มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 36 งานชุมนุมเริ่มขึ้น
งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเริ่มต้นขึ้น
คนที่ก้าวออกเป็นคนแรกคือศิษย์ขั้นล้างกระบี่นามเฉินหลิน
เฉินหลินเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักได้เจ็ดปีแล้ว เมื่อห้าปีก่อนหน้าเขาเอากระบี่ได้สำเร็จ และในที่สุดก็ฝึกจนถึงขั้นตั้งมั่นบริบูรณ์ได้ในปีนี้ และมีสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน
การบำเพ็ญเพียรและการรอคอยมาเป็นเวลาหลายปีทำให้เขามีความสุขุมที่ดูไม่เข้ากับอายุ เขามิได้สนใจสายตาจากรอบๆ และความกดดันจากการที่ขึ้นเวทีเป็นคนแรก หากแต่เริ่มแสดงความสามารถของตัวเองอย่างตั้งใจ
ลำแสงกระบี่ที่ใสกระจ่างและเยือกเย็นสายหนึ่งพุ่งออกไปจากแขนเสื้อ ทิ้งร่องรอยที่ชัดเจนเอาไว้บนผนังหินที่มีน้ำไหลหยดลงมารอยหนึ่ง จากนั้นบินม้วนกลับมา
มิรอให้กระบี่เข้าใกล้ เขาพลันถีบตัวกระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่ จากนั้นเริ่มขี่กระบี่โดยบินไปกลับบริเวณหน้าผา ดูคล่องแคล่วชำนาญ
หน้าผาเงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง
แท่นหินที่อยู่เหนือหน้าผาสูงขึ้นไปล้อมรอบไว้ด้วยหมู่เมฆ ทูตจากสำนักเสวียนหลิง อาคันตุกะจากต้าเจ๋อ ตัวแทนจากเมืองเจาเกอ แล้วยังมีหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังแห่งวัดกั่วเฉิง สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยที่เป็นมิตรกับสำนักชิงซานมาโดยตลอด และตัวแทนจากสำนักกระบี่อีกสามสี่สำนักนั่งประจำตำแหน่งของตน ต่างคนต่างนิ่งเงียบ ไม่พูดจา
ปีนี้เป็นปีแรกที่สำนักจิ้งจงส่งตัวแทนมาชมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนของสำนักชิงซาน ตัวแทนผู้นั้นไม่มีประสบการณ์ แล้วก็มิได้สังเกตเห็นถึงความเงียบของบริเวณหน้าผา เมื่อเป็นลูกศิษย์นามเฉินหลินผู้นั้นขี่กระบี่ได้อย่างคล่องแคล่ว บินไปมาระหว่างยอดเขาได้อย่างใจนึก ภายในใจเขาจึงนึกชื่นชม พลันปรบมือพร้อมกล่าวชมเชยไปสองสามประโยค
เฉินหลินกลับมายังก้อนหินที่อยู่ในลำธาร
ผู้อาวุโสเหอจากยอดเขาซื่อเยวี่ยที่รับผิดชอบดำเนินงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนมองดูเขา พลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าคิดสืบทอดยอดเขาไหน?”
