ใบหน้าก็มิได้เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย
นางมองดูท้องฟ้าทางด้านตะวันตก ในใจครุ่นคิดว่าเห็นๆ อยู่ว่าเจ้าไม่อยากเข้าไป เหตุใดต้องมาที่นี่แล้วแสร้งทำเป็นรักใคร่ลูกสาวด้วย?
จากนั้นนางมองไปทางท้องฟ้าทิศใต้ ในใจครุ่นคิดว่าคนที่อยากจะให้สายสืบทอดของยอดเขาเสินม่อสิ้นสุดลงมากที่สุด เกรงว่าคงมีแต่เจ้าเท่านั้น เหตุใดต้องมาที่นี่แล้วแสร้งทำท่าทางเป็นห่วงจิ๋งจิ่วด้วย?
……
……
ห่างจากเมืองไป๋เฉิงไปทางใต้เก้าร้อยลี้คือเมืองจวี้เย่
สาขาหลักของสำนักเฟิงเตาตั้งอยู่ที่นี่ เจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองไป๋เฉิงไม่รู้กี่เท่า บนถนนเต็มไปด้วยแผงขายเนื้อแกะและร้านขายยา เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ขาดสาย
เมืองที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ ย่อมต้องมีร้านหม้อไฟ
ชายชรารูปร่างผอมเตี้ยผู้หนึ่งและชายหนุ่มหน้าตาดีผู้หนึ่งกำลังกินหม้อไฟกันอยู่
หม้อเยวียนยาง
น้ำแกงสีแดงเดือดปุดๆ นานแล้ว แต่น้ำแกงสีขาวยังคงสงบนิ่งอยู่ มองดูเหมือนหมอกที่อยู่ในส่วนลึกของที่ราบหิมะ
ชายหนุ่มถือตะเกียบยาว ลวกผ้าขี้ริ้วในน้ำแกงสีแดง ดวงตาเป็นประกาย ดูมีความสุขเป็นยิ่งนัก
ชายชราผอมเตี้ยผู้นั้นคือปรมาจารย์รุ่นที่สามของสำนักเสวียนอิน
ในเวลาแบบนี้ เขาไหนเลยจะมีใจมานั่งกินหม้อไฟ เขาใช้สายตาแปลกประหลาดมองดูชายหนุ่ม พลางกล่าวว่า “อร่อยขนาดนั้นเลยหรือ?”
ชายหนุ่มมิได้สนใจเขา มือขวาที่จับตะเกียบอยู่มีความมั่นคงเป็นอย่างมาก ประเดี๋ยวยกขึ้นประเดี๋ยวยกลง จากนั้นคีบผ้าขี้ริ้วส่งเข้าปาก คล้ายมิได้รู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าสำนักจงโจวและหยวนฉีจิงนั้นช่างเถอะ คนหนึ่งขั้นยานใหญ่ คนหนึ่งขั้นทะลวงสวรรค์ ในอดีตข้าเองก็เคยก้าวไปถึงจุดนั้นมาแล้ว”
ชายชราเตี้ยผอมหรี่ตา มองไปทางเหนืออันห่างไกลพลางกล่าวว่า “เหตุใดปราณดาบนี้กลับทำให้ข้าเกิดความรู้สึกอยากหลบหนี?”
ชายหนุ่มคีบเอาไส้ขึ้นมาจากน้ำแกงสีแดง ก่อนจะใส่เข้าปากเคี้ยวหยึบหยับพลางกล่าวเสียงอู้อี้ว่า “ตอนที่เจ้าหลบอยู่ใต้ดิน เกรงว่าเขายังไม่เกิดเลยกระมัง”
ชายชราเตี้ยผอมกล่าวว่า “ข้าย่อมต้องรู้ว่าเขาคือเทพดาบที่คนบนโลกเรียกขานกัน”
ชายหนุ่มยกชามดินเผาขึ้นมาซดน้ำบ๊วย ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างพึงพอใจ
“เขาเป็นอรหันต์ที่ถือกำเนิดมาจากการฆ่าฟันในพายุหิมะ วิถีที่เขายึดถือแตกต่างจากเจ้ามาแต่แรกแล้ว”
ชายชราเตี้ยผอมส่ายศีรษะ ชี้ไปยังทิศเหนือพลางกล่าวว่า “แคว้นเสวี่ยเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมกระทั่งข้าก็ยังรู้สึกหวาดกลัว”
ชายหนุ่มวางชามลง ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูร้อนขึ้นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเช็ดหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ก็แค่นางผู้นั้นกำลังจะคลอดลูกเท่านั้น”
ชายชราเตี้ยผอมได้ยินเช่นนี้จึงตกใจ กล่าวว่า “ราชินีหิมะ? แต่นางไม่ใช่คนนะ ทำไมถึงมีลูกได้?”
ชายหนุ่มมองเขาพลางกล่าว “แก่แล้วเลาะเลือนนะเจ้าเนี่ย ใครบอกว่ามีแต่คนเท่านั้นถึงจะมีลูกได้? พระสนมคนนั้นไม่มีมดลูกก็ตั้งท้องแล้วไม่ใช่หรือไง?”
ชายชราเตี้ยผอมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสลายความรู้สึกตกตะลึงภายในใจไปได้ จากนั้นมองเขาพลางกล่าวถามว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
ชายหนุ่มยิ้มพลางกล่าว “ข้าศึกษาคนและฟ้าดิน….เอาล่ะ พอมีชีวิตอยู่นานหน่อย เรื่องที่รู้ก็ย่อมต้องมากเป็นธรรมดา”
ชายชราเตี้ยผอมกล่าวอย่างหงุดหงิด “ข้าเองก็อยู่มานานเหมือนกัน”
ชายหนุ่มกล่าว “หลบอยู่ใต้ดิน ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่ได้รับรู้เรื่องราวบนโลก นั่นไม่เรียกใช้ชีวิต นั่นเรียกทนทรมาน”
“เอาล่ะ ถือว่าเจ้ามีเหตุผล”
ชายชราเตี้ยผอมมองดูชายหนุ่ม ก่อนกล่าวอย่างนับถือว่า “กระทั่งเจ้าสิ่งนั้นก็ยังเอามาอยู่ในแผนของตัวเอง เจ้านี่ช่างร้ายกาจจริงๆ”
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เพียงแค่ประจวบเหมาะพอดีเท่านั้น มิได้ร้ายกาจอะไรเลย”
ชายชราเตี้ยผอมเปลี่ยนประเด็น กล่าวถามว่า “เจ้าอยากให้เจ้าจิ๋งจิ่วนั่นตายขนาดนี้เลยหรือ? ต่อให้เขาเป็นผู้สืบทอดของศิษย์น้องเจ้า แต่ใดเจ้าต้องระวังตัวขนาดนี้? หรือว่า…เขายังมีความเป็นมาอย่างอื่นอีก?”
ชายหนุ่มรู้ว่าที่ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์พรรคมารผู้นี้กล่าวคำพูดไร้สาระตั้งมากมายขนาดนั้น ก็เพราะเขาอยากจะถามคำถามนี้ จึงยิ้มๆ มิได้อธิบายอะไร
ชายชราเตี้ยผอมหรี่ตา ไล่ถามต่อว่า “หรือจะบอกว่าถึงจิ๋งหยางจะตายไปแล้ว เจ้าก็ยังหวาดกลัวเขาอยู่?”
“ใช่สิ ข้ากลัวเขา เพราะข้ามองเขาไม่ออก นอกเสียจากเรื่องบรรลุกลายเป็นเซียนแล้ว ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาอยากได้อะไร ชอบอะไร”
ชายหนุ่มคีบเอาผักขึ้นมาสองสามก้าน เตรียมจะใส่ลงไปในน้ำแกงสีแดง แต่เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอามันใส่ลงไปในน้ำแกงสีขาวที่ยังไม่เริ่มเดือด พลางกล่าวต่อว่า “ตอนที่เขายังเป็นเด็ก ข้าเคยถามเขาหลายครั้งว่าชอบสีอะไร ชอบวิชาอะไร แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบกลับมา”
เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ยอดเขาซั่งเต๋อกินหม้อไฟเป็นครั้งแรกก็ใช้หม้อเยวียนยาง
เขากับศิษย์ทรยศสองคนนั้นกินน้ำแกงสีแดง จิ่งหยางกินน้ำแกงสีขาว ภายหลังกลายเป็นน้ำแกงใส
ไร้รสไร้ชาติ ไร้ความปรารถนาและความต้องการ น่าเบื่อเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีจุดอ่อนใดๆ
ถ้าจะมองว่าบนโลกนี้เขาระมัดระวังใครมากที่สุด มิใช่ศิษย์ทรยศสองคนนั้น แล้วก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจิ่งหยาง
ชายหนุ่มคิดในใจว่าถ้าเขายังไม่ตาย ตัวเองคงจะวางใจไม่ได้จริงๆ
ขณะเดียวกัน เขาก็อยากจะทำการยืนยันด้วยว่าแท้ที่จริงแล้วจิ๋งจิ่วใช้จิ่งหยางหรือไม่
เดิมทีเขามั่นใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ด้วยเรื่องราวบางอย่างจึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกสงสัยหลายอย่าง
……
……
ทางเหนือของเมืองไป๋เฉิง ห่างออกไปแสนกว่าลี้ ที่นั่นคือโลกที่เป็นสีขาวอย่างแท้จริง
ทุกที่ล้วนแต่เป็นหิมะและน้ำแข็ง
กระทั่งท้องฟ้าก็ยังเป็นสีเทาขาว
ยอดเขาหิมะยอดหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากที่ราบหิมะ สูงจนยากที่จะจินตนาการได้ คล้ายจะแทงทะลุท้องนภา
ปลายยอดเขาอยู่ใกล้ท้องฟ้าเป็นอย่างมาก แสงแดดร้อนแรง รัศมีเจิดจ้า แต่กลับไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ หนาวเย็นจนถึงขีดสุด
ต่อให้เป็นลาวาสีแดงที่พ่นออกมาจากใต้ดิน เมื่อได้สัมผัสกับอากาศที่นี่ ก็ยังต้องจับตัวแข็งและแตกกลายเป็นก้อนกรวดในทันที
ความจริงแล้ว ที่ราบหมื่นลี้ที่อยู่ด้านหน้ายอดเขาหิมะแห่งนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นมาแบบนี้
ที่นี่ไม่มีอสูรขาหิมะ ไม่มีหนอนหิมะ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ของแคว้นเสวี่ย มีเพียงความเงียบสงัดวังเวง
แต่ถ้าสัมผัสดูดีๆ ก็จะพบว่าในโลกที่หนาวเหน็บแห่งนี้มีพลังชีวิตที่อ่อนแรงอย่างมากสายหนึ่งแอบซ่อนอยู่
พลังชีวิตที่ว่านั้นกำลังแปรเปลี่ยนเป็นเข้มข้นขึ้น ให้ความรู้สึกอิ่มเอิบอย่างหนึ่ง
ความสดใหม่ที่เหมือนต้นอ่อนที่แตกหน่อออกมาในฤดูใบไม้ผลิ และพลังชีวิตที่เพิ่มขึ้นด้วยความเร็วอย่างที่ยากจะจินตนาการได้นี้มาจากที่ใดกัน?
พลังชีวิตสายนั้นมาจากส่วนลึกของยอดเขาหิมะนี้
สิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่โบราณที่สุด แข็งแกร่งที่สุด และอยู่ในระดับสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียนอยู่ที่นี่
จิตสำนึกที่แฝงเอาไว้ด้วยแรงกดดันอันมหาศาลค่อยๆ กวาดไปบนที่ราบหิมะที่ไร้ขอบเขต
ถ้ายินดีล่ะก็ จิตสำนึกของนางสามารถปกคลุมไปได้ครึ่งหนึ่งของแผ่นดินเฉาเทียน
ทันใดนั้นเอง นางพลันเจอกับจิตสำนึกอีกสายหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปแสนกว่าลี้
จิตสำนึกนั้นอ่อนแรง แต่คล้ายว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เสียงที่ดังสนั่นราวสายฟ้าฟาดดังขึ้น
หิมะหนาๆ จำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมาจากบนยอดเขา ที่ราบหิมะสั่นสะเทือน ดูน่าหวาดกลัว
คลื่นหิมะห้อตะบึงไปยังทิศใต้ แสดงถึงเจตจำนงและอารมณ์ของนาง
ทั้งแข็งแกร่งและเกรี้ยวโกรธ
กล้ามาคุกคามข้าอย่างนั้นรึ?
เจ้ามนุษย์ที่ไม่ได้ต่างอะไรจากหมดปลวก!
……
……
ร่างกายของจิ๋งจิ่วสั่นเทาเล็กน้อย ใบหน้าขาวซีด หากมิเป็นเพราะเท้าทั้งสองข้างฝังลงไปในหิน เขาก็อาจจะร่วงตกหน้าผาลงไปอีกครั้งก็ได้
ด้วยสภาวะของเขาในเวลานี้ การสนทนากับสิ่งมีชีวิตระดับนี้นั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก จิตสำนึกของเขาอาจจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
ปริมาณและความบริสุทธิ์ของปราณก่อกำเนิดของเขานั้นเหนือกว่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในสภาวะเดียวกัน แต่มันก็ถูกใช้ออกไปจนหมดในเวลาเพียงสั้นๆ
จิตใจของเขาเองก็เหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด เหนื่อยเสียยิ่งกว่าตอนที่ประลองหมากล้อมกับถงเหยียนเสียอีก
สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดก็คือบนผิวโอสถกระบี่ของเขามีรอยร้าวเล็กๆ ปรากฏขึ้นมารอยหนึ่ง
แต่เขาได้รับข้อความมากพอแล้ว แล้วก็ส่งข้อความของตัวเองออกไปเช่นกัน
โต้ตอบกันไปมา ไม่มีตัวหนังสือ เป็นเพียงการสื่อสารทางจิตสำนึก
ผลลัพธ์จากการเจรจาครั้งนี้ ดูเผินๆ แล้วเหมือนจะค่อนข้างคลุมเครือ แต่ความจริงแล้วมันกลับชัดเจนเป็นอย่างมาก
ถ้าเขามีท่าทีอะไรที่ถูกอีกฝ่ายมองว่าเป็นภัยคุกคาม
สงครามจะเริ่มทันที
……………………………