มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 12 ดอกบัวเพิ่งจะโผล่พ้นน้ำ
ผ่านมาสองปีแล้ว
ทุกครั้งที่จิ๋งจิ่วไปยังเมืองๆ หนึ่ง เขาจะต้องกินหม้อไฟมื้อหนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยมิไถ่ถาม มิได้หมายความว่านางมิได้คิด
จิ๋งจิ่วมิได้ตอบคำถามของนาง
เพราะถึงตอนนี้แล้ว ตัวเขาก็ยังไม่รู้ว่าตนเองคิดอยากจะเจอคนผู้นั้นในร้านหม้อไฟ หรือว่านี่กลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่งของเขา
ทันใดนั้นพลันมีเสียงเพลงดังขึ้น ติงๆ ตังๆ ราวน้ำพุ ลอยล่องเข้ามาในหู ดังสะท้อนอยู่ในใจ ใสสะอาดยิ่งนัก
เสียงเพลงไพเราะยิ่ง แต่ที่นี่คือร้านหม้อไฟ ไม่ว่าอย่างไรก็ดูมิค่อยเข้ากัน แม้นจิ๋งจิ่วกับเจ้าล่าเยวี่ยจะนั่งอยู่ภายในห้องส่วนตัวก็ตาม
จิ๋งจิ่วสวมหมวกลี่เม่า
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็หยิบเอาหมวกลี่เม่ามาใส่
หลังผ่านเมืองอวี้โจว พวกเขายิ่งเดินยิ่งช้าลง ดังนั้นสิ่งที่นำมาใช้ปิดบังใบหน้าจึงเปลี่ยนจากผ้าสีเทากลับเป็นหมวกลี่เม่าอีกครั้ง
ภายหลังคนที่พบเห็นใบหน้าพวกเขาล้วนแต่ตายจนหมด ดังนั้นตอนถึงตอนนี้ ภาพเหมือนที่กรมชิงเทียนมียังคงเป็นภาพตอนที่พวกเขาอยู่ในเรือนเป่าซู่
ประตูห้องเปิดออก เสียงที่ดังตามขึ้นมาหลังจากนั้นยังมีเสียงอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจเล็กน้อย
ดรุณีนางหนึ่งยืนอุ้มผีผา[1]อยู่นอกห้อง ดูอ้อนแอ้นอรชรยิ่งนัก ชุดสีม่วงบนร่างกายดูค่อนข้างใหญ่ มุมขมับปักดอกมะลิสีขาวเอาไว้ดอกหนึ่ง ดูสะอาดสะอ้าน
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงภาพตนเองเมื่อครั้งขึ้นไปถึงปลายยอดเขาเสินม่อเป็นครั้งแรก และได้ลองสวมใส่เสื้อผ้าของปรมาจารย์อาจิ่งหยาง จึงวางเหรียญทองแดงลงไปบนโต๊ะสองสามเหรียญ
ดรุณีนางนั้นดูลังเล ก่อนจะเดินมายังหน้าโต๊ะแล้วเก็บเงินไป จากนั้นกล่าวเสียงเบาๆ อย่างรวดเร็ว “มีคนคิดเล่นงานท่านทั้งสอง โปรดระวังด้วยเจ้าค่ะ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เงยหน้าขึ้นมา”
ดรุณีนางนั้นตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเงยหน้าขึ้นมาตามที่บอก เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่งดงามสะอาดสะอ้าน ดวงตาดูอ่อนแอ ให้ความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดู
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ปีศาจจิ้งจอก”
หญิงสาวใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย ในดวงตามีน้ำตาคลอ กล่าวว่า “เหตุใดท่านต้องด่าทอข้าด้วยเจ้าคะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ปีศาจจิ้งจอกจริงๆ ด้วย”
เขาและเจ้าล่าเยวี่ยย่อมมิใช่กำลังด่าคนอยู่
เวลานี้ดรุณีนางนั้นถึงได้มั่นใจว่าสถานะที่แท้จริงของตนเองได้ถูกอีกฝ่ายมองออกแล้ว
“อาจารย์เซียนทั้งสองท่านมาจากที่ใดกันแน่? เหตุใดจึงมองตัวตนที่แท้จริงของข้าออก?”