ในที่สุดสีหน้าเฉินหลินก็แปรเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลขึ้นมา เขากล่าวด้วยเสียงอันเบาว่า “ศิษย์ไร้ความสามารถ มิกล้าเลือก”
ในขณะที่พูด เขามองไปยังตำแหน่งที่มีอาจารย์จากยอดเขาต่างๆ รวมตัวกันเยอะที่สุด ในใจรู้สึกมีหวังและหวั่นใจ
ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน อาจารย์แต่ละคนจากในเก้ายอดเขาสามารถเลือกศิษย์สืบทอดได้เพียงคนเดียว จำนวนมีจำกัด ดังนั้นจึงมีความระมัดระวังอย่างมาก
เฉินหลินรู้ว่าสภาวะการบำเพ็ญเพียรของตนเองมิได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับศิษย์ร่วมสำนัก มิกล้าคาดหวังให้แต่ละยอดเขามาแย่งชิงตน จึงได้แต่หวังว่าจะมีสักที่มาเลือกตนไป
บริเวณหน้าผายังคงเงียบเชียบ ไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นมา
เวลาเดินผ่านไป ความเงียบแปรเปลี่ยนเป็นความกระอักกระอ่วน
เหล่าลูกศิษย์ริมฝั่งแม่น้ำที่ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนมองดูเขาด้วยสีหน้าลำบากใจ
ศิษย์น้องอวี้ซานเบือนหน้าหนี ตื่นเต้นจนมิกล้ามองดู
ภายใต้ความเงียบจนน่าหวาดกลัว เฉินหลินยังคงรักษาความสุขุมเอาไว้ ใบหน้าเงยขึ้นด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว คล้ายกำลังรอคอยการพิพากษาสุดท้ายอยู่
เขารู้ว่าหากในเวลานี้ตนเองก้มหน้า หรือแสดงความเศร้าเสียใจออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะถูกเหล่าอาจารย์มองว่าใจกระบี่มิมั่นคง
เช่นนั้นเขาก็คงต้องรอไปอีกสามปี
ทูตจากจิ้งจงเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ มองดูสายของแขกที่อยู่รอบๆ รู้สึกว่ามือสองข้างที่ยกขึ้นมาปรบมือเมื่อครู่ไม่รู้ควรจะวางไว้ที่ไหน เขาไม่เข้าใจจริงๆ ลูกศิษย์ผู้นี้ยอดเยี่ยมเปี่ยมด้วยความสามารถ หากอยู่ในสำนักจงจิ้งจะต้องเป็นศิษย์ที่สำนักให้ความสำคัญอย่างแน่นอน แต่ที่ชิงซาน…กลับไม่มีคนต้องการ?
ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นบนหน้าผา
ทางยอดเขาอวิ๋นสิงปรึกษาหารือ อาจกำลังคิดว่าในลูกศิษย์คนสำคัญหลังจากนี้ ยอดเขาตนคงมิอาจแย่งชิงสู้ยอดเขาอื่นได้ จึ่งตัดสินใจรับเฉินหลินเอาไว้
“เจ้ายินดีติดตามผู้อาวุโสเฉิงเรียนรู้เคล็ดกระบี่วิหคสวรรค์หรือไม่?”
เฉินหลินปลื้มปิติ กล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ศิษย์ยินดี!”
กล่าวจบ เขาก็รีบขี่กระบี่ขึ้นไปบนหน้าผา ไปยืนอยู่กับเหล่าศิษย์ร่วมสำนักของยอดเขาอวิ๋นสิง
……
……
มีลูกศิษย์ทยอยออกมาแสดงสภาวะและวิชากระบี่ของตน
ลูกศิษย์ในสำนักที่ฝึกฝนอยู่ข้างธารสี่เจี้ยนอย่างยากลำบากมาเป็นเวลาหลายปีล้วนแต่ฝึกปรือจนถึงขั้นตั้งมั่นบริบูรณ์แล้ว ลูกศิษย์สองสามคนถึงขนาดบรรลุไปถึงขั้นสมความนึกคิดเบื้องตน ขี่กระบี่ได้ดั่งใจนึก บินไปมาระหว่างยอดเขาราววิหคเหินลม เคล็ดกระบี่มีความชำนาญ กระบี่บินพริ้วไหว ก่อเกิดเป็นม่านลำแสง ภายในสิบก้าว แม้แต่น้ำตกก็มิอาจเล็ดรอดผ่านไปได้
ฉี่หยวนเหลียง ซือคงอี้หมิน ฉีเฟยอิง รายชื่อที่ปรากฏอยู่บนบันทึกบ่อยครั้งเหล่านี้ถูกเลือกไปหลังจากยื้อแย่งกันอยู่พักหนึ่ง
บนหน้าผาเงียบเชียบ ทูตจากสำนักจิ้งจงได้รับบทเรียนจากก่อนหน้านี้ มิได้แสดงความคิดเห็นอันใดอีก บางครั้งเหลือบมองไปยังแท่นหินที่อยู่ในส่วนลึกของหมู่เมฆ ในใจครุ่นคิดมิรู้ว่าเจ้าสำนักชิงซานเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองหรือเปล่า หรือเขากำลังฝึกวิชาเต๋าอันลี้ลับเหมือนอย่างนักพรตไท่ผิงผู้เป็นอาจารย์ของเขาอย่างที่ร่ำลือ
หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังจากวัดกั่วเฉิงหลับตา ลูกประคำที่อยู่ในมือค่อยๆ ขยับ
ศิษย์หญิงจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอยู่กับเหล่าศิษย์หญิงของยอดเขาชิงหรง พวกนางซึ่งเดิมคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วพากันกระซิบกระซาบพูดคุยอะไรบางอย่าง เสียงหัวร่อที่ฟังดูสดใสราวเสียงระฆังดังขึ้นมาบ่อยครั้ง
“น่าเบื่อจริงๆ”
อาคันตุกะจากสำนักงเสวียนหลิงนั่งอยู่บนแท่นหินตรงหน้าผาฝั่งตะวันตก
ดรุณีอายุสิบสามสิบสี่คนหนึ่งจ้องมองดูสายน้ำไหลที่อยู่ในรอยแตกของหินตรงใต้เท้าตน ดวงตารู้สึกแสบพร่าเล็กน้อย
นางขยี้ดวงตา หาวออกมาทีหนึ่ง กระดิ่งเล็กๆ ที่ติดอยู่บนติ่งหูส่งเสียงกริ๊งๆ ฟังดูสดใส
กระดิ่งเล็กๆ คู่นั้นเป็นสีเงิน หรือดรุณีผู้นี้จะเป็นทูตกระดิ่งเงินที่มีสถานะสูงส่ง?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร?”
