มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 19 สรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่ง
ถูกต้อง อาจารย์อาจากยอดเขาซีไหลผู้นั้นรู้จักจิ๋งจิ่ว
ศิษย์ในสำนักร้อยกว่าคนที่อยู่ข้างธารล้างสี่เจี้ยนล้วนแต่รู้จักจิ๋งจิ่ว
แม้นในสองปีนี้เขาจะอยู่ที่ศาลาหนานซงมาโดยตลอด และเพิ่งเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักได้ไม่นาน แต่เขาเป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่มานานแล้ว
แน่นอนว่าย่อมมิได้เป็นเพราะคำตอบอันยอดเยี่ยมที่เขาให้มา หากแต่เป็นเพราะผู้คนพากันเล่าลือว่าเขามีใบหน้าที่งดงามยิ่ง และมีความเกียจคร้านอย่างที่ยากจะจินตนาการได้
ในตอนที่จิ๋งจิ่วเดินเข้ามาในศาลาสี่เจี้ยน เสียงพูดคุยคึกคักพลันหยุดลง สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่เขา
ศาลาสี่เจี้ยนจะแบ่งชั้นเรียนตามสภาวะของลูกศิษย์และความสามารถที่แสดงออกมาตอนที่เป็นศิษย์นอกสำนัก ที่แห่งนี้มีศิษย์หนุ่มสาวสิบกว่าคนที่เพิ่งเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเหมือนอย่างจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วชินชากับการตกเป็นเป้าสายตามานานแล้ว เขาก้าวเดินไปข้างหน้า จากนั้นนั่งลงตรงข้างหน้าต่างซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่เป็นที่สะดุดตา
แต่ต่อให้ตำแหน่งจะไม่สะดุดตาเพียงใด ใบหน้าเขายังคงโดดเด่นยิ่งนัก กระทั่งอาจารย์เซียนที่เป็นผู้ฝึกสอนยังอดเหลือบมองดูเขามิได้ในตอนที่เดินเข้ามาในศาลาสี่เจี้ยน
อาจารย์เซียนท่านนี้ราศีมิธรรมดา ลึกล้ำจนมิอาจคาดคะเน เขาคือหลินอู๋จือ ศิษย์รุ่นที่สามจากยอดเขาเทียนกวง
หลินอู๋จือมิได้ชื่นชอบแสดงพลังและความสามารถออกมาเหมือนอย่างศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ไปอยู่บนยอดเขาเหลี่ยงว่าง และมิได้มีชื่อเสียงบารมีเหมือนอย่างจัวหรูซุ่ยที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ แต่เมื่อเป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนัก เช่นนั้นการที่ให้เขามาถ่ายทอดความรู้วิถีกระบี่ขั้นพื้นฐาน ก็แสดงให้เห็นว่าสำนักชิงซานให้ความสำคัญกับการฝึกขั้นล้างกระบี่เพียงใด
แต่แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะการพูดจาของหลินอู๋จือนั้นน่าสนใจ จึงเหมาะจะทำให้ผู้เรียนวิถีกระบี่เบื้องต้นเหล่านี้เกิดความสนใจ
“สำนักชิงซานของพวกเราคือสำนักอะไร?”
หลินอู๋จือหาได้อยากฟังคำตอบของเหล่าลูกศิษย์ไม่ เขายิ้มพลางพูดต่อว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่สำนักฌาน แล้วก็ไม่ใช่สำนักเวทมนตร์กับสำนักไฟ พวกเราคือสำนักกระบี่”
จิ๋งจิ่วมองไปนอกหน้าต่าง ดูต้นหลิวที่อยู่ริมธารเหล่านั้น ในใจครุ่นคิดผ่านมาหลายปีแล้ว ก็ยังคงเป็นคำพูดไร้สาระที่ดูเหมือนจะน่าสนใจ แต่ความจริงแล้วกลับน่าเบื่อเหล่านี้อยู่
มิรู้ว่าเวลานี้หลิ่วสือซุ่ยอยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง
เขาคิดว่าในเวลานี้น่าจะมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาแล้ว
เป็นดั่งคาด ภายในศาลาสี่เจี้ยนมีเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขของเหล่าลูกศิษย์หนุ่มสาวดังขึ้นมา
