มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 46 ดูก็ดูสิ
แน่นอน ความจริงแล้วเขายังมีวิธีในการขึ้นไปบนยอดเขาอยู่อีก เพียงแต่ก็เหมือนกับที่เขากล่าวเอาไว้กับเจ้าล่าเยวี่ย ในเวลานี้เป็นไปได้มากว่ามีคนกำลังจับตามองทางนี้อยู่
เจ้าสำนักและหยวนฉีจิงสามารถมองเห็นที่นี่ได้ หากพวกเขายินดีล่ะก็
หากเป็นเวลาอื่น จิ๋งจิ่วคงมิยอมเดินขึ้นไปยังปลายสุดของยอดเขาต่อแน่ หากแต่เลือกที่จะเดินกลับ แต่ว่า….
เขาเหลือบมองดูเจ้าล่าเยวี่ย ในใครครุ่นคิดสาวน้อยคนนี้คงจะผิดหวังอย่างมากกระมัง?
“อย่างนั้น…ดูก็ดูสิ”
เขามองไปทางยอดเขาที่อยู่ในส่วนหนึ่งของทะเลหมอกเหล่านั้นพลางกล่าวเสียงเบาๆ
เขายื่นนิ้วมือออกไปแตะสร้อยที่อยู่บนข้อมือของเจ้าล่าเยวี่ยเบาๆ
ไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ สร้อยข้อมือลอยออกมาจากข้อมือของสาวน้อย ก่อนจะกลายเป็นโซ่กระบี่่แล้วถูกเขากุมเอาไว้ในมือ
มิรู้เพราะเหตุใด โซ่กระบี่ที่ไม่ธรรมดาเส้นนี้ถึงยอมฟังคำสั่งของเขา
ความคิดของเขาขยับเล็กน้อย โซ่กระบี่พุ่งตัวออกไปราวอสรพิษ โอบรัดร่างกายเจ้าล่าเยวี่ยเอาไว้
เขาปลดกระบี่ลงมาจากหลัง ครุ่นคิดเล็กน้องจึงเก็บกลับไป จากนั้นหิ้วเจ้าล่าเยวี่ยเดินขึ้นไปบนยอดเขา
วิธีของเขาช่างชาญฉลาด ตำแหน่งที่โซ่กระบี่และร่างกายของนางสัมผัสกันสามารถรับแรงได้เท่าเทียมกัน
เจ้าล่าเยวี่ยถูกเขาหิ้วเอาไว้ในมือ คล้ายกับนอนดูบนเปลญวน นอนหลับอย่างสบาย มิได้ตื่นขึ้นมา
……
……
จิ๋งจิ่วเดินขึ้นยอดเขา ท่วงท่าย่อมแตกต่างจากเจ้าล่าเยวี่ย
เขามิได้มาคอยระมัดระวัง เดินสามก้าวถอยสองก้าว ประเดี๋ยวหมุนขวา ประเดี๋ยวแฉลบเล็กน้อยเหมือนเจ้าล่าเยวี่ย
เขามิได้ทำอะไรเป็นพิเศษเลย หากแต่เดินไปเฉยๆ
เดินไปบนทางขึ้นเขาสองก้าว เขาก็พบกับเจตน์กระบี่สายหนึ่ง
เสียงเพล้งดังขึ้น ทั้งชัดเจนและกังวาน บนชุดขาวมีรอยขาด
เขาก้าวไปข้างหน้าต่อ มิได้หยุดชะงักแม้เพียงน้อย ราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
ขณะที่ก้าวไปบนทางขึ้นเขา ฝีเท้าของเขาเร็วขึ้นทุกขณะ เจตน์กระบี่ที่พบเจอยิ่งทวีจำนวนมากขึ้น เสียงที่ดังชัดเจนก็ยิ่งเร่งเร้ามากขึ้น
เพล้งๆๆๆ! เหมือนพายุฝนที่โหมกระหน่ำลงมา แล้วก็เหมือนสายธนูจำนวนนับไม่ถ้วนที่ขาดผึง แล้วก็เหมือนกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนที่ปะทะเข้าด้วยกัน
เสียงกระบี่ดังขึ้นไม่ขาดสาย พื้นที่ที่ถูกข่ายพลังกระบี่กั้นเอาไว้ถูกฝืนเปิดออก เสียงดังสะท้อนไปทั่วทั้งหน้าผา แล้วก็ไม่สามารถดังออกไปด้านนอกได้ เสียงสะท้อนค่อยๆ ผสมเข้าด้วยกัน จนยิ่งทุ้มต่ำขึ้น ยิ่งน่ากลัวขึ้น คล้ายเสียงฟ้าคำรามที่กวาดผ่านทางขึ้นเขาอย่างไม่หยุดย่อน
หากในเวลานี้มีคนอยู่บนทางขึ้นเขา เกรงว่าคงจะถูกเสียงกระบี่นับพันนับหมื่นที่รวมกันเป็นเหมือนเสียงฟ้าคำราม สั่นสะเทือนจนสูญเสียการได้ยินแน่
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ตื่นขึ้นมา สีหน้านางแดงเรื่อ หลับอย่างสบาย ดูเหมือนจิ๋งจิ่วจะปกป้องนางได้ดีมาก
……
……
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ท้องฟ้ายังคงมืดมิด แสงแรกของวันยังมาไม่ถึง
ปลายยอดเขาเสินม่ออยู่ตรงหน้า
บริเวณระหว่างยอดเขาและหน้าผา มีศาลาสองสามแห่งปรากฏขึ้นมาลางๆ
จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้า นวดเฟ้นใบหน้า
จากด้านล่างเดินมาถึงที่นี่ ชนเจตน์กระบี่จำนวนมากขนาดนั้นจนแตก แม้นจะเป็นเขา ใบหน้าก็ยังเกิดความรู้สึกชา
ชุดเขาของเขามีความพิเศษยิ่งนัก น้ำไฟมิอาจกล้ำกราย สามารถต้านทานกระบี่บิน แต่ในเวลานี้กลับฉีกขาดจนไม่เหลือสภาพเดิม
เศษผ้าหลายสิบเส้นพาดแขวนอยู่บนตัวเขา เผยให้เห็นร่างกายที่ขาวปานหยกขาว ดูทุลักทุเลยิ่งนัก
บริเวณหน้าผาพลันมีเสียงลมสะอึกสะอื้นมิหยุด ฟังดูเศร้าโศกเสียใจ คล้ายภูตผีกำลังร่ำไห้
เพลิงวิญญาณอันเยือกเย็นหลายสิบดวงลอยออกมาจากรอยแตกบนหน้าผาที่อยู่ข้างหน้า จากนั้นค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นใบหน้าที่ดูอัปลักษณ์และดุร้าย ดูแล้วค่อนข้างน่าหวาดกลัว
“มิน่าตอนนั้นมั่วฉือถึงได้ฉายาว่าวิญญาณแห่งหมิง น่าเกลียดจริงด้วย”
จิ๋งจิ่วมองดูวิญญาณแห่งหมิงที่ปล่อยกลิ่นอายอันน่าหวาดกลัวออกมา พลางส่ายหน้า
หลายปีก่อน นักพรตไท่ผิงเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ผู้บำเพ็ญเพียรของราชวงศ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์และแคว้นเสวี่ยทำศึกกันบนที่ราบหิมะหลานหลิง
เจ้าสำนักพาผู้นำแห่งวิถีกระบี่ของยอดเขาทั้งเก้าเข้าโรมรันช่วยเหลือ ในสำนักชิงซานเหลือเพียงศิษย์ธรรมดาคอยคุ้มกัน
ในเวลานี้นั้นเอง ทางเจวี่ยนเหลียนเหรินได้ทำข้อมูลที่สำคัญยิ่งหลุดรั่วออกไป ข้อมูลเหล่านั้นตกอยู่ในมือหมิงซือ
หมิงซือผู้นี้พาลูกน้องเข้ามาในยอดเขาทั้งเก้าผ่านทางรูรั่วบนข่ายพลังชิงซานที่บันทึกเอาไว้ในข้อมูล โดยคิดจะชิงของบางอย่างไป
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าของสิ่งนั้นจะมิได้อยู่ในคุกกระบี่บนยอดเขาซั่งเต๋อ หากแต่อยู่บนยอดเขาเสินม่อ
หมิงซือคำนวณดูแล้ว คิดว่าจิ่งหยางน่าจะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ โอกาสนี้จึงมิอาจปล่อยให้หลุดมือไปได้
ชั่วชีวิตของจิ่งหยาง เวลาส่วนใหญ่จะเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิได้คำนวณผิดพลาด
แต่หมิงซือคิดไม่ถึงว่าในตอนที่พวกเขาเหยียบเข้ามาในชิงซาน ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน ดังนั้นจิ่งหยางจึงออกมาจากการเก็บตัว
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งของเผ่าหมิงเหล่านั้น จิ่งหยางใช้เพียงหนึ่งกระบี่ก็สังหารจนสิ้น
หมิงซือเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนเกือบหนีออกมาไม่ได้
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างของชิงซาน และเกี่ยวข้องกับเจวี่ยนเหลียนเหริน ดังนั้นมันจึงถูกเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด
ทางเผ่าหมิงเองก็ย่อมไม่มีทางป่าวประกาศความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ออกมา ดังนั้นจนถึงตอนนี้จึงมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้
หลังเจ้าสำนักชิงซานกลับมา เขารู้สึกว่าควรเก็บกวาดเศษซากเพลิงวิญญาณเสียหน่อย อย่างน้อยก็ควรจัดการกับซากศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนยอดเขาเสินม่อ
จิ่งหยางรู้สึกยุ่งยาก ยอดเขาเสินม่อไม่มีลูกศิษย์ และไม่มีแขกมาเยือน เหตุใดต้องทำให้วุ่นวายด้วย
