มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 115 อาจารย์อามาแล้ว
ช่วงเวลากลางดึก หนุ่มสาวเจ็ดคนนั่งล้อมรอบกองไฟ
ที่นี่อยู่ในภูเขา สองด้านคือหน้าผาสูงชัน ท้องฟ้าถูกบีบจนหดเล็กลงจนกลายเป็นเส้น เมฆหมอกที่หายไปนานหลายวันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ปกคลุมทุกอย่างเอาไว้
แสงดารามิได้มาจากหมู่ดาว หากแต่มาจากป้านดารกะของอินชิงมั่ว
กระดิ่งเล็กๆ ลอยอยู่นิ่งๆ อีกด้านหนึ่ง คอยรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอากาศในฟ้าดิน เตรียมพร้อมส่งเสียงที่ใสกระจ่างทุกเมื่อ
เยาซงซานหลับตา ขาสองข้างขัดสมาธิ กระบี่สีเขียวถูกเรียกออกมา วางพักนิ่งๆ อยู่บนเข่าของเขา
นอกจากเขาแล้ว คนอื่นที่เหลืออีกหกคนก็กำลังทำสมาธิอยู่เช่นเดียวกัน แต่พวกเขากลับอดเหลือบมองไปทางก้อนหินที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจ้างก้อนนั้นไม่ได้
จิ๋งจิ่วและไป๋เจ่านั่งอยู่บนก้อนหินก้อนนั้น
……
……
วันนั้นเมื่อเข้ามายังด้านนอกเทือกเขาแห่งนี้ จิ๋งจิ่วได้ขอให้ทุกคนหยุดเดินทาง
ทุกคนไม่ค่อยเข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าหากเดินหน้าสังหารอสูรหิมะต่อไป อาจจะช่วยให้ตำแหน่งอันดับหนึ่งของการประลองวิถีพรตของเจ้าแน่นอนเร็วขึ้น เหตุใดจึงหยุดเสียล่ะ?
แต่ตอนนี้พวกเขาเคารพในตัวจิ๋งจิ่วเป็นอย่างมาก อีกทั้งไป๋เจ่าก็มิได้คัดค้านอะไร ดังนั้นทั้งเก้าคนจึงหยุดอยู่ในหุบเขา
วันนี้ช่วงเย็น จู่ๆ พลันมีอสูรขาหิมะสิบกว่าตัววิ่งมาจากด้านนอกภูเขา พยายามที่จะวิ่งผ่านหุบเขาเข้าไป
จิ๋งจิ่วมิได้ลงมือ เขาเพียงแค่กล่าวอะไรนิดหน่อยในช่วงเวลาสำคัญๆ เท่านั้น
ไป๋เจ่าแสดงความสามารถในการเป็นผู้นำที่แทบจะสมบูรณ์แบบออกมาอีกครั้ง นางนำเพื่อนในกลุ่มสังหารอสูรขาหิมะจนหมดสิ้น
ภายใต้การสั่งการของนาง ความสามารถในการต่อสู้ของคนแปดคนนั้นเหนือกว่าคนสองกลุ่มรวมกันเสียอีก เพราะนางสามารถทำให้ความสามารถของเพื่อนในกลุ่มแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังประสานงานร่วมกับพวกเขา
แล้วถ้าหากให้นางไปบัญชาการผู้บำเพ็ญพรตพร้อมกันเป็นจำนวนหลายร้อยคนล่ะ?
ที่บอกว่าแปดคน นั่นเป็นเพราะว่าจิ๋งจิ่วมิได้เข้าร่วมการต่อสู้ เขาเพียงแค่พูดอะไรออกมานิดหน่อยในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเท่านั้น
ก็เหมือนกับในคืนนั้นที่เขาชี้แนะเยาซงซานในการออกกระบี่
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นแค่คำชี้แนะง่ายๆ แต่คนอื่นๆ อย่างอู่หมิงจงกลับรู้สึกว่าต่อสู้ได้สบายขึ้นมาก
จิ๋งจิ่วคล้ายสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าอสูรขาหิมะจะโจมตีอย่างไร รู้ว่าจุดที่่อ่อนแอที่สุดบนเปลือกของอสูรขาหิมะอยู่ตรงไหน อีกทั้งยังแม่นยำเป็นอย่างมาก
นี่ทำให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าต่อให้เป็นอาจารย์ของตนเองก็ยังไม่แน่ว่าจะทำเช่นนี้ได้
……
……
“เดิมข้าไม่เชื่อว่าเจ้าเป็นคนที่วัดกั่วเฉิงส่งออกมายังโลกปุถุชน แต่ตอนนี้กลับเชื่อหน่อยๆ แล้ว มีเพียงผู้บำเพ็ญพรตที่เคยสังหารสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยมาจำนวนนับไม่ถ้วนถึงจะรู้จักพวกมันดีขนาดนี้ จากที่ข้ารู้มา เจ้าน่าจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก เช่นนั้นก็มีเพียงคำอธิบายเดียว เจ้าเคยได้รับคำชี้แนะจากยอดคน”
“ยอดคน?”
