มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 38 กระบี่ล่ะ
ความเคลื่อนไหวตรงแม่น้ำทำให้อาจารย์ของแต่ละยอดเขาที่อยู่บนหน้าผาสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลามขึ้นไปยังแท่นหินที่อยู่เหนือหน้าผาขึ้นไป
ศิษย์น้องของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยนางหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากตรงตำแหน่งของสำนักชิงหรงมองไปอีกฟากหนึ่งอย่างสงสัย พลางกล่าว “คนผู้นี้คือใคร รูปงามยิ่งนัก”
ลูกศิษย์ของสำนักเฟิงเตาผู้หนึ่งขมวดคิ้วกล่าวว่า “ดูจากความวุ่นวายแล้ว คนผู้นี้น่าจะมีชื่อเสียงอย่างมากในชิงซาน”
……
……
กู้หานมองดูบริเวณลำธาร สีหน้าดูแย่ขึ้นมา
กั้วหนานซานตบบ่าเขา ยิ้มเล็กน้อยมิกล่าวกระไร
หม่าหวาคล้ายมองไม่เห็นภาพนี้ ยิ้มพลางด่าว่า “เจ้านี้มันหน้าไม่อายจริงๆ สืบทอดกระบี่อะไรของมัน”
……
……
นั่นสิ ไม่มีกระบี่ แล้วจะสืบทอดกระบี่ได้อย่างไร?
จิ๋งจิ่วสองมือว่างเปล่า แขนเสื้อปลอดโปร่ง ไหนเลยจะมีกระบี่ได้?
ครึ่งปีก่อน จิ๋งจิ่วขึ้นยอดเขากระบี่เป็นครั้งแรกก็สามารถเดินเข้าไปในชั้นเมฆได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าเขาคงใช้เวลามินานก็สามารถเอากระบี่ได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเขาขึ้นยอดเขากระบี่อีก
เช่นนั้นเขาก็ย่อมมิได้เอากระบี่เซียนที่อาจารย์ม่อทิ้งไว้เล่มนั้นลงมา
อาจารย์หลายๆ คน รวมไปถึงอาจารย์อาเหมยหลี่ก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับในความจริงที่ว่าจิ๋งจิ่วมิได้เป็นอัจฉริยะเหมือนอย่างหลิ่วสือซุ่ย อาจต้องรอถึงงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนในอีกสามปีข้างหน้า เขาถึงจะเข้าใจ และฉายแสงของตัวเองออกมา
แต่ใครจะไปคิดถึงว่าเวลานี้จิ๋งจิ่วกลับก้าวออกมา
หรือเขาเอากระบี่มาได้สำเร็จแล้ว?
เช่นนั้นเขาไปเอากระบี่มาเมื่อไร?
กระบี่ล่ะ?
……
……
นั่นสิ กระบี่ล่ะ?
ครั้นได้ยินเสียงพูดคุยรอบๆ เหล่านั้น จิ๋งจิ่วถึงฉุกคิดขึ้นมาว่าตนเองลืมอะไร
มิน่าในครึ่งปีมานี้เขามักจะรู้สึกว่าตนเองลืมอะไรบางอย่างไป
ถูกต้อง เขาลืมกระบี่เล่มนั้น
เมื่อครึ่งปีก่อนในคืนนั้น เขากับเจ้าล่าเยวี่ยร่วมมือกันสังหารอาจารย์แห่งยอดเขาปี้หูที่บรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์ผู้นั้น จากนั้นเขาก็ได้เอากระบี่เล่มนั้นลงมาด้วย
เขาเอากระบี่เล่มนั้นไปวางไว้ที่ไหนแล้ว?
