มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 61 หลิวอาต้า
ทางด้านตะวันตกของยอดเขาปี้หู ด้านหน้าผาสีขาวมีหมู่ตำหนักตั้งอยู่แถบหนึ่ง ที่นั่นต่างหากถึงจะเป็นสถานที่ที่เหล่าอาจารย์ของยอดเขาปี้หูใช้บำเพ็ญพรต
เจ้าแห่งยอดเขาเฉิงโหยวเทียนยืนอยู่ด้านหน้าตำหนักลั่วหู สายตามองไปทางเกาะกลางทะเลสาบที่อยู่อีกฟาก สองคิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย ดูเป็นกังวล
เขาคือศิษย์สายตรงของเจ้าแห่งยอดเขารุ่นก่อน มิใช่ศิษย์สายเดียวกับเหลยพั่วอวิ๋น
หลายปีมานี้ เขาเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในยอดเขาที่เร้นกายอยู่ในส่วนลึกของชิงซาน เพียงแค่พอจะรู้เรื่องว่ายอดเขาทั้งเก้าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเท่านั้น หาได้คิดที่จะออกมาเผชิญหน้ากับความกดดันเช่นนี้ไม่ หากมิเป็นเพราะไม่อยากให้สายสืบทอดของยอดเขาปี้หูต้องขาดลง แล้วก็ไม่อยากให้เจ้าแก่ประหลาดที่ยอดเขาซั่งเต๋อมาแย่งเอายอดเขาปี้หูไป เขาคงไม่มีทางที่จะออกมาจากยอดเขาซ่อนเร้นนั้นเพื่อมาเอาชนะฉือเยี่ยนก่อนงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเป็นแน่
พายุฝนในวันนี้รุนแรงกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก มิรู้มันหมายความว่ากระไร
ยอดเขาปี้หูมีบุคคลสำคัญเสียชีวิตไปสองคน อีกทั้งมิใช่การตายจากการต่อสู้กับภูติผีและพวกนอกรีต หากแต่เป็นการตายอย่างผิดปกติ
ลูกศิษย์ของยอดเขาปี้หูหลายคนขุ่นเคืองคับข้องใจ คิดอยากจะไปทวงคำตอบจากเจ้าสำนัก แต่ก็ถูกเขาปรามเอาไว้
ฤานี่จะเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์? เพราะยอดเขาปี้หูทำเรื่องเลวทรามขนาดนั้นไว้อย่างนั้นหรือ?
เขามองดูสายฟ้าจำนวนนับหลายร้อยสายที่ร้อยเรียงกันเป็นเหมือนไยแมงมุมอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ภายในใจครุ่นคิดอย่างหวาดกลัว
ในยอดเขาทั้งเก้าเองก็มีหลายคนกำลังจ้องมองดูยอดเขาปี้หู ชื่นชมภาพอันงดงามยากพบพานนี้อยู่เช่นกัน
มีเพียงไม่กี่คนที่จะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่แฝงอยู่ในพลังธรรมชาตินี้
ริมผาบนยอดเขาเทียนกวง ริมรั้วบนยอดเขาซั่งเต๋อ เงาร่างสองเงาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชิงซานมองไปทางยอดเขาปี้หู นิ่งเงียบมิเอ่ยวาจา
สายฟ้านับหมื่นนับพันร่วงหล่นลงมาจากบนท้องฟ้า ก่อนจะถูกพายุฝนชะล้างจนดูคล้ายภาพในความฝัน
ขณะที่มองดูภาพที่งดงามเช่นนี้ มิรู้พวกเขากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่?
……
……
หากแมวขาวลงมือจริงๆ แม้นตนเองจะแตกต่างจากผู้ฝึกพรตธรรมดาทั่วไป แต่ก็มีโอกาสตายได้เหมือนกัน
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเงียบๆ
สำหรับตัวเขาในตอนนี้ แมวตัวนั้นน่ากลัวเกินไป
“ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้มีส่วนร่วมกับเรื่องนั้น เพราะเจ้าไม่มีความกล้านั้น”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาระมัดระวังแมวขาวตัวนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ท่าทีที่แสดงออกมากลับดูผ่อนคลายยิ่งนัก คล้ายมีความมั่นใจอย่างมาก
“แต่หากครั้งนี้เจ้ายังคงเลือกที่จะไม่ยืนอยู่ข้างข้า เช่นนั้นเจ้าคงรู้นะว่าข้าจะทำอย่างไร?”