“ข้าย่อมหมายถึงเทพดาบ”
“เจ้าคิดผิดแล้ว ข้าเพียงแค่ค่อนข้างถนัดในการตัดขาดสรรพสิ่งเท่านั้น”
“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าควรจะตัดจากตรงไหน?”
“ทุกสรรพสิ่งล้วนแต่มีจุดอ่อนของมันอยู่ สายตาข้าเฉียบคม สังเกตดูเพียงไม่กี่วันก็มองเห็นแล้ว”
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาจิ๋งจิ่วมักจะเอาด้วงน้อยตัวนั้นออกมาดู ซึ่งนั่นก็คือการสังเกต
ถึงแม้มันจะยังเป็นแค่ลูกด้วงที่ยังไม่พัฒนา แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นอะไรที่อยากเห็นได้หลายอย่าง
ไป๋เจ่าพลันถามว่า “เจ้าบรรลุสสภาวะมิประจักษ์ขั้นสูง?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ขั้นต้น”
มิประจักษ์คือสภาวะของชิงซาน หากแบ่งตามสำนักจงโจว มิประจักษ์ขั้นต้นก็จะเท่ากับเพิ่งจะบรรลุขั้นจินตัน สภาวะเช่นนี้จะสังหารอสูรขาหิมะจำนวนมากขนาดนั้นภายในคืนเดียวได้อย่างไร?
ไป๋เจ่าไม่เชื่อเขา
จิ๋งจิ่วกล่าว “บางทีวิถีกระบี่ที่ข้าฝึกอาจจะค่อนข้างเหมาะกับการทำเรื่องแบบนี้กระมัง”
ไป๋เจ่ากล่าว “เจ้าค้นพบมันเมื่อไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ในคืนนั้น”
เขาพูดจริงๆ มิได้ล้อเล่น
เขาค้นพบมันในคืนนั้นจริงๆ เขาสังหารอสูรขาหิมะไปจำนวนมากขนาดนั้น ถึงได้รู้ว่าตนเองถนัด หรือพูดอีกอย่างก็คือเหมาะที่จะทำเรื่องแบบนี้
สำหรับเขาแล้ว การโจมตีของอสูรขาหิมะช้าเกินไป อีกทั้งเลือดพิษที่ผู้บำเพ็ญพรตรู้สึกว่าน่ารำคาญที่สุดเหล่าก็มิอาจทำอะไรเขาได้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หมอกหนาทึบที่หนาวเย็นจนถึงขีดสุดนั้นถือเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผู้บำเพ็ญพรต แต่สำหรับเขามันกลับเป็นการช่วยเหลือ
เขาไม่กลัวหมอกที่หนาวเย็น ในทางกลับกัน เขาสามารถใช้หมอกที่หนาวเย็นมาปกปิดร่างกายตนเอง ทำให้อสูรขาหิมะมองไม่เห็นเขา
ในคืนนั้น เขาสังหารอสูรขาหิมะไปมากขนาดนั้น สำหรับคนอื่นแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก แต่สำหรับเขาแล้ว มันกลับเป็นเรื่องง่ายดายอย่างมาก
ใช้หมอกมาปิดบังตัว เขาเดินไปด้านหลังอสูรขาหิมะตัวหนึ่ง จากนั้นยกกระบี่ฟันลงไป
อสูรขาหิมะตัวนั้นก็ตาย
เขาเดินไปด้านหลังอสูรขาหิมะอีกตัวหนึ่ง จากนั้นยกกระบี่ที่อยู่ในมืออีกครั้ง
หนึ่งกระบี่หนึ่งตัว
มีอะไรยากล่ะ?
ความยุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวก็คือในคืนนั้นร่างกายเขาเปรอะเปื้อนเลือดพิษ ในใจจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ถึงแม้เพลิงกระบี่จะเผาไหม้จนสะอาดเพียงใด เขาก็ยังรู้สึกว่ามีกลิ่นอยู่
ดังนั้นเขาจึงหาทะเลสาบหิมะแห่งหนึ่ง ใช้เพลิงกระบี่ต้มน้ำ จากนั้นอาบน้ำจนสะอาด
มาคิดๆ ดูแล้ว นี่น่าจะเป็นการอาบน้ำครั้งแรกของเขาหลังจากที่เข้ามายังชิงซานกระมัง?
“ทำไมถึงหยุดเดินทาง?”