จิ๋งจิ่วเริ่มหวนคิดขึ้นมาอย่างจริงจัง
เวลานั้นมือซ้ายของเขาหิ้วศพนั่น มือขวาถือกระบี่ อีกทั้งต้องถือศีรษะอันนั้น รู้สึกว่ามิค่อยสะดวก จึงเอาศีรษะเสียบไปบนกระบี่
กระบี่เล่มนั้นย่อมต้องอาบเลือด ครั้นกลับมาถึงถ้ำ คราบเลือดดูสะดุดตายิ่งนักเมื่ออยู่ใต้แสงไฟ
เขารู้สึกว่าการล้างกระบี่มันยุ่งยาก เลยโยนให้วานรที่อยู่บนหน้าผาเอาไปจัดการทำความสะอาด
จากนั้น…เขาก็ลืมเรื่องนี้ไป ลืมให้วานรเอากระบี่เล่มนั้นกลับมา
ใช่แล้ว เป็นแบบนี้นี่เอง
กระบี่ น่าจะยังอยู่ในมือวานรเหล่านั้น
เขาคิดว่าเรื่องนี้ใช้เวลาไม่นานเท่าไร แต่มันก็ต้องใช้เวลานิดหน่อย
สีหน้าผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยผู้นั้นดูมิดีเท่าไร เขาถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “กระบี่ล่ะ?”
เขาเห็นสองมือจิ๋งจิ่วว่างเปล่า ในใจครุ่นคิดนอกเสียจากเจ้าจะสร้างโอสถกระบี่ได้สำเร็จ และเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ มิเช่นนั้นแล้วข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะเอากระบี่ออกมาได้อย่างไร
“รอเดี๋ยว” จิ๋งจิ่วกล่าว
จากนั้นเขามองไปทางหน้าผาที่อยู่ท้ายลำธาร พลางถามว่า “กระบี่ล่ะ?”
หน้าผาเต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบ สิ้นเสียงเขา ใบไม้พลันสั่นไหว เสียงวานรดังขึ้นมาไม่หยุด
ในป่าวุ่นวายเล็กน้อย คลับคล้ายมีฝุ่นลอยฟุ้งขึ้นมา มิรู้มีวานรมากน้อยเท่าไรส่งเสียงร้อง เสียงร้อยค่อยๆ เบาห่างออกไป
ผ่านไปไม่นานนัก เสียงวานรค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา น่าจะวิ่งกลับมาอีกครั้ง
ป่าไม้สั่นไหว ฝุ่นควันลอยฟุ้ง วานรสิบกว่าตัวปีนขึ้นไปบนยอดไม้
มีวานรตัวหนึ่งยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของป่า แขนยาวๆ ของมันโบกไปมามิหยุด พลางส่งเสียงร้องที่ฟังดูเร่งเร้า
ในมือวานรตัวนั้นถือกระบี่เอาไว้เล่มหนึ่ง
……
……
บนหน้าผาริมลำธารล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร ความสามารถในการมองเห็นแหลมคมกว่าคนธรรมดามิรู้กี่เท่า พวกเขามองเห็นภาพตรงบริเวณหน้าผาอย่างชัดเจนแต่แรกแล้ว
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของหลายคนต่างดูมิดีเท่าไร สีหน้ากู้หานยิ่งคร่ำเคร่งคล้ายพายุฝนที่กำลังก่อตัว
สำหรับศิษย์สำนักชิงซานแล้ว กระบี่บินคือสหายที่พวกเขาไว้วางใจมากที่สุด เป็นสหายร่วมรบที่แน่วแน่ที่สุด
พวกเขาทะนุถนอมกระบี่ของตนเองยิ่งนัก นอนหลับด้วยกันทุกคืน เช็ดถูทำความสะอาดทุกวัน บำรุงรักษาทุกเวลา
ใครจะไปคิดบ้างว่าหลังจิ๋งจิ่วเอากระบี่มาได้สำเร็จ เขากลับโยนกระบี่ให้วานรเหล่านั้นเอาไปเล่น
สำหรับอาจารย์อาม่อที่ลาโลกไปแล้ว สำหรับยอดเขาซื่อเยวี่ย สำหรับคำว่ากระบี่ นี่คือการลบหลู่!