กล่าวจบประโยคนี้ เขาหมุนตัวเตรียมจากไป
เมื่อดูเพียงผิวเผินแล้ว คำพูดของเขายังคงแข็งกร้าว ความเคลื่อนไหวขณะที่จากไปก็ดูสบายๆ มิได้มองแมวขาวตัวนั้นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
แต่ทันใดนั้นเอง เขารู้ว่าตนเองพลาดเสียแล้ว เขาลืมไปว่าการสังเกตของแมวขาวตัวนี้ละเอียดลออเพียงใด การหมุนตัวนี้คล้ายจะกะทันหันไปเล็กน้อย
เป็นอย่างที่คาด แมวขาวตัวนั้นพลันยกเท้าขวาขึ้นมา ก่อนจะตะปบมาทางเขา ทั้งที่อยู่ห่างกันหลายสิบจ้าง
มันยังคงตื่นตัว ระมัดระวัง เท้าขวาไม่ได้ยื่นออกมาจนสุด คล้ายพร้อมที่จะหดกลับไปทุกเมื่อ
ดังนั้นการเคลื่อนไหวอันนี้ของมันจึงดูน่ารัก คล้ายกับคิดอยากจะหยอกจิ๋งจิ่วเล่นอย่างไรอย่างนั้น
แต่ความจริงแล้ว การเคลื่อนไหวนี้น่ากลัวยิ่งนัก
……
……
ตาข่ายยักษ์ที่เกิดจากสายฟ้าหลายร้อยสายรวมตัวกัน แผ่กระจายออกไปกว้างหลายสิบลี้บนท้องฟ้ายามค่ำคืน จู่ๆ พลันถูกดึงจนเปลี่ยนรูปร่าง
ราวกับมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นกวาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน
สายฟ้าจำนวนมากขาดออกจากกัน ก่อนจะรวมเข้าด้วยกันในชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพียงพริบตา แปรเปลี่ยนเป็นเสาลำแสงขนาดใหญ่ ผ่าลงมาบนทะเลสาบ
ลำแสงอันเยือกเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากกรงเล็บแมว ฉีกกระชากสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะมาถึงตรงหน้าเขา
ในเวลาเดียวกัน สายฟ้าขนาดใหญ่เส้นนั้นและลำแสงเยือกเย็นสายนั้นก็มาถึง
เสียงทึบๆ ดังขึ้น สายฟ้าและลำแสงเยือกเย็นโจมตีเข้าใส่หน้าอกของจิ๋งจิ่ว มิแบ่งแยกก่อนหลัง
ไม่มีเสียงเจ็บปวด ไม่มีการร้องครวญคราง จิ๋งจิ่วคล้ายก้อนหินที่ไร้ความรู้สึก เขาถูกกระแทกออกไปไกลหลายร้อยจ้าง
เขาตกลงไปในทะเลสาบ สะเก็ดน้ำแตกกระจายไม่มาก เสียงยิ่งไม่มีทางดังไปกว่าพายุฝน
น้ำในทะเลสาบค่อยๆ สงบลง
สงบลงในที่นี้หมายถึงสภาพทะเลสาบอย่างที่ควรจะเป็นเวลาเกิดพายุฝน เป็นภาพคลื่นที่กระจัดกระจายอย่างเท่าๆ กันเหล่านั้น
แมวขาวออกมาจากตำหนัก ค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามายังริมทะเลสาบ
ขนยาวที่ถูกพายุฝนสาดใส่จนเปียกลู่ตกลง แต่สภาพของมันมิได้ดูแย่อะไร ในทางกลับกัน นี่กลับทำให้มันดูค่อนข้างแข็งแกร่ง
มันคล้ายราชาแห่งสรรพสัตว์ที่กำลังตรวจตราดินแดนของตัวเอง สายตาจ้องมองไปยังน้ำในทะเลสาบอย่างเงียบๆ ทั้งระแวดระวังและตั้งใจ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในทะเลสาบยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว
ความระแวดระวังในดวงตาของมันค่อยๆ จางหายไป กลายเป็นอารมณ์ได้ใจและความเหี้ยมโหด
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของมันหดเล็กลง ร่างกายเองก็เบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อย พร้อมที่จะหมุนตัวหนีไปทุกเมื่อ
ทะเลสาบที่อยู่ภายใต้พายุฝนคล้ายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ไม่นานนัก ผิวน้ำมีคลื่นกระเพื่อมวงหนึ่งปรากฏขึ้นมา จิ๋งจิ่วเดินออกมา
……
……
ท่ามกลางพายุฝน หนึ่งคนหนึ่งแมวเผชิญหน้ากัน
จิ๋งจิ่วรู้ว่าการตะปบของแมวขาวเมื่อครู่นี้ มันมิได้ต้องการสังหารตนเองจริงๆ หากแต่คิดหยั่งเชิงเท่านั้น
แต่แน่นอน หากตนเองตายไปจริงๆ แมวขาวย่อมต้องดีใจ
