มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 35 ที่แท้เขาก็คือจิ๋งจิ่ว
เจ้าล่าเยวี่ยเหลือบมองเขา กล่าวว่า “มาแล้วหรือ?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอือ สายตามองไปยังริมฝั่งอีกด้านซึ่งสะดุดตาอย่างมากเช่นกัน
ลูกศิษย์หนุ่มสาวสิบกว่าคนยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าสุขุมและมั่นใจ ล้วนแต่เป็นนักเรียนของกู้หานในห้องแรก
จิ๋งจิ่งรู้จักหลิ่วสือซุ่ยเพียงคนเดียว เขาย่อมไม่รู้ว่าในนั้นมีใบหน้าที่ไม่คุ้นอยู่สองคน
จิ๋งจิ่วมองเขา
หลิ่วสือซุ่ยเหลียวหน้าไปอีกทาง
……
……
เหล่าลูกศิษย์มองไปรอบๆ โดยไม่รู้ว่าตนเองก็กำลังถูกจับตามองอยู่เช่นเดียวกัน
บริเวณหน้าผาและบนเสาหินขนาดใหญ่เหล่านั้น แล้วก็บนยอดเขาที่มีเมฆหมอกปกคลุม มีสายตาจำนวนมากมองลงมายังริมฝั่งแม่น้ำ แล้วยังมีคนอีกหลายคนถือพู่กันและกระดาษคอยจดอะไรบางอย่างอยู่
เจ้าของสายตาและพู่กันกระดาษเหล่านั้นล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญในยอดเขาทั้งเก้า พวกเขาจะตัดสินใจว่าวันนี้จะเลือกศิษย์คนไหนเป็นศิษย์สืบทอด และจะละทิ้งศิษย์คนไหน
การดูแลลูกศิษย์ในสำนักของสำนักชิงซานดูเหมือนมิเข้มงวด คล้ายกับที่พวกเขาปล่อยให้ศิษย์นอกสำนักเอาเคล็ดวิชากระบี่ไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทว่าความจริงแล้วแต่ละยอดเขานั้นคอยจับตาดูเหล่าลูกศิษย์ที่ฝึกฝนในขั้นล้างกระบี่อยู่ คอยตรวจสอบดูนิสัย แนวโน้ม สภาวะและความสามารถของศิษย์แต่ละคนอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“กู้ชิงมิต้องไปคิดแล้ว เขาจะต้องกลับไปยอดเขาเหลี่ยงว่างแน่นอน”
“สถานการณ์ของหลิ่วสือซุ่ยยังมิแน่ชัด ถึงแม้เขาจะต้องถูกเรียกไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่างแน่ แต่บางทีเขาอาจจะตามยอดเขาใดยอดเขาหนึ่งไปเรียนกระบี่ก่อนก็เป็นได้”
“สภาวะของฉี่หยวนเหลียงยังไม่ค่อยนิ่ง แต่ในเรื่องการขี่กระบี่นั้นมีพรสวรรค์ทีเดียว สามารถขยับลำดับขึ้นมาได้ น่าลองพยายามดู”
“ทางซือคงอี้หมิน ข้าได้ไปคุยกับมารดาของเขาแล้ว อื้อ ใช้เส้นสายทางสำนักเสวียนหลิงมา มารดาของเขาให้สัญญา ขอเพียงพวกเราเลือกเขา เขาก็จะมาอยู่กับพวกเรา”
“เซวียหย่งเกอน่าจะเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนครั้งหน้า ปรมาจารย์อาของเขาบอกว่าหากพวกเรายินดีเลือกเขาในครั้งหน้า เช่นนี้ครั้งนี้เขาก็ช่วยพวกเราคุยกับฉีเฟยอิงให้”
“สองปีมานี้ฉีเฟยอิงเรียนกระบี่อยู่กับศิษย์พี่กู้หาน เกรงว่าคงมิง่ายที่จะเกลี้ยกล่อม”
“ก็บอกไปว่าในอนาคตหากจะไปยอดเขาเหลี่ยงว่าง พวกเรามิขัด แต่ต้องไปในนามศิษย์ของยอดเขาเรา”
“อย่างนั้นก็เลื่อนลำดับของเขาขึ้นมา ให้อยู่ต่อจากซือคงอี้หมิน”
การพูดคุยทำนองนี้เกิดขึ้นในบริเวณหน้าผามิหยุด
อาจารย์ของยอดเขาทั้งเก้าและศิษย์สายตรงมองดูศิษย์หนุ่มสาวที่อยู่ริมลำธารเหล่านั้น พร้อมกับทำการคาดคะเนความเป็นไปได้ต่างๆ ไม่หยุด พู่กันจรดลงไปบนกระดาษเขียนชื่อคนแล้วคนเล่า ในระหว่างนั้นก็มีบางชื่อที่ดูขีดฆ่าไป บางชื่อก็ถูกเลื่อนขึ้นมาอยู่ด้านบน บรรยากาศตรึงเครียดอย่างมาก
