มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 59 คนโง่และผี
บริเวณหน้าผาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“อย่าได้ท้อแท้ ขอเพียงเจ้าตั้งใจบำเพ็ญเพียร สามปีไปแล้วย่อมยังมีโอกาส”
กู้หานใช้น้ำเสียงของพี่ชายกล่าวคำพูดที่อ่อนโยนสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นกู้ชิงยืนอยู่ข้างกองไม้ที่ถูกตัดเหล่านั้น อารมณ์ของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นแย่ขึ้นมา
“มีคนบอกว่าเจ้ามาอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อ ตอนแรกข้ายังไม่เชื่อ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง”
เขามองดูกู้ชิง พลางพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ประเดี๋ยวตามข้าลงเขา เตรียมรับการลงโทษ”
กู้ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ามิใช่ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ตอนนี้ก็มิได้อยู่ในห้องเรียน ท่านไม่มีสิทธิ์ลงโทษข้า”
กู้หานโกรธเกรี้ยว สีหน้ายิ่งดูเย็นชา เขาตะคอกเสียงดังว่า “ถ้ากฎยอดเขาใช้ไม่ได้ ข้าก็จะใช้กฎของครอบครัวสั่งสอนเจ้าแทนท่านพ่อ!”
กู้ชิงมองดูเขา พลางยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “พวกท่านเอาแต่พร่ำบอกหลิ่วสือซุ่ยว่าทันทีที่ผ่านประตูเข้ามาแล้ว เรื่องราวในโลกปุถุชนทั้งหมดต้องตัดขาดให้สิ้น เหมือนที่จะตัดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจิ๋งจิ่ว เหตุใดพอเป็นข้ากลับมิได้เป็นเช่นนั้นเล่า? ครอบครัวอะไรกัน? ชิงซานคือครอบครัวของข้า เช่นนั้นกฎของครอบครัวมันคือสิ่งใด…ศิษย์พี่กู้?”
เมื่อกล่าวถึงสามพยางค์สุดท้าย น้ำเสียงเขาเน้นหนักขึ้น
กู้หานมองดูเขาด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นพลันหมุนตัวเดินจากไป มิกล่าวกระไรอีก
ครั้นมาถึงปลายยอดเขา เขามองเห็นเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้น คิ้วที่เรียวยาวเหมือนกระบี่เลิกขึ้นเล็กน้อย คล้ายต้องการประชดประชัน
จิ๋งจิ่วรู้ว่ามีคนมา เขาหาได้ลืมตาไม่
“เรื่องนี้เจ้าเป็นคนยุแยงใช่ไหม?”
กู้หานมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “ต่อให้ในแต่ละยอดเขาจะมีอาจารย์บางคนชื่นชมเจ้า แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะแบกรับผลลัพธ์จากการเป็นศัตรูกับตระกูลกู้ของข้าและยอดเขาเหลี่ยงว่างไหว?”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่ลืมตา แล้วก็มิได้สนใจเขา หากแต่ยกมือขวาขึ้นมา
วานรตัวหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้ ก่อนจะยกหินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วโยนไปในถ้ำ
เสียงพลั่กเบาๆ ดังขึ้น ไม่นาน เจ้าล่าเยวี่ยก็เดินออกมาจากด้านใน
เมื่องเห็นนาง อารมณ์ของกู้หานพลันสับสนเล็กน้อย เขาฝืนคารวะ กล่าวว่า “คารวะท่านเจ้ายอดเขา”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้นอนมาทั้งคืน ทั้งหัวของนางตอนนี้มีแต่เรื่องเคล็ดกระบี่เล่มนั้น จึงกล่าวไปตรงๆ อย่างมิได้เกรงใจอะไร “ตามสบาย มีเรื่องอะไร?”
เป็นเพราะน้ำเสียงของนาง กู้หานจึงตะลึงลานไปครู่ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าจะพากู้ชิงไป”
เจ้าล่าเยวี่ยเหลือบมองจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วยังคงมิกล่าวกระไร
เจ้าล่าเยวี่ยหันมองกู้หาน กล่าวว่า “กู้ชิงมิใช่ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างแล้ว”
“แต่เขาก็มิใช่คนของยอดเขาเสินม่อเช่นกัน” กู้หานกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “ตามกฎของสำนัก เขาไม่สามารถอาศัยอยู่ในยอดเขาทั้งเก้าได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เขาเพียงแค่อาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น คล้ายกับตอนแรกที่อยู่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง”
กู้หานนิ่งเงียบไปครู่ มิได้กล่าวกระไรอีก จากนั้นทำการคารวะแล้วเดินจากไป
กู้หานเดินมาถึงทางขึ้นเขา ในหัวครุ่นคิดถึงภาพเจ้าล่าเยวี่ยเหลือบไปมองจิ๋งจิ่วก่อนที่จะตอบคำถามตนก่อนหน้านี้ จึงรู้สึกมิค่อยพอใจ เขาทนไม่ไหวหันหน้ากลับไปมองปลายอยอดเขา ก่อนจะเห็นภาพๆ หนึ่งเข้าพอดี เจ้าล่าเยวี่ยเดินมายังข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ ก้มศีรษะลงมาพูดอะไรบางอย่างกับจิ๋งจิ่ว ทั้งสองคนใกล้ชิดกันอย่างมาก….