หรือบางทีมันอาจแน่ใจแล้วว่าตนเองอ่อนแอ สามารถสังหารได้ทุกเมื่อ เช่นนั้น…มันอาจจะสังหารเขาจริงๆ ก็เป็นได้
แมว มันก็เป็นสัตว์ประเภทนี้แล
เวลาที่ต้องการให้เจ้าของป้อนอาหาร มันจะแสดงว่าตัวเองอ่อนโยน อ่อนแอ
เวลาที่เจ้าของไร้เรี่ยวแรงที่จะป้อนอาหารมัน มันก็จะกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างอย่างไม่ลังเล มิได้มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือหากเจ้าตายไป มันไม่มีอาหารกิน เช่นนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารของมัน
และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อถึงเวลานั้น มันมักจะเริ่มกัดแทะศีรษะของเจ้า ขนสีขาวอาบเลือด น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปทางแมวขาวตัวนั้น
การหายใจของเขาคงที่ ฝีเท้าของเขาก็คงที่ นอกจากเสื้อผ้าตรงหน้าอกที่ฉีกขาดจนหมดแล้วก็มองไม่เห็นความผิดปกติอื่นใด
สายฟ้าที่น่าหวาดกลัวเส้นนั้นและลำแสงเยือกเย็นที่ออกมาจากกรงเล็บแมวสายนั้น คล้ายจะไม่สามารถทำอะไรเขาได้
เมื่อเห็นภาพนี้ ภายในดวงตาที่หดเล็กลงของแมวขาวพลันมีความรู้สึกไม่เข้าใจอย่างรุนแรง จากนั้นก็เป็นความไม่สบายใจ
เหตุใดเจ้ายังไม่ตาย? เหตุใดเจ้าถึงไม่เป็นอะไรเลย?
จิ๋งจิ่วเดินไปหน้าแมวขาวแล้วนั่งคู้ลงไป จากนั้นยกมือขวาขึ้นมา
แมวขาวจ้องมองมือของเขา คิดอยากจะหมุนตัวหนีไป แต่มิรู้เหตุใดกลับมิยอมขยับ
ขนของมันตั้งชูชันขึ้นมา ดูระแวดระวังอย่างมาก เพราะมันรับรู้ได้ถึงอันตราย
อันตรายเช่นนี้มิได้มาจากความแข็งแกร่งของจิ๋งจิ่ว หากแต่มาจากสัญชาตญาณของมัน หรือพูดอีกอย่างก็คือตราประทับที่ประทับอยู่ในวิญญาณของมันมาเนิ่นนาน
“หลิวอาต้า”
จิ๋งจิ่วมองดูแมวขาวกล่าวว่า “เลี้ยงเจ้ามาตั้งหลายปี แต่กลับยังเลี้ยงไม่เชื่องอย่างนั้นหรือ?”
คิดไม่ถึง เจ้าแมวตัวนี้จะมีชื่อที่แปลกประหลาดเช่นนี้
มือของจิ๋งจิ่วเลื่อนลงไป
แมวขาวเหลียวศีรษะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเขา แต่ร่างกายของมันกลับสั่นเทาขึ้นมาเบาๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังสะกดความรู้สึกที่อยากจะวิ่งหนีไปอยู่
จิ๋งจิ่วคิดในใจเจ้ายังคงรังแกผู้อ่อนแอหวาดกลัวผู้แข็งแกร่งเหมือนอย่างเมื่อก่อนเลย ขี้ขลาดขี้ระแวง หากไม่รู้จักอีกฝ่ายดีพอ จะไม่กล้าลงมือเด็ดขาด
ระหว่างที่ครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ มือของเขาก็เลื่อนลงไปบนหัวของแมวสีขาว ก่อนจะลูบไล้อย่างแผ่วเบา
จิ๋งจิ่วลูบไล้แมวอย่างช่ำชอง
มือของเขาลูบหัวของแมวขาว ไล้ผ่านลำคอไปจนถึงแผ่นหลัง จนไปถึงหางของมันราวกับสายลมพัดผ่าน
จากนั้น เขาก็ทำการเคลื่อนไหวแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับไม่มีวันจะหยุดลง
หากคนอื่นอย่างฉือเยี่ยนหรือเหมยหลี่ได้มาเห็นภาพนี้ พวกเขาคงจะเลิกสงสัยว่าจิ๋งจิ่วมาจากวัดกั่วเฉิงอย่างแน่นอน
เขาลูบศีรษะหลิ่วสือซุ่ยกับเจ้าล่าเยวี่ยก็ลูบแบบนี้เช่นกัน
นี่เป็นเพียงความเคยชินของเขา หาได้เกี่ยวอะไรกับพิธีถ่ายทอดความรู้ผ่านทางศีรษะเหล่านั้นไม่
เมื่อลูบไล้ไปเรื่อยๆ แมวขาวก็ค่อยๆ หยุดสั่น อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นคงที่ขึ้นกว่าเดิม
จิ๋งจิ่วมองแมวขาวพลางถาม “เจ้ากังวลว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่ แล้วเจ้ายืนอยู่ข้างข้า ต่อไปเขาจะมาสร้างปัญหาให้กับเจ้าใช่ไหม?”