หญิงสาวที่แต่งงานแล้วผู้หนึ่งลูบศีรษะของนางอย่างเอ็นดู กล่าวว่า “สำนักชิงซานคือสำนักใหญ่แห่งวิถีกระบี่ การแสดงเคล็ดกระบี่ดูคล้ายน่าเบื่อ แต่ความจริงแล้วกลับมิธรรมดา”
“ปัญหาคือมันไร้รสชาติเกินไป กระบี่หนึ่งไป กระบี่หนึ่งมา มีอันใดน่าดู”
สาวน้อยแห่งสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นบ่นพึมพำ “หากรู้ว่าน่าเบื่อแบบนี้ ข้าคงไม่มาหรอก”
ทันใดนั้นด้านล่างหน้าผามีเสียงดังขึ้นมา นางยืนขึ้นมองดู พบกลุ่มคนแตกตื่นเล็กน้อย จึงอดรู้สึกสนใจขึ้นมาไม่ได้ สายตามองดูเด็กหนุ่มรูปร่างผอมที่เดินมาถึงลำธารคนนั้น กล่าวว่า “อาจารย์อา ท่านรีบดูเร็ว! นั่นมันเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดที่ท่านชี้ให้ข้าดูเมื่อครู่นี้มิใช่หรือ?”
……
……
หลิ่วสือซุ่ยเดินมาถึงลำธาร
ริมฝั่งทั้งสองด้านมีเสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นมา
บริเวณหน้าผาเองก็มีความเคลื่อนไหว สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนทอดมองลงมา
ด้านบนหน้าผา หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังแห่งวัดกั่วเฉิงลืมตา อาคันตุกะจากต้าเจ๋อลุกขึ้นยืน ทูตจากจิ้งจงเดินมาถึงริมผา ทอดตามองลงไปด้านล่าง
เหล่าอาคันตุกะที่มาชมงานชุมนุมแสดงความสนใจต่อหลิ่วสือซุ่ยอย่างมาก หรือพูดอีกอย่างคืออยากรู้อยากเห็น
ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรต่างรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด อีกทั้งเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดคนที่สามของสำนักชิงซานในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา
เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดเป็นอัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญเพียรที่หาได้ยากยิ่ง ในสำนักทั่วๆ ไป ช่วงเวลาร้อยปีหาเจอสักคนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว โชคของสำนักชิงซานทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉากันอย่างมาก
จัวหรูซุ่ยและเจ้าล่าเยวี่ย คนหนึ่งมาจากซีไห่ ส่วนอีกคนมาจากเมืองเจาเกอ ชาติตระกูลต่างมิใช่ธรรมดา มีความข้องเกี่ยวกับโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมิใช่น้อย ทั้งยังถูกพบได้ค่อนข้างง่าย แต่ได้ยินว่าหลิ่วสือซุ่ยผู้นี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลมาแต่เด็ก ก่อนเข้าสู่สำนักมิได้สัมผัสกับการบำเพ็ญเพียรมาก่อน แล้วไปถูกสำนักชิงซานค้นพบได้อย่างไร?”