นี่ก็คืองานชุมนุมเฉิงเจี้ยนของชิงซาน
ไม่ใช่ว่ายอดเขาไหนคิดอยากจะเลือกลูกศิษย์คนไหนเป็นผู้สืบทอดแล้วจะได้ดั่งใจหวัง เนื่องเพราะมีโอกาสอย่างมากที่ต้องไปแย่งชิงกับยอดเขาอื่น
ตำแหน่งของยอดเขาเทียนกวงมีความพิเศษมากที่สุดในบรรดายอดเขาทั้งเก้า ปกติลูกศิษย์ที่พวกเขาเลือกไปล้วนแต่ไม่มีทางปฏิเสธ
ส่วนยอดเขาซั่งเต๋อนั้นค่อนข้างกระอักกระอ่วน ลูกศิษย์หนุ่มสาวที่เลือกเข้ายอดเขานับวันจะน้อยลงทุกที
ยอดเขาเหลี่ยงว่างสามารถเลือกคนจากทุกยอดเขาได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่ว่าจะต้องเลือกในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเพียงอย่างเดียว แต่สถานการณ์ในวันนี้แตกต่างออกไป ลูกศิษย์ที่ชื่อกูชิงผู้นั้นจะเลือกลงชื่อไปยอดเขาเหลี่ยงว่าง และเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในอีกหลายปีหลังจากนี้ คนอย่างกั้วหนานซานมีหรือจะปล่อยเจ้าล่าเยวี่ยกับหลิ่วสือซุ่ยไป?
เช่นนี้แล้ว ทางเลือกของยอดเขาอวิ๋นสิงและยอดเขาปี้หูก็จะยิ่งน้อยลง จึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการเลือกและทำการคาดคะเนความเป็นไปได้ต่างๆ ล่วงหน้า
……
……
กั้วหนานซานเป็นศิษย์อันดับแรกของเจ้าสำนัก แล้วก็เป็นหัวหน้าลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง หลายปีมานี้เขาพาศิษย์ร่วมสำนักหนุ่มสาวออกไปกำจัดความชั่วร้ายที่โลกภายนอก หลั่งโลหิตต่อสู้กับมารชั่วเผ่าหมิงและสัตว์ประหลาดที่อยู่ทางเหนือเหล่านั้น ทว่าบนร่างกายเขากลับไม่ได้มีกลิ่นอายฆ่าฟันอันเย็นชาเลย ในทางกลับกัน กลิ่นอายที่ออกมาจากตัวเขากลับมีความอ่อนโยนอย่างมาก
คนที่ีมีความคิดและความสามารถ สายตาย่อมยาวไกล สำหรับหลายๆ เรื่องบนโลกนี้ เขามิได้มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ
เขามองดูคนสองคนบนก้อนหิน คนหนึ่งนั่ง คนหนึ่งยืน ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเสียดาย “ดูเหมือนจะไม่ได้จริงๆ”
คำพูดนี้มีสองความหมาย
หลายวันก่อนหลังเจ้าล่าเยวี่ยลงจากยอดเขากระบี่ เขาก็ได้เข้าไปคุยกับนางอย่างจริงจัง
แต่จนท้ายที่สุด เจ้าล่าเยวี่ยก็มิได้รับปากว่าจะเข้ายอดเขาเหลี่ยงว่าง
ส่วนความหมายที่สอง ย่อมหมายถึงเรื่องที่จิ๋งจิ่วยังเอากระบี่มาไม่ได้ จึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนในครั้งนี้
“ต่อให้ได้ ข้าก็คิดว่าไม่ได้”
กู้หานกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
หม่าหวายิ้มขึ้นมา บนใบหน้าที่กลมมนเกิดเป็นรอยเหี่ยวย่น กล่าวว่า “ไม่ได้ก็ไม่ได้”
เช่นนั้นข้อสรุปสุดท้ายก็คือไม่ได้
จิ๋งจิ่วไม่ได้
หลินอู๋จือเดินเข้ามาจากใต้หน้าผา
กั้วหนานซานพยักหน้า
หลินอู๋จือเองก็พยักหน้า
ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก แต่มิรู้เหตุใดจึงดูค่อนข้างเย็นชา
หลินอู๋จือพลันหยุดฝีเท้า กล่าวว่า “จิ๋งจิ่วลงชื่อแล้ว”
กั้วหนานซานเงียบไปครู่ จากนั้นกล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องดี”
กู้หานกล่าวเสียงเยือกเย็น “เจ้านั่นคิดจะทำอะไรอีก?”