วานรตัวนั้นโยนกระบี่ลงมา
แม้นจะคล้ายมนุษย์เพียงใด แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงแค่ลิงตัวหนึ่ง มิอาจควบคุมทิศทางให้ดีได้
กระบี่เล่มนั้นหมุนควงกลางอากาศ มองดูแล้วต้องตกลงในลำธารเป็นแน่
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าบางคนยิ่งดูแย่กว่าเดิม ผู้อาวุโสจากยอดเขาซื่อเยวี่ยผู้นั้นส่งเสียงเหอะในลำคอ เตรียมขี่กระบี่ออกไปรับกระบี่ แต่ก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว
เนื่องเพราะ จิ๋งจิ่วยกมือขึ้นมา
……
……
กระบี่เล่มนั้นพลันหยุดกลางอากาศ มิได้หมุนควงอีก
เสียงฟิ้วดังขึ้น กระบี่เล่มนั้นร่วงตกลงมา แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่ง ก่อนจะหายไปข้างลำธาร
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปบนมือขวาของจิ๋งจิ่ว
ในมือเขากำกระบี่เอาไว้เล่มหนึ่ง
แสงกระบี่เล่มนั้นสลัวลง ตัวกระบี่ทั้งกว้างทั้งตรง นั่นคือกระบี่เซียนที่อาจารย์ม่อแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยคืนกลับสู่ชิงซานเมื่อปีที่แล้วเล่มนั้น
ทุกคนตะลึงลาน
ก่อนหน้านี้กระบี่เล่มนั้นลอยอยู่กลางอากาศเหนือผิวลำธารหลายสิบจ้าง
จิ๋งจิ่วยื่นมือ กระบี่พลันร่วงเข้าสู่มือของเขา
นี่คือการรับกระบี่ มิใช่การออกกระบี่ ทว่าระยะห่างไกลขนาดนี้ก็ยังสามารถเรียกกลับมาได้ แสดงให้เห็นว่าเขาได้บรรลุสภาวะตั้งมั่นจนบริบูรณ์แล้ว!
เช่นนั้นเขาก็ย่อมมีสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน
เซวียหย่งเกอกล่าวกับคนที่อยู่ข้างกายอย่างตื่นเต้น “ข้ารู้อยู่แล้วว่าข้าเดามิผิด! มันจะต้องแอบฝึกฝนอย่างหนักอยู่ในถ้ำทุกวันทุกคืนแน่! ช่าง…ช่างเสแสร้งจริงๆ!”
……
……
ผู้คนต่างตกใจ หลังตั้งสติได้ก็มีหลายคนมิพอใจ
บางคนมิพอใจเพราะรู้สึกว่าตนเองอาจพลาดอะไรบางอย่างไป อาทิเช่นอาจารย์อาเหมยหลี่แห่งยอดเขาชิงหรง
จิ๋งจิ่วเอากระบี่ได้สำเร็จ เหตุใดนางจึงไม่รู้เรื่องนี้?
นางมองไปทางหลินอู๋จือที่กำลังยิ้มเล็กน้อยมิกล่าวกระไร พลันรู้ว่าเขาคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้ว สีหน้าจึงอดเปลี่ยนเป็นดูแย่ขึ้นมามิได้ ในใจทราบว่าอีกฝ่ายชิงนำตนเองไปก่อนแล้วก้าวหนึ่ง
บางคนมิพอใจเนื่องเพราะท่าทีของจิ๋งจิ่ว
“เจ้ากระทำกับกระบี่ของผู้อาวุโสตามอำเภอใจเช่นนี้ มันจะไร้ซึ่งความเคารพเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
น้อยครั้งนักที่รอยยิ้มบนใบหน้ากลมๆ ของหม่าหวาจะหายไป กลายเป็นสีหน้าคร่ำเคร่ง
จิ๋งจิ่วเหลือบมองเขา
หากเป็นเวลาปกติ เขาไม่มีทางสนใจชายอ้วนผู้นี้แน่นอน แต่วันนี้เป็นงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน มีแขกจากด้านนอกมาชม เขาคิดว่าตนเองควรจะมีกิริยาท่าทางที่งดงามกว่านี้
“นี่คือกระบี่ของข้า”
นอกจากประโยคนี้ เขามิได้อธิบายอะไรอีก
นี่คือกระบี่ที่เขานำลงมาจากยอดเขากระบี่ นี่คือกระบี่ของเขา