แมวขาวนอนหมอบอยู่บนพื้นหญ้าที่เปียกฝน มิได้มีความรู้สึกไม่สบายใดๆ ขณะฟังคำพูดประโยคนี้ มันยังคงมองไปทางอื่น แต่ใบหูของมันกลับกระดิกขึ้นมา
จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของมัน
—– เจ้ารู้แล้วก็ยังถาม
“อย่างนั้น ระหว่างพวกข้า เจ้าตัดสินใจจะยืนตรงกลางต่อ?”
จิ๋งจิ่วถามต่อ
แมวขาวเหลียวหน้าเหลือบมองเขาอย่างเงียบๆ
—- ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เป็นตัวประหลาดจนน่ากลัวเหมือนอย่างพวกเจ้า ข้ากล้าผิดใจใครอย่างนั้นหรือ?
“ข้ารู้แล้ว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้จริงด้วย”
เสียงของจิ๋งจิ่วเปลี่ยนเป็นบางเบา คล้ายเสื้อผ้าที่ฉีกขาดบนร่างกายเขาที่ถูกฝนตกใส่จนเปียกโชก
เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองไปทางหมู่ตำหนักที่อยู่ด้านล่างหน้าผาทางตะวันตก กล่าวว่า “เกรงว่าเจ้าหนูเหลยพั่วอวิ๋นนั่นคงจะไม่รู้อะไรเลย แต่สุดท้ายกลับต้องมาตายเพราะเขา ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
แมวขาวครุ่นคิดในใจคนโง่แบบนั้นตายก็ตายไปสิ มีอะไรให้น่าเสียดาย
“ไว้วันหน้าค่อยมาหาเจ้าใหม่”
จิ๋งจิ่วมองแมวขาวพลางกล่าว
แมวขาวมองเขาอย่างเย็นชา ความหมายคือ หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ค่อยว่ากัน
จิ๋งจิ่วเดินลงไปในทะเลสาบ ก่อนจะหายลับไปในน้ำอย่างรวดเร็ว มองไม่เห็นตัวเขาอีก
แมวขาวหมุนตัวกลับ เดินมายังหน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
เหล่าแมวป่าที่อยู่บนต้นไม้หลีกทาง
แมวขาวกระโดดเบาๆ ขึ้นไปถึงยอดไม้ที่อยู่สูงขึ้นไปสิบกว้าจ้าง ราวกับภูตผีก็มิปาน
มันหมอบอยู่บนขาหน้าอย่างเกียจคร้าน มิได้สนใจพายุฝนที่ยังกระหน่ำตกลงมาไม่หยุด
สายตามองดูผิวน้ำ ก่อนจะแน่ใจว่าจิ๋งจิ่วจากไปจริงๆ แล้ว ความดุร้ายป่าเถื่อนที่อยู่ในดวงตาของมันปรากฏขึ้นมาเพียงวูบเดียวก่อนจะหายไป
พายุฝนค่อยๆ หยุดลง ไม้วิญญาณที่อยู่ในตำหนักจมลงไปในสายแร่วิญญาณเพื่อทำการบำรุงตัวเอง เกาะกลับคืนอยู่ความสงบอีกครั้ง
เมฆยามค่ำคืนสลายหายไป หมู่ดาวกลับมาปรากฏเต็มท้องฟ้าอีกครา
ดวงดาราสาดแสงลงมาบนทะเลสาบ ผิวน้ำบนทะเลสาบคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นคันฉ่องบานหนึ่ง
แมวขาวฟุบหมอบอยู่บนต้นไม้อย่างเงียบๆ มันจ้องมองไปยังทะเลสาบ อารมณ์ในดวงตามันดูอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็มีความคิดคำนึงปะปนอยู่บ้าง
ผิวของต้นไม้ถูไม่สบายเท่าฝ่ามือของเขาจริงๆ ด้วย ฝ่ามือนั่นทั้งอบอุ่น ทั้งนุ่มนวล
มันพลันรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมา
จริงอยู่ที่สภาวะของจิ๋งจิ่วในตอนนี้ต่ำต้อย แต่ความรู้สึกบีบคั้นทางจิตใจที่เขานำมากลับรุนแรงยิ่งนัก
มันหาวออกมา ปากอ้ากว้างอย่างมาก
ท้องฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย ทะเลสาบสีเงินส่องประกาย แสงดาวดูเหมือนน้อยลงไปในชั่วพริบตา
คล้ายกับถูกใครกลืนกินลงไป
…………………………………………………………………..