หม่าหวาหรี่ตา ยังคงเป็นรอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย แต่ภายในดวงตากลับเผยให้เห็นประกายเยือกเย็น
“อาจารย์อามั่วคิดอยากได้ตัวเขามาตลอด ตอนนี้ดูแล้ว สายตาของท่านเฉียบคมกว่าศิษย์รุ่นหลังอย่างพวกเราจริงๆ”
หลินอู๋จือมองดูเขาพลางกล่าว
กั้วหนานซานกล่าว “ข้าเองก็คาดหวังในตัวเจ้าหนุ่มนี่มาโดยตลอด”
“งั้นหรือ? เหตุใดข้าจึงดูไม่ออก”
หลินอู๋จือเหลือบมองกู้หาน คล้ายจะยิ้มแต่ก็มิได้ยิ้ม พลางกล่าว
“ศิษย์น้องกู้เพียงคิดจะทดสอบเขาดูเท่านั้น”
กั้วหนานซานกล่าว “เขาหยิ่งผยองเกินไป หากได้รับแรงกดดันอย่างเหมาะสม จะช่วยให้เติบโตได้”
หลินอู๋จือทอดถอนใจกล่าวว่า “ผ่านมาหลายปีแล้ว ข้ายังคงไม่ชินกับวิธีการพูดเองเออเองของพวกท่าน”
กั้วหนานซานกล่าว “นั่นเพราะเจ้ายังมองนักเรียนที่เจ้าสอนผู้นี้ไม่ออก”
หลินอู๋จือเลิกคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าว “ข้าใคร่ฟัง”
กั้วหนานซานมองไปทางก้อนหินที่อยู่ในลำธารก้อนนั้น กล่าวว่า “คำว่าเกียจคร้าน ความจริงแล้วเป็นสภาพอย่างหนึ่ง ไม่มีความรักต่อทุกสรรพสิ่งบนโลก เอาแต่จ้องมองลงมาจากที่สูง สำหรับสำนักชิงซานของเราและผู้คนในใต้หล้านี้ ความหยิ่งยโสโอหังเช่นนี้หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ หากเขาไม่สามารถตื่นรู้ในจุดนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์จะเข้ามายังยอดเขาเหลี่ยงว่างของข้า”
หลินอู๋จือยิ้มเยาะพลางกล่าว “หรือท่านไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาอาจจะมิได้อยากไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่างเลย? พวกท่านทำแบบนี้นอกจากจะทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ยังจะมีประโยชน์อันใดอีก?”
“เข้าสู่ยอดเขาเหลี่ยงว่างเป็นเกียรติของศิษย์ชิงซานทุกคน วันหนึ่งเขาจะเข้าใจในจุดนี้เอง”
กั้วหนานซานมองเขา พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้อง หากเจ้ายอมรับว่าเจ้ามิอาจเทียบข้าได้ อย่างนั้นเจ้าก็ควรยืนอยู่ข้างข้ามิใช่หรือ?”