กู้หานไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อีก ภายใต้อารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน เจตน์กระบี่พลันพุ่งออกจากกาย
เสียงฉึบดังขึ้น ต้นไม้ที่อยู่ข้างทางขึ้นเขาต้นหนึ่งมีใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนร่วงตกลงมา รอยแตกรอยหนึ่งฝังลึกเข้าไปในต้นไม้ ขอเพียงผลักเบาๆ มันก็จะหักโค่นลงมาเป็นสองท่อน
เหล่าลิงในป่าต่างตกใจ ส่งเสียงร้องแปลกๆ พลางกรูกันเข้ามา เมื่อเห็นต้นไม้ที่จะหักแหล่มิหักแหล่ต้นนั้น แล้วมองไปทางกู้หาน สายตาของพวกมันดูแปลกใจ คล้ายกำลังมองดูคนโง่คนหนึ่งอยู่
กู้หานสะกดกลั้นความโกรธ ในใจคิดอยากสั่งสอนเดรัจฉานเหล่านี้เสียหน่อย แต่พอคิดถึงกฎเหล็กของสำนักชิงซาน เขาจึงได้แต่ส่งเสียงเหอะออกมาเบาๆ
ร่างเขาค่อยๆ หายไปบนทางขึ้นเขา
เหล่าวานรผลักไม้ต้นนั้นล้มลงไปเบาๆ ก่อนจะยกมันไปทางผาขาด เตรียมจะเอามันให้กับคนโง่ที่สร้างบ้านไม่เป็นคนนั้น ระหว่างทางส่งเสียงร้องฟังดูวุ่นวาย
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ได้ยินว่ากู้ชิงเป็นลูกคนละแม่ของกู้หาน เมื่อก่อนอยู่ที่บ้านถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง”
จิ๋งจิ่วลืมตาขึ้น กล่าวว่า “ข้าไม่รู้”
คำพูดนี้มีอีกความหมายหนึ่งคือข้าไม่สนใจ
สำหรับเรื่องราวในครอบครัวที่พบเห็นได้บ่อยๆ เช่นนี้เจ้าล่าเยวี่ยก็มิได้สนใจ นางสนใจอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า
“เป็นไปได้หรือไม่ว่ากู้ชิงจะเป็นสายลับที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างส่งมา?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“ข้าได้เคยบอกเจ้าหรือเปล่า? ข้าคิดว่าตัวเองถนัดเรื่องการวางแผนมาก”
“เจ้ายังคิดมากไป
จิ๋งจิ่วกล่าว “ชิงซานมีเก้ายอดเขา หากแต่ละยอดเขายังต้องมานั่งระแวงกัน เช่นนั้นแยกกันไปเลยไม่ดีกว่าหรือ?”
การแยกยอดเขาทั้งเก้าย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เป็นไปได้ว่าตอนนี้สำนักชิงซานอาจจะมีปัญหาเข้าแล้ว
บนยอดเขาอวิ๋นสิง จั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หูคิดสังหารเจ้าล่าเยวี่ยปิดปาก เป็นเพราะรู้ว่านางกำลังสืบอะไรบางอย่าง
อย่างเช่นสาเหตุที่เจ้าแห่งยอดเขาปี้หูธาตุไฟเข้าแทรก อย่างเช่นเหตุใดอาจารย์เมิ่งถึงต้องสังหารอินซานให้ได้
ปัญหาเหล่านี้ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีอยู่จริง เพียงแต่รอว่าเมื่อไรความจริงจะปรากฏออกมาเท่านั้น
……
……
เมื่อมาถึงฤดูร้อน สิ่งมีชีวิตในยอดเขาเสินม่อยิ่งทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องนับวันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงจักจั่นเข้ามาแทนที่เสียงร้องของวานร กลายเป็นท่วงทำนองหลักของที่นี่
ในคืนหนึ่ง พลันมีพายุฝนโหมกระหน่ำลงมา สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก่อกำเนิดจากในก้อนเมฆสีดำ ก่อนจะตกลงมายังพื้นดิน
ไม่ว่าจะเป็นสายฟ้าหรือว่าพายุฝนก็ล้วนแต่ไม่สามารถทะลุผ่านม่านพลังของข่ายพลังชิงซานได้ พวกมันได้แต่ตกลงรอบๆ หมู่ยอดเขา
ในตอนที่สายฟ้าหยุดผ่าลงมาชั่วคราว บนท้องฟ้าที่กลับคืนสู่ความมืดอีกครา จู่ๆ ก็ถูกลำแสงกระบี่หลายสิบสายส่องสว่าง