เรื่องราวต่างๆ ในอดีต หนึ่งกระบี่ตัดขาด
ไม่มีคำว่ากระบี่ตกทอดของผู้อาวุโสใดๆ ทั้งสิ้น
เขาคิดอยากจะทำอะไรก็ทำ
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ กู้หานและหม่าหวาพลันนึกถึงบทสนาที่เกิดขึ้นในสถานที่เดียวกันเมื่อครั้งนั้น
ครานั้นกู้หานถามจิ๋งจิ่วอย่างเย้ยหยันว่ามีคุณสมบัติพอที่จะใช้กระบี่ของอาจารย์อาม่ออย่างนั้นหรือ? คำตอบของจิ๋งจิ่วเองก็เรียบง่ายอย่างมาก นั่นคือคำว่า ‘มี’ เพียงคำเดียว
เขาถนัดที่จะใช้คำเพียงคำเดียวหรือเพียงประโยคเดียวมาจบการสนทนาที่น่าเบื่อหน่าย
เนื่องเพราะในตอนที่เขาพูดคำนั้นหรือประโยคนั้น เขามิเคยลังเลมาก่อน มิเคยครุ่นคิดมาก่อน มีความรู้สึกราวกับว่ามันสมควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
“รู้สึกไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ”
หม่าหวาทอดถอนใจ
สีหน้ากู้หานยิ่งทวีความเยือกเย็น
“ในเมื่อมีกระบี่ เช่นนั้นก็ชักกระบี่ได้แล้วสิ?”
กั้วหนานซานกล่าว
สีหน้าเขายังคงอ่อนโยน มีรอยยิ้มเล็กน้อย
แต่หม่าหวากลับเห็นความเย็นยะเยือกเล็กน้อยในดวงตา พลันเข้าใจความหมายของเขา จากนั้นหันไปกำชับศิษย์ที่อยู่ข้างกายเบาๆ
กู้หานพลันกล่าวว่า “ให้กู้ชิงไป”
หม่าหวาตกใจเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าให้ความสำคัญกับเจ้านั่นเกินไปหรือเปล่า
จริงอยู่ที่การเอากระบี่ก่อนหน้านี้ของจิ๋งจิ่วนั้นงดงาม แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงศิษย์ในขั้นล้างกระบี่ ไม่เห็นต้องให้ความสำคัญขนาดนี้เลย
กั้วหนานซานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
ในเมื่อจิ๋งจิ่วโอหังกว่าที่คิดเอาไว้ เช่นนั้นก็สมควรพบเจอกับความพ่ายแพ้ที่หนักหนาสาหัส แบบนั้นจึงจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เขาคิดว่าตนเองคิดเช่นนั้น
……
……
ลมเย็นโชยมา ผิวน้ำกระเพื่อมมิเป็นระเบียบ
ลูกศิษย์คนหนึ่งก้าวออกจากมาริมฝั่งอีกด้าน ก่อนจะก้าวเดินลงไปในลำธาร
สายลมพัดแผ่วเบา ชายเสื้อพลิ้วไหว คล้ายดั่งเทพเซียนกำลังโบยบิน
“โอ้ คนที่มาใหม่คนนี้รูปงามทีเดียว”
ดรุณีจากสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นกล่าว “แม้นจะมิเท่ากับคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามก็ตาม”
คนที่นางกล่าวถึงย่อมหมายถึงจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วมองดูชายหนุ่มผู้นั้น รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ลูกศิษย์ที่อยู่ริมลำธารเองก็กำลังพูดคุยกัน เนื่องเพราะหลายคนมิเคยเห็นหน้าชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน
ผู้ที่รู้เรื่องราวบางคนอธิบายให้ฟัง พวกเขาจึงรู้ว่าคนผู้นี้คือกู้ชิงที่เล่าลือกัน
ลูกศิษย์จากแต่ละยอดเขาต่างรู้สถานะของกู้ชิงอยู่ก่อนแล้ว บริเวณยอดเขาเริ่มแตกตื่นขึ้นมา
………………………………………………………………………