หลินอู๋จือยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวต่อว่า “สำนักกระบี่ก็ย่อมต้องฝึกฝนกระบี่ สิ่งที่พวกเราต้องเข้าใจเป็นอันดับแรกก็คือกระบี่ บนโลกมีสำนักที่ฝึกฝนกระบี่เยอะแยะมากมาย อู๋เอินเหมินก็ใช้กระบี่ ปู้เหล่าหลินก็ใช้กระบี่ เจี้ยนซีไหลผู้นั้นก็ใช้กระบี่ แต่เหตุใดจึงมีแต่พวกเราชิงซานเท่านั้นที่ถูกขนามนามว่าเป็นวิถีกระบี่ขนานแท้ เพราะชิงซานมีเก้ายอด เก้ายอดมีเก้ากระบี่ เก้ากระบี่สามารถพิชิตใต้หล้า!”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด เวลานี้อาจจะมีเสียงปรบมือดังขึ้น
เป็นไปตามคาด ในศาลาสี่เจี้ยนมีเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นของเหล่าศิษย์ชายหญิง
“กระบี่แห่งยอดเขาเทียนกวงนามแบกสวรรค์ ความหมายคือแบกรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของสวรรค์ เพลงกระบี่เองก็ชื่อแบกสวรรค์ กระบี่ของเจ้าแห่งยอดเขาซั่งเต๋อนามสามฉื่อ ใช้เคล็ดกระบี่หิมะไหล กระบี่ของเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงนามสุญตา ใช้เคล็ดกระบี่วิหคสวรรค์ กระบี่ของเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงนามพิณวิจิตร ใช้เคล็ดกระบี่ไร้จุดจบ กระบี่ของเจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยนามสุริยันหวนกลับ ใช้เคล็ดกระบี่สุริยัน กระบี่ของเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลนามกาลนาน ใช้เคล็ดกระบี่เจ็ดดอกเหมย กระบี่ของเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูนามน้ำขึ้น ใช้เคล็ดกระบี่แปดทิศ”
เหล่าศิษย์เห็นหลินอู๋จือกล่าวถึงตรงนี้พลันหยุดไป จึงอดสงสัยขึ้นมามิได้ มีศิษย์ใจกล้ายกมือขึ้นถามว่า “ยอดเขาที่้เก้าล่ะขอรับ?”
หลินอู๋จือกล่าวว่า “กระบี่ของยอดเขาเสินม่อนามมิคำนึง ใช้เคล็ดกระบี่เก้ามรณา เพียงแต่กระบี่เล่มนั้นในตอนที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนได้ถูกนำไปด้วย”
เหล่าศิษย์พบว่าในกระบี่เก้าเล่มขาดกระบี่ไปเล่มหนึ่ง ถามว่า “แล้วยอดเขาเหลี่ยงว่างล่ะขอรับ?”
“กระบี่หลักของยอดเขาเหลี่ยงว่างนามไร้อัตตา” หลินอู๋จือถอนหายใจ กล่าวว่า “มันถูกเอาไปด้วยตอนที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนเช่นเดียวกัน”
จิ๋งจิ่วยังคงมองนอกหน้าต่าง
สร้อยเงินบนมือเขาเส้นนั้นสะท้อนแสงอาทิตย์ ส่องประกายออกมาเล็กน้อย
ในศาลาสี่เจี้ยนมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา
ปรมาจารย์อาจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนย่อมต้องเป็นเรื่องดี เพียงแต่จะไปก็ไปสิ เหตุใดต้องเอาสุดยอดกระบี่สองเล่มนี้ไปด้วย?
หากเขาเอาแค่กระบี่มิคำนึงของยอดเขาที่เก้าไปด้วยก็คงไม่มีอะไร แต่เหตุใดจึงต้องเอากระบี่ไร้อัตตาของยอดเขาเหลี่ยงว่างไปด้วยล่ะ?
เก้ากระบี่หายไปสอง ไม่ว่าจะมองอย่างไร ความแข็งแกร่งของสำนักชิงซานก็ถือว่าเกิดความเสียหายอย่างหนัก
เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกันของเหล่าลูกศิษย์ หลินอู๋จือสองคิ้วขมวดขึ้นมา พลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า
“ปรมาจารย์อาบรรลุกลายเป็นเซียนถือเป็นเกียรติของสำนักชิงซาน และเป็นเกียรติของกระบี่ทั้งสองเล่มด้วย”