บนใบหน้าเล็กๆ ของนางเผยให้เห็นสีหน้าที่ดูหวาดกลัวเล็กน้อย ดอกมะลิสั่นเทาเบาๆ สายตายิ่งดูอ่อนแอ
เพราะนางฝึกวิชาลับ แม้นจะเป็นยอดฝีมือระดับขั้นคเนจรก็ยังมิแน่ว่าจะมองใบหน้าที่แท้จริงของนางออก ใครจะคิดบ้างว่าวันนี้จะถูกจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยมองออกด้วยการมองเพียงปราดเดียว
นางไหนเลยจะรู้ว่าเจ้าล่าเยวี่ยฝึกวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายา ความสามารถในการมองเห็นมีความเฉียบคมกว่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในระดับเดียวกันหลายเท่านัก ส่วนจิ๋งจิ่วยิ่งมิต้องพูดถึง
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงจะเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียร”
นางกับจิ๋งจิ่วเดินทางมาสองปี แม้นจะมิค่อยได้พูดคุยกับผู้คน แต่ก็พอจะรู้เรื่องราวในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตอยู่บ้าง
ดรุณีนางนี้นามว่าเสี่ยวเหอ เป็นผู้บำเพ็ญพรตหญิงอันเลื่องชื่อของเมืองอิ้งเฉิง ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้าย
เมื่อสองปีก่อน เนื่องเพราะนายน้อยแห่งสำนักซานตูกล่าววาจาแทะโลมนางเข้า จึงถูกนางเล่นงานด้วยพิษบุหงา
ครั้นเห็นว่ากระทั่งชื่อตัวเองก็ถูกพวกเขาเรียกออกมา เสี่ยวเหอจึงมิได้ปิดบังตัวเองอีก นางโค้งคารวะทั้งสองคน
“ครั้งนั้นหากไม่เป็นเพราะอาจารย์เซียนทั้งสองท่านสังหารคนชั่วของสำนักซานตูเหล่านั้น โจรราคะนั่นคงไม่มีทางปล่อยข้าไปแน่ ข้าเป็นปีศาจบำเพ็ญพรต ทั้งยังไม่มีสำนักคอยปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักซานตูมาด้วยตัวเอง หรือสำนักคุนหลุนส่งศิษย์มาสักคนหนึ่ง ข้าก็ไม่มีทางรับมือได้ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกขอบคุณอาจารย์ทั้งสองท่านจากใจจริง และรีบรุดมาที่นี่เพื่อเตือนพวกท่าน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “ใคร?”
เสี่ยวเหอกล่าวว่า “กรมชิงเทียน เมื่องานเลี้ยงซื่อไห่เริ่มขึ้น ผู้บำเพ็ญพรตที่มาร่วมงานมีจำนวนมาก มีทั้งผู้อาวุโสแห่งคุนหลุน ยอดฝีมือจากต้าเจ๋อ สมณะสูงศักดิ์จากวัดกั่วเฉิง แล้วยังมีอาจารย์เซียนจากชิงซาน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เหตุใดเจ้าจึงรู้จักพวกข้า?”
เสี่ยวเหอกล่าวอย่างไม่สบายใจ “มิอาจบอกได้ ขออาจารย์เซียนอย่าได้ไต่ถาม”
ภายในห้องเงียบขึ้นมา
หม้อไฟเดือดพล่าน ส่งเสียงดังปุดๆ
เสี่ยวเหอกล่าวอย่างเป็นกังวล “แม้นอาจารย์เซียนทั้งสองท่านจะมีฝีมือสูงส่ง แต่ศัตรูมีจำนวนมาก อย่าได้รั้งอยู่ที่เมืองไห่โจวจะดีกว่า”
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปทางจิ๋งจิ่วพลางถามว่า “ฆ่า?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แล้วแต่เจ้า”
เสี่ยวเหอลืมตาโต แลดูไร้เดียงสา
จากนั้นครู่หนึ่งนางถึงเข้าใจความหมายในบทสนทนาของทั้งคู่ จึงลนลานขึ้นมา ทั้งร้อนใจทั้งหวาดกลัว ในดวงตามีม่านหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ดูน่าสงสารยิ่งนัก
“ข้าเห็นแล้วสงสาร” เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ถ้ายังไงพากลับไปอยู่เป็นเพื่อนผู้พิทักษ์ไหม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “คงถูกกัดตาย”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “อย่างนั้นช่างเถอะ เจ้าไปเถอะ”
เสี่ยวเหอเคยพบเห็นอะไรมามากมาย แต่นางกลับมิเคยพบคนประหลาดเช่นนี้มาก่อน ไหนเลยจะกล้ารั้งรอ จึงรีบหอบผีผาถอยออกไป
หอยแมลงภู่จานหนึ่งและเนื้อหอยทากจานหนึ่ง ทำให้น้ำแกงในหมอไฟที่กำลังเดือดพล่านสงบลงชั่วคราว
เจ้าล่าเยวี่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง
ตะวันยอแสงแดงขึ้นทุกขณะ ทันใดนั้นพลันมีเงามืดขนาดยักษ์รุกล้ำเข้ามาจากทางทะเล
เงามืดขนาดมหึมาบนท้องฟ้าคือวาฬบินได้ที่แหวกว่ายอยู่ในก้อนเมฆ
เสียงร้องที่เป็นท่วงทำนองและทุ้มต่ำดังขึ้น วาฬบินได้พ่นน้ำทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นหยดน้ำฝนตกลงมา
เมืองไห่โจวที่อยู่ในช่วงปลายฤดูหนาว มีฝนฤดูใบไม้ผลิมาเยือนก่อนเวลา
ปลายขอบฟ้ายามเย็นมีรุ้งกินน้ำปรากฏขึ้น ดูวิจิตรงดงามยิ่งนัก
ในเมืองไห่โจวมีเสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้น
นี่คือพิธีเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ของทะเลตะวันตก เพื่อต้อนรับเหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูท้องฟ้าที่กำลังมีฝนโปรยปรายลงมา พลางกล่าวว่า “เผยตัว?”