ในที่สุดไป๋เจ่าก็พูดเข้าประเด็น
จิ๋งจิ่วตื่นขึ้นมาจากความคิดที่เหม่อลอย กล่าวว่า “รอคน”
ไป๋เจ่ามิได้ถามอะไรอีก นางมองข้อมือของเขา
นางจำได้แม่น ข้อมือของจิ๋งจิ่วมีสร้อยข้อมืออยู่ เหมือนหลายวันก่อนจู่ๆ ก็หายไป แต่วันนี้ปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
……
……
รุ่งเช้าวันที่สอง ตรงปากทางเข้าหุบเขามีผู้บำเพ็ญพรตอีกสี่คนปรากฏขึ้นมา
สีหน้าทุกคนเหนื่อยล้า ดูเหมือนจะเดินทางมาตลอดทั้งคืน
ที่ราบหิมะในเวลากลางคืนนั้นอันตรายว่าในเวลากลางวัน ไม่รู้ว่ามีความกดดันอะไร ถึงทำให้พวกเขารีบร้อนขนาดนี้
ทั้งสี่คนมองไป๋เจ่าและคนอื่นๆ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก้าวเข้ามาทำการคารวะ
ในกลุ่มนั้นมีศิษย์ชิงซานที่มาจากยอดเขาเหลี่ยงว่าอยู่คนหนึ่ง มีนามว่าเหลยอี้จิง เมื่อเห็นเยาซงซาน เขาก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างดีใจ พลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่”
เยาซงซานยิ้มเล็กน้อย ส่งสัญญาณบอกเขาให้ไปพบจิ๋งจิ่วก่อน
เหลยอี้จิงถึงได้มองเห็นจิ๋งจิ่ว เขางุนงงเล็กน้อย ใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ยังคงทำการคารวะอย่างจริงจัง เขากล่าวว่า “คารวะอาจารย์อา”
จิ๋งจิ่งดูสภาพของทั้งสี่คนพลางกล่าว “ให้เวลาพวกเจ้าพักผ่อนครึ่งชั่วยาม จากนั้นออกเดินทางพร้อมกัน”
เหลยอี้จิงไม่เข้าใจ คนอื่นๆ เองก็ไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดตามกฎการประลอง แต่ละกลุ่มควรจะแยกกันไปต่อสู้ แม้นบางครั้งจะเจอกัน แต่หลังจากนั้นก็ต้องแยกกัน
เหตุใดจิ๋งจิ่วถึงบอกให้ออกเดินทางพร้อมกัน?
ในจำนวนสี่คนนี้มีศิษย์จงโจวคนหนึ่งกำลังอธิบายเรื่องราวที่เจอเมื่อคืนนี้ให้ไป๋เจ่าฟัง ครั้งได้ยินคำพูดของจิ๋งจิ่ว จึงถามอย่างตกใจว่า “ศิษย์พี่ นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ?”
ไป๋เจ่ายังไม่ทราบแน่ชัดถึงเจตนาของจิ๋งจิ่ว จึงกล่าวว่า “เดินตามไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ถึงแม้เหลยอี้จิงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของอาจารย์ได้ ศิษย์ของสำนักจงโจวผู้นั้นฟังคำสั่งของไป๋เจ่า คนที่เหลืออีกสองคนทราบถึงเรื่องอันน่าตกตะลึงที่จิ๋งจิ่วทำเมื่อคืนนี้ จึงเกิดความรู้สึกไม่กล้าโต้แย้งขึ้นมาทันที เพียงแต่กังวลใจว่าถ้าเหล่าอาจารย์ที่เรือนซีซานรู้เจ้า พวกเขาจะตัดสินว่าพวกตัวเองทำผิดกฎหรือเปล่า
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม จิ๋งจิ่วก็เดินเข้าไปในหุบเขา
ภายในหุบเขามีทางขึ้นเขาอยู่หลายทาง บางเส้นทางมุ่งขึ้นไปยังยอดเขาที่ปกคลุมเอาไว้ด้วยหิมะที่ไม่ละลายมาเป็นเวลาหมื่นปี บางเส้นทางก็มุ่งไปยังถ้ำธรรมชาติที่คับแคบมืดมิด
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปยังทางขึ้นเขาเส้นหนึ่ง คล้ายว่ากระทั่งคิดก็มิได้คิดแม้แต่น้อย
ลมที่หนาวเย็นพัดผ่านเศษหินที่อยู่บนหน้าผาจนสั่นไหว บางครั้งบางคราวก็จะมีเศษหิมะร่วงตกลงมา
คนอื่นๆ ลุกขึ้นมาสบตากัน ก่อนจะเดินตามไปอย่างสงสัย
ตกเย็น ในที่สุดหลายคนก็รู้แล้วว่าเหตุใดจิ๋งจิ่วจึงเลือกเส้นทางนี้
เพราะใต้หน้าผาที่ไกลออกไป มีกลุ่มผู้บำเพ็ญพรตอีกกลุ่มหนึ่งกำลังวางข่ายพลัง เตรียมตัวพักผ่อน
เมื่อเห็นพวกจิ๋งจิ่วปรากฎตัว ภายในกลุ่มพลันมีเสียงที่เต็มไปด้วยความแปลกใจดังขึ้นมา
“อาจารย์อาจิ๋ง?”
……………………………………………………….