เขามองดูเหล่าศิษย์ที่นั่งเงียบพลางกล่าวว่า “เพราะเสียกระบี่ไปสองเล่มเลยทำให้ความแข็งแกร่งหายไป? พวกเจ้าต้องเข้าใจเสียก่อน กระบี่แปรเปลี่ยนตามคน ขอเพียงคนแข็งแกร่ง กระบี่ที่เขาใช้ก็จักแข็งแกร่ง หากวันหนึ่งพวกเจ้าสามารถบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นทะลวงสวรรค์ เช่นนั้นกระบี่ของพวกเจ้าก็มีสิทธิ์ที่จะกลายเป็นกระบี่ของเจ้าแห่งยอดเขาแทนกระบี่ไร้อัตตาและกระบี่มิคำนึง”
ได้ยินเช่นนี้ เหล่าศิษย์มีสีหน้าต่างกันไป ความคิดภายในใจเองก็ไม่เหมือนกัน
ลูกศิษย์บางคนถูกกระตุ้นจนเกิดความทะเยอทะยาน ลูกศิษย์บางคนรู้สึกบนไหล่หนักอึ้ง ลูกศิษย์หลายคนนั้นรู้สึกว่าเรื่องนี้มิเกี่ยวข้องอะไรกับตน
พวกเขาเพิ่งเข้ามาในสำนักได้ไม่นาน บรรลุสภาวะเพียงขั้นรักษาจิตบริบูรณ์เท่านั้น หนทางที่จะบรรลุสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ยังอยู่อีกห่างไกลยิ่งนัก
แม้นพวกเขาจะเป็นอัจฉริยะจริงๆ พวกเขาก็หาได้มีความมั่นใจว่าจะเดินไปถึงจุดนั้นบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรได้
มองไปทั่วทั้งแผ่นดิน ผู้ที่บรรลุถึงขั้นทะลวงสวรรค์ได้มีเพียงหยิบมือ ในสำนักชิงซานก็มีเพียงเจ้าสำนักคนเดียวเท่านั้น
ครั้นเห็นสีหน้าเหล่าศิษย์ หลินอู๋จือทราบว่าพวกเขากำลังครุ่นคิดอันใดอยู่ กล่าวว่า “ไม่ว่าสุดท้ายจะเดินไปได้ไกลเท่าไร หากพวกเจ้าไม่มีความมุ่งมั่นที่จะเดินไปจนถึงที่สุด เหตุใดจึงย่ำขึ้นมาบนเส้นทางที่ยากลำบากนี้? ข้าวต้องกินทีละคำ ทางต้องเดินทีละก้าว หนึ่งก้าวไม่เดิน แล้วจะถึงพันลี้ได้อย่างไร?”
เหล่าศิษย์สีหน้าตะลึงลานเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้
หลินอู๋จือกล่าวว่า “วันนี้หลังได้รับคัมภีร์กระบี่ไปแล้ว พวกเจ้าต้องตั้งใจศึกษา ขยันฝึกปรือ เข้าใจหรือไม่?”
ไม่ว่าจะฟังเข้าใจจริงหรือไม่ เสียงตอบของเหล่าศิษย์ก็ยังดังขึ้นมาโดยพร้อมเพียงกัน “เข้าใจแล้วขอรับ!”
หลินอู๋จือพยักหน้า บรรยายวิชาของตนเองต่อ
“เนื้อหาคัมภีร์กระบี่ลึกซึ้ง เพียงพอให้พวกเจ้าได้ใช้ฝึกฝนก่อนถึงงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนต้องมีอาจารย์ยอมรับก่อน พวกเจ้าถึงจะสามารถเลือกเรียนสุดยอดเคล็ดกระบี่เหล่านั้นได้ และก่อนหน้าที่จะเรียนรู้วิถีกระบี่ สิ่งแรกที่พวกเจ้าต้องทำคือฝึกพื้นฐานให้แน่น เร่งทำให้สภาวะของตนขยับขึ้น มิเช่นนั้นแล้วกระบี่ในมือของพวกเจ้า มันก็มิต่างอะไรกับเศษเหล็ก”
“ในขั้นล้างกระบี่ สิ่งที่พวกเจ้าต้องผ่านไปให้ได้ก็คือสภาวะใหญ่ขั้นที่สอง”
“สำนักเราแบ่งสภาวะใหญ่ขั้นที่สองออกเป็นสองสภาวะย่อย ได้แก่ปัญญาเห็นแจ้งและตั้งมั่น”
“สิ่งใดเรียกปัญญาเห็นแจ้ง? กายตั้งมั่นมิเคลื่อนไหว แต่ปัญญาเดินทางไปสู่ดินแดนลี้ลับ ในขั้นนี้ พวกเจ้าต้องเอาทะเลวิญญาณรดลงไปบนเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋า ช่วยให้มันเติบใหญ่ จนกระทั่งกลายเป็นต้นไม้สูงเสียดฟ้า และออกผลแห่งกระบี่”
“ผลกระบี่ออกผล เจตน์กระบี่ถือกำเนิด ก่อเกิดสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับกระบี่บิน เช่นนี้จึงจะสามารถควบคุมกระบี่ให้โจมตีศัตรูได้”
“ในขั้นนี้เรียกอีกอย่างว่าออกผล ดังนั้นข้าจึงครุ่นคิดมาโดยตลอด เมื่อครั้งที่วัดกั่วเฉิง[1]เพิ่งสร้างเสร็จ คนผู้นั้นได้เคยแอบเรียนเคล็ดกระบี่ของพวกเราหรือไม่?”