ลูกศิษย์ของแต่ละยอดเขาขี่กระบี่ออกมา ก่อนจะบินออกไปนอกข่ายพลัง
สำหรับศิษย์ที่บรรลุขั้นมิประจักษ์หรือขั้นคเนจรแล้ว เป้าหมายหลักของพวกเขาคือการยืมพายุฝนมาล้างกระบี่
ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บินหรือโอสถกระบี่ของพวกเขาก็ล้วนแต่ต้องอาศัยพลังที่บริสุทธิ์ที่สุดเช่นนี้มาชำระล้าง
สำหรับศิษย์ขั้นสมความนึกคิดแล้ว พวกเขาจำเป็นต้องอาศัยพายุฝนนี้มาช่วยปรับตัวเข้ากับฟ้าดินใหม่ให้เร็วที่สุด
——ปล่อยใจให้ว่าง รับเข้ามาและใช้ออกไป อาศัยสรรพสิ่งมาเติมเต็ม
เมื่อเข้าสู่สภาวะสมความนึกคิด เหล่าลูกศิษย์จะสามารถรับรู้ถึงฟ้าดินได้กว้างไกลยิ่งขึ้น และละเอียดยิ่งขึ้น
แม้นจะเป็นเสียงร้องของแมลงที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจ้างก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
หากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแบบนี้ได้ เหล่าลูกศิษย์อาจจะถูกทรมานจนไม่สามารถนอนหลับ หรืออาจถูกธาตุไฟเข้าแทรกได้
พายุฝนที่มาพร้อมกับพลังแห่งฟ้าดินนี้ย่อมเป็นสภาพแวดล้อมสำหรับบำเพ็ญเพียรที่ดีที่สุด
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน จิ๋งจิ่วก็บรรลุเข้าสู่ขั้นสมความนึกคิดแล้ว
เขามิได้ออกไปนอกข่ายพลังชิงซาน นั่นย่อมมิได้เป็นเพราะเขาไม่สามารถขี่กระบี่บินได้
เขายืนอยู่ริมผาอย่างเงียบๆ ฟังเสียงฟ้าร้องที่อยู่ไกลออกไป
เขามีเนตรกระบี่ที่หาได้ยาก ความสามารถในการได้ยินก็เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป อีกทั้งร่างกายยังถูกยกระดับจากสภาวะสมความนึกคิด แม้นจะอยู่ไกลขนาดนี้ ก็ยังมีโอกาสถูกเสียงฟ้าร้องสั่นสะเทือนจนสลบไปได้
มิรู้เขาใช้วิธีอะไร ถึงไม่ได้รับผลกระทบจากพายุฝน
ภายนอกข่ายพลังชิงซาน สายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมายังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาไร้ชื่อ
เสียงแคร่กดังขึ้น ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นถูกผ่าจนแตกออก เกิดเป็นเปลวไฟลุกโชน ก่อนจะถูกพายุฝนค่อยๆ ดับลง
เมื่อเห็นภาพนี้ เขาพลันคิดถึงไม้วิญญาณอัศนีขึ้นมา ก่อนจะมองไปทางยอดเขาลูกหนึ่ง
ท้องฟ้าตรงนั้นคล้ายถูกฉีกจนเป็นรู สายฟ้าฟาดลงมาไม่หยุด พายุฝนกระหน่ำตกลงมาจนกลายเป็นสีขาว ดูคล้ายน้ำตกที่ไร้ซึ่งจุดกำเนิด งดงามยิ่งนัก
นั่นคือยอดเขาปี้หู
เจ้าล่าเยวี่ยสืบทราบว่าไม้วิญญาณอัศนีของยอดเขาปี้หูหายไปสองท่อน เช่นนั้นอีกหนึ่งท่อนถูกใครใช้ไป?
เขาครุ่นคิดอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ นั้นมาหนึ่งปี คาดคำนวณล่วงหน้าว่าจะเจอกับปัญหาที่สำคัญที่สุดสองสามอย่าง และนี่คือหนึ่งในนั้น
เหลยพั่วอวิ๋นเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ จิตใจได้รับความกดดันอย่างหนักจนสุดท้ายกลายเป็นบ้า ดังนั้นจึงถูกฆ่าปิดปาก
จิ๋งจิ่วทำการตัดสินใจออกมา
เขาต้องไปดูที่ยอดเขาปี้หู
แม้นจะเดาถูกหลายอย่าง แต่หากยังไม่ได้คำตอบที่แน่นอน เขาก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร
เมื่อไม่มีคนให้ถาม เช่นนั้นก็ไปถามผี
……………………………………………………