ดังนั้นซากศพของเผ่าหมิงเหล่านั้นจึงกระจัดกระจายอยู่บนหน้าผาอย่างนั้น ถูกลมฝนชะล้างนานวันเข้าก็แปรเปลี่ยนเป็นโครงกระดูก จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นฝุ่นธุลี
ส่วนเศษซากเพลิงวิญญาณเหล่านั้นยังคงอยู่อย่างนั้น จนตอนนี้กลายเป็นเหมือนวิญญาณแค้นอย่างไรอย่างนั้น
วิญญาณแค้นที่ก่อร่างมาจากเศษซากเพลิงวิญญาณนี้ไม่มีสติปัญญา มีเพียงความความเคียดแค้นและความคิดชั่วร้าย สำหรับลูกศิษย์ธรรมดาแล้วอาจจะค่อนข้างยุ่งยาก
แต่ในสายตาของจิ๋งจิ่ว เศษเพลิงวิญญาณเหล่านี้มิได้ต่างอะไรกับควันที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่หมดของฟื้นชื้นๆ ที่อยู่ในเตาเลย
“ถอยไป”
เขาหิ้วเจ้าล่าเยวี่ยเดินขึ้นไปยังยอดเขา
ในตอนที่เดินผ่านวิญญาณเผ่าหมิงที่น่ากลัวนั้นมา เขามิได้หยุดชะงักแม้เพียงนิดเดียว
วิญญาณเผ่าหมิงดวงนั้นส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนแสบแก้วหูออกมา มันคิดจะกลืนจิ๋งจิ่วลงท้อง
ทันใดนั้น วิญญาณหมิงแตกกระจายกลายเป็นเพลิงแห่งหมิงอันเยือกเย็นสิบกว่าดวง เพลิงแห่งหมิงเหล่านั้นส่งเสียงร้องน่าหวาดกลัวออกมา พวกมันพยายามหนีขึ้นไปยังปลายยอดเขา แต่หนีไปได้ไม่ไกลเท่านั้นก็ตกลงบนผาอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะกลายเป็นกลุ่มควันแล้วสลายหายไป
“รอให้พวกมันรวมตัวกันแล้วค่อยจัดการ ง่ายกว่าไปไล่ตามหาพวกมันจริงด้วย”
จิ๋งจิ่วคิดเช่นนี้ ก่อนจะเดินเข้าในศาลาเล็กๆ ที่อยู่บนปลายสุดของยอดเขา หอแห่งนี้ก็เหมือนกับสิ่งก่อสร้างส่วนมากของชิงซาน ที่ด้านหลังศาลามีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง
ที่นี่คือถ้ำของจิ่งหยางในอดีต
วัสดุที่ใช้สร้างศาลาย่อมต้องเป็นไม้ยักษ์ที่ล้ำค่าที่สุด บนพื้นปูไว้ด้วยหยกงามสีขาว การตกแต่งภายในดูมิธรรมดา ทุกรายละเอียดล้วนสมบูรณ์แบบ
แต่เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้ร้างคนอยู่อาศัยมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคานหรือบนพื้นที่ปูไว้ด้วยหยกล้วนแต่มีฝุ่นจับเป็นชั้นบางๆ
จิ๋งจิ่วเดินไปหน้ากำแพง ยื่นมือไปบิดไข่มุกราตรีที่อยู่บนกำแพง
เสียงครึกๆ ดังขึ้น พื้นสั่นสะเทือนเบาๆ มิรู้สิ่งใดกำลังเริ่มขยับเขยื้อน
ลมเย็นพัดเข้ามา ละอองฝุ่นที่จับตัวอยู่บนคานและพื้นถูกพัดจนฟุ้งกระจายออกไปนอกศาลา ไม่นานภายในถ้ำก็สะอาดหมดจด ไม่มีฝุ่นจับแม้เพียงน้อย
จิ๋งจิ่ววางเจ้าล่าเยวี่ยไว้บนพื้น ก่อนจะเดินวนอยู่ในศาลารอบหนึ่ง บางครั้งยื่นมือไปลูบไล้ผนังหิน เสา แล้วก็ข้าวของเครื่องใช้เหล่านั้น
สุดท้ายเข้ามายังตรงกลางศาลา สองมือไพล่หลังมองไปรอบๆ ในใจรู้สึกทอดถอนใจ
เขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้กลับมาเห็นสิ่งเหล่านี้เร็วขนาดนี้
เจ้าล่าเยวี่ยเปลี่ยนแปลงแผนการของเขา แต่ตอนนี้ดูแล้ว มันก็ไม่เลวเหมือนกัน
เขาเดินเข้าไปในถ้ำ จากนั้นกดไปบนผนังหินที่อยู่ด้านในสุดเบาๆ ผนังหินขยับเขยื้อนอย่างไร้ซุ่มเสียง เผยให้เห็นห้องทำสมาธิห้องหนึ่ง
ภายนอกห้องแขวนเสื้อผ้าเอาไว้สิบกว่าชุด เน้นสีขาวเป็นหลัก ดูค่อนข้างสะอาดสะอ้าน
นิ้วมือของจิ๋งจิ่วไล้ไปบนเสื้อผ้าเหล่านี้อย่างแผ่วเบา สุดท้ายจึงหยุดลง
เขาเลือกชุดสีขาวชุดหนึ่ง มิได้พอดีตัวเท่าไรนัก ถือว่าพอใส่ได้
……………………………………………………..