……
……
จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมาจากด้านนอกหน้าต่างและรับเอาเคล็ดกระบี่ที่ผู้ดูแลแจกให้ เมื่อพลิกเปิดหน้าแรก ก็ได้เห็นตัวหนังสือที่คุ้นตา
ภายในศาลาสี่เจี้ยนที่มีเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ขาดสาย แต่เขานิ่งเงียบมิกล่าวอันใด
……
……
“เช่นนั้นอะไรคือตั้งมั่น?”
“ตั้งจิตมั่นมิฟุ้งซ่าน ผสานรวมเป็นหนึ่ง ความหมายของประโยคนี้คือหากมุ่งมั่นเดินไปบนธรรมวิถี ท้ายที่สุดย่อมต้องผสานเป็นหนึ่งกับมันได้อย่างแน่นอน”
“ในขั้นนี้ ปราณก่อกำเนิดจะไหลเวียนไปในร่างกายคล้ายสายน้ำสีเงิน แปรเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่ ผลแห่งกระบี่ค่อยๆ กลายเป็นทอง นั่นคือสัญญาณของโอสถกระบี่กำลังก่อเกิด”
“โอสถกระบี่ก่อเกิด เจตน์กระบี่กลายเป็นจริง กระบี่บินสามารถตัดหินสะบั้นทอง ภายในสิบจ้างสั่งการดั่งใจคิด เพียงสายตาเหลือบมอง ก็สามารถสังหารคนได้”
“สำหรับพวกเจ้าแล้ว เรื่องที่น่าจะตื่นเต้นมากที่สุดคงจะเป็นการขี่กระบี่”
“ถูกต้อง ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าล่วงหน้า ขอเพียงสามารถสร้างโอสถกระบี่ขึ้นมาได้ พวกเจ้าก็จะสามารถขี่กระบี่ได้ หากปราณกระบี่มากพอ ก็จะสามารถบินไปถึงยอดเขาเทียนกวงได้”
“แต่แน่นอนว่ายังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งอยู่ ก็เหมือนกับที่ข้าได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ พวกเจ้าก็จะสามารถเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน และกลายเป็นศิษย์สายตรงของยอดเขาใดยอดเขาหนึ่งได้”
……
……
เสียงหัวร่อมีความสุขภายในศาลาล้างกระบี่ยังคงดังอยู่
จิ๋งจิ่วเพียงแต่มองดูตัวอักษรสี่ตัวบนหน้าแรกของคัมภีร์กระบี่ที่คุ้นเคยนั้น คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
……
……
“เมื่อครู่มีคนถาม สภาวะขั้นนี้กับขั้นเบื้องต้นไม่เหมือนกัน สภาวะขั้นนี้ไม่สามารถตัดสินระดับความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียรด้วยทะเลวิญญาณได้ เช่นนั้นเกณฑ์ในการตัดสินคืออะไร?”
“คำถามนี้ง่ายดายยิ่งนัก อย่างน้อยสำหรับสำนักชิงซานของเราก็ง่ายดายอย่างมาก”
“เผ่าหมิงดูเพลิงวิญญาณ วัดกั่วเฉิงดูใจแห่งฌาน พวกเราดูผลแห่งกระบี่ หากทุกคนต่างออกผลแห่งกระบี่ได้ เช่นนั้นจะตัดสินอย่างไร? อย่างนั้นก็ต้องดูความสามารถในการขี่กระบี่ของพวกเจ้า”
“กระบี่ของเจ้าสามารถสังหารศัตรูที่อยู่ห่างไปร้อยจ้าง นั่นคือสมความนึกคิด”
“กระบี่ของเจ้าสามารถบินออกไปได้สิบกว่าลี้แล้วสังหารศัตรู นั่นคือคเนจร”
“หากกระบี่เจ้าสามารถบินไปได้ไกลพันลี้ นั่นคือทะลวงสวรรค์”
“หากกระบี่เจ้าสามารถทะลวงขึ้นไปบนฟ้า แล้วสังหารเทวบุตรมารต่างแดนได้ เช่นนั้นเจ้าก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแผ่นดินเฉาเทียน”
……
……
เกณฑ์การตัดสินเช่นนี้มิเพียงเรียบง่าย หยาบกระด้าง ฟังดูแล้วออกจะไร้เหตุผลเสียด้วยซ้ำ เหล่าศิษย์ภายในศาลาสี่เจี้ยนพากันพูดคุยถกเถียงกันขึ้นมา แต่เมื่อดูสีหน้าของหลินอู๋จือมิคล้ายหลอกลวง จึงได้แต่ต้องเชื่อ
มิว่าโลกภายโลกจะวุ่นวายอย่างไร จิ๋งจิ่วยังคงจ้องมองตัวหนังสือบนหน้าแรกของคัมภีร์กระบี่นั้น
กระบี่สรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่ง
………………………………………………….
[1] กั่วเฉิง แปลว่า ออกผล