เมื่อมองดูเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่บนแม่น้ำ แต่ละสำนักต่างรู้สึกสับสน
หลิ่วสือซุ่ยมิได้รับผลกระทบใดๆ เขายืนอยู่บนก้อนหินในแม่น้ำ ยังคงแสดงกระบี่ออกมาได้อย่างง่ายดาย
กระบี่บินปรากฏกายขึ้น ไม่มีเงา กระทั่งลำแสงกระบี่ก็หามีไม่ คล้ายแค่ชั่วพริบตาก็มาถึงผาหินที่อยู่ห่างออกไปสิบจ้างแล้ว
ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ สายน้ำที่ไหลเอื่อยมิได้เกิดคลื่นกระเพื่อมเลยแม้แต่วงเดียว บนผาหินมีรูเล็กๆ ที่กลมมนปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง
ดูคล้ายภาพที่ไม่มีอะไรแปลก บริเวณหน้าผามีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมาเบาๆ
สองนิ้วในมือซ้ายของหลิ่วสือซุ่ยประกบกัน เขาใช้เคล็ดกระบี่ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในคัมภีร์กระบี่ กระบี่บินกลับมาจากผาหิน
เขาดูคล้ายก้าวลงไปในลำธารโดยมิได้คิดอะไร ก่อนจะเหยียบลงไปบนกระบี่อย่างพอดิบพอดี จากนั้นลอยตามกระบี่ขึ้นไป กระบี่บินทิ้งเงาตามหลังเอาไว้สายหนึ่ง ความเร็วเพิ่มขึ้นฉับพลัน แปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างสายหนึ่ง เพียงไม่กี่อึดใจก็บินออกนอกหน้าผา ก่อเกิดเสียงหวีดที่ค่อนข้างเสียดหู ก่อนจะทะลวงก้อนเมฆออกไป
ทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไป ก่อนจะเห็นเขาเปลี่ยนเป็นจุดดำจุดหนึ่งบนท้องฟ้า ลอยเหนือความสูงของยอดเขาทั้งเก้าขึ้นไป
จากนั้นครู่หนึ่ง หลิ่วสือซุ่ยขี่กระบี่บินกลับมา หน้ามิแดงใจมิเต้น ลมหายใจสงบนิ่ง ทำการคำนับอย่างเงียบๆ คล้ายตนเองมิได้ทำอะไรเลย
บริเวณหน้าผาตกอยู่ในความเงียบ จากนั้นพลันมีเสียงตะโกนชื่นชมระเบิดออกมา
“เยี่ยม! เยี่ยม! เยี่ยม!”
กระบี่บินของหลิ่วสือซุ่ยคล้ายเรียบง่าย แต่ความจริงแล้วกลับมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่สูญเปล่า เป็นรูปแบบวิถีกระบี่ที่สำนักชิงซานเฝ้าตามหา
แม้นสภาวะเขายังต่ำต้อย แต่การที่เด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีสามารถแสดงความยอดเยี่ยมออกมาได้เพียงนี้ ทั้งยังมีรูปแบบของผู้ยิ่งใหญ่แฝงเอาไว้อยู่ แล้วจะมิให้ผู้คนพากันชื่นชมได้อย่างไร
“นี่คือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดงั้นหรือ?”
สาวน้อยจากสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นกล่าวงึมงำอยู่ในลำคอ
อายุเพียงเท่านี้ก็เป็นทูตกระดิ่งเงิน ประวัติความเป็นมาของนางย่อมมิใช่ธรรมดา พรสวรรค์แลสายตาเองก็มิได้แย่ รู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยเหมือนแสดงความสามารถออกมาอย่างง่ายๆ แต่ความจริงแล้วกลับมิใช่ง่าย ทว่าสำหรับนางที่ชื่นชอบดูความสนุกสนานแล้ว นี่ยังไม่ถือว่าสนุกสนานพอ
ทันใดนั้น สายตาของนางพลันสว่างขึ้นมา สติสั่นสะเทือน
ลูกศิษย์ชายหนุ่มที่สีหน้าดูเยือกเย็นผู้หนึ่งเดินขึ้นไปบนก้อนหินที่อยู่บนแม่น้ำ ก่อนจะยืนประจันหน้ากับหลิ่วสือซุ่ย
“ศิษย์น้องหลิ่ว ช่วยชี้แนะด้วย”
……………………………………………………………………………