ใช้เวลาสองปีจึงมาถึงที่นี่ นางทราบว่าจิ๋งจิ่วไม่มีทางจากไปหากยังมิได้เจอคนผู้นั้น
เช่นนั้นเปิดเผยสถานะเลยเป็นอย่างไร? อย่างไรเสียอีกไม่กี่วันก็จะเป็นงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนแล้ว พวกเขาเองก็ต้องกลับไปชิงซาน
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่รีบ”
เจ้าล่าเยวี่ยเก็บสายตากลับมา นางมองดูเขาพลางกล่าวถามอย่างจริงจัง “เช่นนั้นจะสู้อย่างไร?”
ระหว่างทางที่มา พวกเขากำจัดปีศาจสังหารคน ดูคล้ายเหิมเกริม แต่ความจริงแล้วกลับมิได้สังหารส่งเดชเลย
คู่ต่อสู้และปีศาจที่เจ้าล่าเยวี่ยได้พบ หรือพูดอีกอย่างก็คือคู่ต่อสู้และปีศาจที่จิ๋งจิ่วช่วยนางเลือก ส่วนใหญ่สภาวะล้วนมิอาจสู้นางได้
พูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาเลือกสังหารแต่คู่ต่อสู้ที่สามารถสังหารได้
เจ้าล่าเยวี่ยเคยถามอย่างสงสัย ผู้แข็งแกร่งควรจะออกกระบี่ใส่ผู้แข็งแกร่ง ถึงจะยิ่งแข็งแกร่งมิใช่หรือ?
คำตอบของจิ๋งจิ่วคือ หากออกกระบี่เดียวแล้วตาย ไม่มีใครที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้
ในเมืองไห่โจวเวลานี้ เนื่องเพราะมีงานเลี้ยงซื่อไห่ จึงมีผู้บำเพ็ญพรตมารวมตัวกันมากมาย
แม้นทั้งสองคนจะอัจฉริยะเพียงใด ทว่าเวลาในการบำเพ็ญพรตยังไม่มากพอ หากสู้ย่อมไม่มีทางสู้ได้แน่ เช่นนั้นจะทำอย่างไร?
จิ๋งจิ่วมองนางพลางถาม “เจ้าเคยได้ยินเพลงกระบี่ที่ร่วงตกลงมาจากฟ้าไหม?”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ไม่เคย”
……
……
ในตอนที่เจ้ารู้ว่าคนจำนวนมากกำลังหาเจ้าอยู่ เจ้าควรจะทำอย่างไร?