หลินอู๋จือมองเขานิ่งๆ จากนั้นพลันกล่าว “ข้าคิดว่าวันนี้ท่านอาจจะต้องผิดหวัง ยิ่งไปกว่านั้น…ถึงสองครั้ง”
……
……
ก้อนหินก่อนนั้นอยู่ในลำธารด้านหน้าสุด ดูสะดุดตายิ่งนัก
สายตาจำนวนมากต่างมองไปบนนั้น
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เจ้าล่าเยวี่ย แต่ก็ยังมีสายตาจำนวนมากที่หันไปมองข้างกายนาง
บุรุษหนุ่มชุดขาวที่นั่งอยู่บนก้อนหินผู้นั้น ท่าทางที่ดูเกียจคร้านดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง เนื่องเพราะเขาหน้าตาหล่อเหลาเกินไป
“นั่นคือจิ๋งจิ่วงั้นหรือ? รูปงามจริงๆ ด้วย”
“ศิษย์พี่สี่ ปีก่อนที่พวกท่านไปยังศาลาหนานซง ท่านไม่เห็นเขาจริงๆ หรือ? อย่างนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ นะ”
เหล่าศิษย์หญิงสาวแห่งยอดเขาชิงหรงมองดูข้างแม่น้ำพลางพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางได้เห็นจิ๋งจิ่ว ถึงแม้นจะเคยได้ยินข่าวลือมามากมาย แต่วันนี้ได้มาเห็นกับตา ถึงได้รู้ว่าข่าวลือนั้นมิอาจสู้ตาเห็นได้
จิ๋งจิ่วรูปงามยิ่งนัก
“วันนี้เขาจะเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนหรือเปล่า?”
เหล่าลูกศิษย์ยอดเขาชิงหรงมองไปทางอาจารย์อาเหมยหลี่ด้วยสายตาที่มีความหวัง
เหมยหลี่ส่ายศีรษะ กล่าวว่า “รอครั้งหน้าแล้วกัน”
เหล่าลูกศิษย์ยอดเขาชิงหรงรู้สึกผิดหวัง
เหมยหลี่เองก็เช่นกัน
แขนเสื้อทั้งสองข้างของจิ๋งจิ่วพลิ้วตามลม เห็นได้ชัดว่ามิได้แอบซ่อนกระบี่เอาไว้ ดูเหมือนจะไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้น เขายังไม่สามารถเอากระบี่เล่มนั้นมาได้
ตอนนี้สิ่งที่เหมยหลี่กังวลใจมากก็คือก็การตัดสินใจของเจ้าล่าเยวี่ยหลังจากนี้
ในบรรดายอดเขาทั้งเก้า ยอดเขาชิงหรงและยอดเขาซีไหลมีลูกศิษย์ผู้หญิงมากที่สุด โดยเฉพาะยอดเขาชิงหรงที่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นศิษย์ผู้หญิงที่มาฝึกกระบี่
สำหรับนางแล้ว เจ้าล่าเยวี่ยที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งแต่กำเนิดเพศหญิงที่หาได้ยากเช่นนี้ สมควรที่จะมาอยู่ยอดเขาชิงหรง
แต่แน่นอน นางคิดว่าชายหนุ่มรูปงามเหมือนอย่างจิ๋งจิ่วเองก็สมควรมาอยู่ที่ยอดเขาชิงหรงเช่นกัน
สายลมสดชื่นไหลเอื่อย พัดพาเมฆหมอกสลายตัวไป เผยให้เห็นมุมหนึ่งของม่านผ้าแพร
เสียงที่กระจ่างใสและอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหลังม่าน “ล่าเยวี่ยยังไม่ตอบรับหรือ?”
เหมยหลี่กล่าวอย่างเคารพ “มิผิดเจ้าค่ะ ท่านเจ้ายอดเขา แต่ได้ยินว่านางก็มิได้ตอบรับที่อื่นเช่นเดียวกัน พวกเราน่าจะยังมีหวังอยู่”
“อืม…ชายหนุ่มชุดขาวข้างกายนางคือใคร?”
“นั่นคือจิ๋งจิ่ว”
“ที่แท้เขาคือจิ๋งจิ่ว”
……………………………………………………………………..