แต่ไหนแต่ไรมา จิ๋งจิ่วทำอะไรล้วนเรียบง่าย คล้ายกับวิธีการหั่นผักของเขา
เขาเป็นฝ่ายเข้าไปหา
คนที่ไปหาคือศิษย์ร่วมสำนัก
งานเลี้ยงซื่อไห่กำลังจะเริ่ม ผู้บำเพ็ญพรตของหลายสำนักทยอยเดินทางมาถึง ที่พักเซียนถูกพักจนเต็มเรียบร้อย แต่ย่อมต้องมีห้องว่างสำหรับอาจารย์เซียนแห่งสำนักชิงซานอย่างแน่นอน
สำนักชิงซาน ต้าเจ๋อและวัดกั่วเฉิงมีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย พวกเขาพักอยู่ในเรือนเดียวกัน
ภายในเรือนเงียบ แต่ไม่ถึงกับสงบ
เพราะเรื่องนี้ เมืองไห่โจวที่ดูรื่นเริงคึกคักกลับมีความรู้สึกเหมือนเมฆฝนกำลังก่อตัวอย่างเงียบๆ
ความจริงมิว่าจะเป็นเยาซงซานหรือว่าจั๋วอวี๋สื่อแห่งต้าเจ๋อก็ล้วนแต่มิได้มีความสนใจใดๆ เกี่ยวกับการล้อมจับคนชั่วสองคนนั้น
สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือคนที่สองคนนั้นสังหารก็ล้วนแต่มีเหตุผลสมควรที่จะถูกสังหาร ยิ่งไปกว่านั้นเดิมผู้บำเพ็ญพรตก็ต่อสู้กับชะตาชีวิตอยู่แล้ว ไม่สนใจความเป็นความตาย ฆ่าคนเป็นเรื่องปกติ หากไม่เป็นเพราะผู้ดูแลวัดเฮยหลงที่ถูกสองคนนั้นสังหารไปเมื่อหลายวันก่อนมีความสัมพันธ์กับกุ้ยเฟยในวังคนนั้น มีหรือที่กรมชิงเทียนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ขนาดนี้?
ในเวลานี้เอง ประตูเรือนพลันถูกผลักออก คนสวมหมวกลี่เม่าสองคนเดินเข้ามา
จั๋วอวี๋สื่อหรี่ตาเล็กน้อย กล่าวว่า “พวกเจ้าคือใคร?”
ในขณะที่พูด เขาก็เคลื่อนพลังเตรียมพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
หมวกลี่เม่ามิใช่ผ้าสีเทา แต่มันก็สามารถปิดบังใบหน้าได้เช่นเดียวกัน
สองคิ้วของเยาซงซานเลิกขึ้นเล็กน้อยดุจกระบี่ คล้ายพร้อมจะพุ่งออกไปทุกเมื่อ
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตน์กระบี่ที่แผ่ออกมาจากตัวศิษย์พี่ หลินอิงเหลียงพลันได้สติขึ้นมา เขามองไปทางสองคนที่เดินเข้ามาในเรือน รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่มิได้ลนลาน และมิได้มีความหวาดกลัว มือขวาค่อยๆ กุมด้ามกระบี่ เตรียมพร้อมที่จะปลดลงมาทุกเมื่อ ในใจครุ่นคิด คนชั่วสองคนนี้กล้ามาหาถึงที่ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ
หนึ่งชายหนึ่งหญิง? หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย? เมื่อมองดูคนสวมหมวกลี่เม่าสองคนนั้น ความรู้สึกแปลกๆ ภายในใจเยาซงซานก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
เขามิได้ออกกระบี่ สายตาจ้องมองอีกฝ่ายพลางกล่าวถามว่า “พวกเจ้าคือใครกันแน่?”
หญิงสาวที่ร่างกายค่อนข้างเตี้ยมิได้ปลดหมวกลี่เม่าออก นางเพียงแต่ยื่นมือออกมาวาดขึ้นลงตรงด้านหน้า
สีหน้าเยาซงซานแปรเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดอย่างมากทันที
สมณะแก่แห่งวัดกั่วเฉิงเข้าใจดี ทราบว่ามิต้องกังวลอะไร จึงยิ้มเล็กน้อยพลางพยักหน้าทักทาย จากนั้นลากศิษย์หลานที่มีสีหน้าตื่นเต้นกลับเข้าห้องตัวเอง
จั๋วอวี๋สื่อมิทราบถึงสถานการณ์โดยละเอียด แต่เขาก็พอจะรู้อะไรบางอย่าง จึงยิ้มพลางโบกมือ จากนั้นเดินกลับห้องตัวเองเช่นเดียวกัน
เยาซงซานพาทั้งสองคนกลับมายังห้องของตัวเอง หลินอิงเหลียงเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้าสับสน ในใจครุ่นคิดนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ประตูห้องถูกปิดลง เยาซงซานมองไปทางทั้งสองคน ก่อนจะคารวะพลางกล่าว “คารวะอาจารย์อาทั้งสอง”
หลินอิงเหลียงตะลึงลานก่อนจะรู้ตัว เขาเกือบจะส่งเสียงร้องอุทานออกมา
………………………………………
[1]ผีผา คือ เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของจีน