มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 17 มิใช่ความหนาวเหน็บที่เกิดขึ้นในวันเดียว
“น่าขันสิ้นดี ผู้ใดจะเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
เซวียหย่งเกอเปิดประเด็น ลูกศิษย์บางคนก็ตะโกนสำทับขึ้นมา
เมื่อศิษย์น้องอวี้ซานพบว่าวันนี้มีคนแย่งทดสอบเข้าเป็นศิษย์ในสำนักก่อนตน เดิมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อนางเห็นว่าคนผู้นั้นคือจิ๋งจิ่ว ความรู้สึกผิดหวังทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจและยินดี
“ทำไมจะมิได้เล่า? ความสามารถของศิษย์น้องจิ๋งเป็นอย่างไร มีผู้ใดในศาลาหนานซงมิรู้บ้าง? ข้าว่าพวกเจ้าก็เพียงแต่ริษยาเท่านั้น” นางมองเหล่าลูกศิษย์ที่มีเซวียหย่งเกอเป็นผู้นำ แค่นหัวเราะกล่าวว่า “เป็นเพราะปกติเยาะเย้ยศิษย์น้องเอาไว้บ่อยครั้ง เวลานี้เลยรู้สึกอับอายใช่หรือไม่?”
ในช่วงเวลาสองปีที่อยู่ในศาลาหนานซง บางครั้งคราวจิ๋งจิ่วจะช่วยศิษย์ร่วมสำนักเหล่านี้ไขปัญหาข้อข้องใจ แม้นจำนวนครั้งไม่เยอะ แต่สำหรับผู้ที่มิเคยสัมผัสกับการบำเพ็ญเพียรมาก่อนกลับเป็นการช่วยเหลือที่สำคัญยิ่ง ศิษย์บางคนเลือกที่จะลืมการช่วยเหลือเหล่านี้และมองจิ๋งจิ่วเป็นคนแปลกหน้า ศิษย์บางคนเคยได้รับการช่วยเหลือ แต่กลับเยาะเย้ยถากถางจิ๋งจิ่ว ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังมีหลายคนที่รู้สึกขอบคุณ พวกเขายืนอยู่ฝั่งศิษย์น้องอวี้ซาน กล่าวต่อว่าเซวียหย่งเกอแลศิษย์เหล่านั้นจนพูดไม่ออก ทั้งยังส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจจิ๋งจิ่วที่เดินเข้าไปในหอกระบี่
……
……
“ข้านึกว่าเขาจะมนุษย์สัมพันธ์แย่เสียอีก”
ครั้นได้ยินเสียงโห่ร้องที่ดังมาจากด้านนอกหอกระบี่ หมิงกั๋วซิ่งรู้สึกแปลกใจ
อาจารย์เซียนที่มาจากยอดเขาซีไหลผู้นั้นยิ้มกริ่ม กล่าวว่า “อันที่จริงก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงเหมือนกัน”
ครั้นกล่าวจบ ทั้งสองคนพลันมองไปทางประตูห้องที่ปิดแน่น
พวกเขาใคร่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจิ๋งจิ่วจะผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักหรือไม่ ความกังวลใจนี้ยังมากกว่าเมื่อครั้งที่หลิ่วสือซุ่ยทำการทดสอบเมื่อหนึ่งปีก่อนเสียอีก
ศิษย์นอกสำนักของศาลาหนานซงกลุ่มนี้มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งเก้ายอดเขา
ผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดย่อมต้องเป็นหลิ่วสือซุ่ยที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด จากนั้นก็เป็นจิ๋งจิ่ว มิว่าใครต่างก็ทราบว่าสำนักชิงซานมีบุรุษชุดขาวรูปงามผู้หนึ่งเข้ามาเป็นศิษย์ กระทั่งศิษย์ผู้หญิงจากยอดเขาชิงหรงยังหาเหตุผลมาเยือนศาลาหนานซงอยู่หลายครา ด้วยคิดอยากเห็นว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่
เพียงแต่จิ๋งจิ่วเอาแต่อยู่ในที่พักของตน ศิษย์หญิงจากยอดเขาชิงหรงเหล่านั้นจึงได้แต่ต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง
หากเพียงแต่เกิดมารูปงาม คงไม่ทำให้จิ๋งจิ่วมีชื่อเสียงถึงเพียงนี้ สิ่งสำคัญคือเขาเกียจคร้านอย่างยิ่ง…
ความแตกต่างเช่นนี้ ช่างเหมาะจะกลายเป็นประเด็นให้พูดคุยเสียจริง
ก็เหมือนกับที่หมิงกั๋วซิ่งกล่าวมา และก็เป็นเพราะสองข้อนี้ หลายคนจึงคิดว่ามนุษย์สัมพันธ์ของจิ๋งจิ่วน่าจะแย่ยิ่งนัก
——- ไม่แสวงหาความก้าวหน้าทำให้คนดูถูก เกิดมารูปงามกลับทำให้คนอิจฉาริษยาได้ง่าย
ใครจะไปคาดคิด ตอนนี้จิ๋งจิ่วมิเพียงแต่จะบรรลุขั้นรักษาจิตบริบูรณ์ แต่เขายังมีสหายร่วมสำนักที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับเขามากมายขนาดนี้ด้วย
ทันใดนั้นเอง เสียงกระบี่ที่ชัดเจนเสียงหนึ่งดังออกมาจากในประตูห้องที่ปิดแน่น ก่อนจะแผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทางรอบที่ราบริมผา
หมิงกั๋วซิ่งและอาจารย์เซียนจากยอดเขาซีไหลสบตากัน ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้ม
เสียงกระบี่นี้เมื่อเทียบกับเสียงกระบี่ที่เกิดขึ้นจากฝีมือของหลิ่วสือซุ่ยแล้วยังต่างกันมาก แต่ก็ถือว่าดังชัดเจน
บริเวณด้านหน้าประตูหอกระบี่ อาจารย์หลี่ว์เองก็ได้ยินเสียงกระบี่นี้เช่นกัน ร่างกายเขาพลันผ่อนคลาย สีหน้าเผยให้เห็นความรู้สึกทอดถอนใจ
ภายในห้องเงียบสงบ จิ๋งจิ่วเก็บสายตาที่มองไปยังหน่อกระบี่สีดำกลับมา จากนั้นหมุนตัวเดินออกไปนอกห้อง
นอกจากตัวเขาแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาไม่ได้เอามือวางไว้บนหน่อกระบี่เลย ทั้งยังไม่ได้เดินปราณก่อกำเนิดทั้งหมดด้วย
หากเขาทำเหมือนอย่างศิษย์ธรรมดาคนอื่นที่เข้าร่วมการทดสอบเป็นศิษย์ในสำนัก หน่อกระบี่คงถูกเขาหลอมจนกลายเป็นก้อนเหล็กแน่
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเพียงแต่เหลือบมองดูหน่อกระบี่เท่านั้น
……
……
ประตูหอกระบี่เปิดออก อาจารย์หลี่ว์พาจิ๋งจิ่วเดินออกมา สายตามองดูเหล่าลูกศิษย์ที่มีสีหน้าแตกต่างกันไป พลางยิ้มออกมา
เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังขึ้น ทั้งยังคล้ายได้ยินเสียงถอนใจและถ่มน้ำลายดังแทรกขึ้นมาด้วย
เมื่อเห็นเหล่าศิษย์ร่วมสำนักที่ก้าวเข้ามาแสดงความยินดี จิ๋งจิ่วตอบรับน้ำใจอย่างเงียบๆ ทว่ากลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เขาจำได้ว่าตนมิได้พูดคุยปราศรัยอะไรกับคนเหล่านี้นัก ทั้งยังไม่ได้รู้สึกมีมิตรภาพอันใดด้วย กระทั่งชื่ออีกฝ่ายก็ยังจำได้เพียงสองสามคนเท่านั้น
เด็กหญิงที่รวบผมขึ้นไปคนนั้นชื่ออวี้ซานหรือจินซานนะ?
เมื่อกลับมาที่พัก สายตากวาดมองไปรอบด้าน เขานิ่งเงียบเพียงครู่ ก่อนจะเดินจากไป มิได้มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ หลงเหลืออยู่
เก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นและจานทรายก็หายไปด้วย
……
……
หมู่ยอดเขาชิงซานเร้นกายอยู่ในหมู่เมฆตลอดทั้งปี ครั้นมาถึงยอดเขาทั้งเก้าที่ร่ำลือกัน เมฆหมอกถึงจะจางลงไปไม่น้อย
ตลอดทั้งปีชั้นเมฆบนยอดเขาเทียนกวงกลับไม่สลายหายไปไหน เพียงแต่เมื่อเทียบกับมวลเมฆที่ม้วนตัวไปมาบนยอดเขาอวิ๋นสิงแล้วยังถือว่าเบาบางกว่ามาก
บนพื้นหน้าผาบนยอดเขามีหมอกสีขาวไหลเอื่อยราวกับทะเลหมอก ประตูหินโบราณและอาคารขนาดใหญ่ปรากฏกายตะคุ่มๆ อยู่ไกลๆ ดูคล้ายดินแดนแห่งเซียน
ฟิ้วๆๆๆๆ เสียงแหวกอากาศดังขึ้น แสงกระบี่ส่องสว่างบนยอดผา ทะเลหมอกก่อเกิดเกลียวคลื่น จากนั้นจึงค่อยๆ สงบลง
กระบี่บินห้าเล่มลอยค้างอยู่เหนือทะเลหมอกอย่างเงียบๆ รูปร่างของกระบี่บินเหล่านี้ บางเล่มเก่าแก่เรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น บางเล่มคมกระบี่กระจายตัวไปรอบๆ ความรู้สึกกดดันอย่างที่ยากบรรยายได้แผ่กระจายออกมา
กระบี่สามฉื่อ!
กระบี่สุญตา!
กระบี่พิณอำไพ!
กระบี่สุริยันหวนกลับ!
กระบี่กาลนาน!
กระบี่ของเจ้ายอดเขาในสำนักชิงซาน มาอยู่ที่นี่ห้าเล่มจากทั้งหมดเก้าเล่ม
กระบี่แบกสวรรค์ของยอดเขาเทียนกวงยังคงเป็นกระบี่ของเจ้าสำนัก มิเผยตัวง่ายๆ
กระบี่มิคำนึงแห่งยอดเขาเสินม่อได้ติดตามปรมาจารย์อาจิ่งหยางไปยังอีกโลกหนึ่งแล้ว
ส่วนกระบี่ไร้อัตตาแห่งยอดเขาเหลี่ยงว่างก็หายสาบสูญไปเป็นเวลาหลายปีแล้ว อีกทั้งยอดเขาแห่งนั้นยังเป็นสถานที่ิที่ศิษย์หนุ่มสาวใช้ฝึกฝนใจแห่งกระบี่ มักจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวในสำนักชิงซาน
แต่เหตุใดกระบี่น้ำขึ้นแห่งยอดเขาปี้หูถึงไม่ปรากฏตัว? หรือยอดเขาที่อยู่ในอันดับเจ็ดแห่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ยอดผาเงียบสงบ สำหรับเรื่องที่กระบี่น้ำขึ้นไม่ปรากฏกาย มิมีผู้ใดเอ่ยถาม
เสียงที่ฟังดูชราเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในกระบี่สามฉื่อ
บางทีอาจเนื่องด้วยรูปร่างของกระบี่ของเจ้าแห่งยอดเขาซั่งเต๋อเล่มนี้เป็นเหลี่ยมเป็นมุม เสียงนี้จึงฟังดูไม่กลมมน
เจ้าของเสียงนี้คือหยวนฉีจิงผู้เป็นเจ้าแห่งยอดเขาซั่งเต๋อ และยังเป็นกฎแห่งกระบี่ของชิงซาน ขึ้นชื่อเรื่องความเด็ดขาดและเยือกเย็น
“วันก่อนหนังสือปูนบำเหน็จและการทำโทษได้ถูกส่งไปยังทุกยอดเขาแล้ว หากไร้ข้อสงสัย วันนี้จะได้ตกลงกัน”
เจ้าสำนักมิปรากฏกาย คนที่มีตำแหน่งสูงสุดในชิงซานจักเป็นหยวนฉีจิง อีกทั้งเขากุมอำนาจสำคัญเอาไว้ในมือ นิสัยสันโดษและเยือกเย็น จึงมีน้อยคนนักที่จะคัดค้านความเห็นของเขา
วันนี้เองก็เช่นเดียวกัน เสียงหลายเสียงดังออกมาจากในกระบี่สามสี่เล่มนั้น “ไร้ข้อสงสัย”
ในกระบี่…มีเสียงที่นุ่มนวลน่าฟังดังขึ้นมา คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรง
“อีกไม่ช้าศาลาหนานซงจะมีศิษย์หลายคนที่เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก แล้วยังมีอัจฉริยะอย่างหลิ่วสือซุ่ยอีก ศิษย์หลานหลี่ว์ถือว่าทำความดีความชอบให้แก่สำนักอย่างใหญ่หลวง เราควรจะมอบรางวัลให้แก่เขามากเสียหน่อย”
ในกระบี่สามฉื่อไม่มีเสียงดังขึ้นมา หยวนฉีจิงยอมรับในข้อเสนอแนะของเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรง
ในจุดนี้มิได้เหนือความคาดหมายของแต่ละยอดเขา เนื่องเพราะทุกคนต่างทราบว่าอาจารหลี่ว์แห่งศาลาหนานซงเป็นศิษย์สายตรงของเขา
เสียงของเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงดังออกมาจากในกระบี่สุญตา “นับแต่ปรมาจารย์อาบรรลุกลายเป็นเซียน ชื่อเสียงของสำนักเราก็ขจรขจายยิ่งกว่าแต่ก่อน คาดว่าในเวลาสิบกว่าปีคงมิมีผู้ใดกล้าก่อกวน ทุกครั้งที่คิดถึงว่าภายหน้าต้องประมือกับเผ่าหมิง และยอดฝีมือจากเจาเกอในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเหล่านั้น อีกทั้งต้องเจอกับสัตว์ประหลาดกินน้ำแข็งเหล่านั้น ข้าก็รู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมา โชคดีที่หลังจากศิษย์หลานจัวแล้วยังมีล่าเยวี่ย แล้วตอนนี้ยังมีสือซุ่ยอีก นี่ทำให้ข้ารู้สึกวางใจขึ้นมาก”
เจ้ายอดเขาชิงหรงกล่าว “ศิษย์หลานจัวกำลังเก็บตัว ล่าเยวี่ยกำลังฝึกหนักอยู่บนยอดเขาของท่าน เพียงแต่หลิ่วสือซุ่ยยังเด็กเกินไป ถ้ายังไงเราเรียกเขาขึ้นยอดเขาก่อนดีหรือไม่?”
เสียงหยวนฉีจิงดังขึ้นอีกครา ยังคงเป็นเสียงที่เยือกเย็นอยู่ “ข้ากำลังครุ่นคิดว่าหลิ่วสือซุ่ยนั้นใช่เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดจริงหรือไม่ ตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยถือกำเนิดในเมืองเจาเกอนั้นมีคนของสำนักเราคอยตามอยู่ข้างกายตลอด จึงรู้สถานการณ์ของนางเป็นอย่างดี ทว่าหลิ่วสือซุ่ยผู้นี้ล่ะ?”
น้ำเสียงของเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงเยือกเย็นขึ้นกว่าเดิม กล่าวว่า “ศิษย์พี่มิต้องกังวล ข้าได้ตรวจสอบดูหลิ่วสือซุ่ยด้วยตัวข้าเอง ไม่มีปัญหา”
นี่จึงทำให้หยวนฉีจิงทราบว่านางเคยไปดูหลิ่วสือซุ่ยมาแล้ว หลังนิ่งเงียบไปครู่จึงถามว่า “เมื่อไร?”
เจ้ายอดเขาชิงหรงกล่าว “หนึ่งปีก่อน”
ตามหลักแล้ว เมื่อเจ้ายอดเขาชิงหรงเคยตรวจสอบแล้ว ทั้งยังมีเจตนาปกป้องชัดเจนเพียงนี้ หยวนฉีจิงก็ควรจะรามือแต่เพียงเท่านี้ ทว่าเขายังคงกล่าวต่อไปว่า “ข้าเองก็เคยตรวจสอบเด็กคนนี้เหมือนกัน ก่อนเข้าสำนักเขาเคยเรียนเคล็ดการหายใจที่หาได้ยากอย่างหนึ่งมา ข้านึกสงสัยว่าเขาจะเป็นสายลับ เราควรตรวจสอบให้รัดกุมยิ่งขึ้น”
น้ำเสียงของเจ้ายอดเขาชิงหรงกลับมิปรวนแปร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “ในเมื่อท่านตรวจสอบแล้ว เช่นนั้นก็น่าจะทราบว่าเขามิใช่สายลับอย่างแน่นอน”
กระบี่สามเล่มที่เหลือยังคงนิ่งเงียบ แต่เจ้ายอดเขาสามยอดที่เหลือที่แอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกระบี่ ซึ่งอาจอยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้กลับได้ยินคำพูดนี้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ครั้นได้ยินความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเจ้ายอดเขาชิงหรง ก็ทราบว่าการสนทนาวันนี้คงพอแต่เพียงเท่านี้
เป็นไปดังคาด หลังเจ้ายอดเขาชิงหรงกล่าวจบ หยวนฉีจิงก็มิได้ว่ากระไรอีก
แต่เจ้ายอดเขาชิงหรงเองก็มิได้ดึงดันจะเรียกตัวหลิ่วสือซุ่ยเข้ามายังยอดเขาทั้งเก้าก่อนเวลา
จากนั้นเพียงครู่ กระบี่บินห้าสายสลายตัวคนละทิศละทาง ทะเลหมอกบนยอดเขากลับคืนสู่ความสงบ ราวกับมิเคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน
……
……
บนยอดเขาซั่งเต๋อหนาวเหน็บ โดยเฉพาะหลังจากลำแสงกระบี่นั้นบินกลับเข้าไปในโพรงหิน อุณหภูมิพลันลดต่ำอย่างฉับพลัน บนผนังหินมีน้ำค้างแข็งเกาะในพริบตา
ยอดเขาแห่งนี้รับผิดชอบตรวจตราทั่วทั้งสำนักชิงซาน กระบี่หลักนามสามฉื่อ
ที่มาของนามกระบี่นี้มิได้มาจาก ‘สามฉื่อเหนือศีรษะมีเทพปกปักษ์’ หากแต่มาจาก ‘น้ำแข็งหนาสามฉื่อ มิได้เกิดขึ้นในวันเดียว’
ในส่วนลึกของถ้ำ ชายชราผู้หนึ่งมองดูน้ำค้างแข็งที่เกาะอยู่บนผนัง นิ่งเงียบมิพูดจา
หยวนฉีจิงเจ้าแห่งยอดเขาซั่งเต๋อ ผู้ควบคุมกฎแห่งกระบี่ สถานะแลอำนาจในชิงซานเป็นรองเพียงเจ้าสำนัก นิสัยเย็นชา เป็นที่เกรงกลัวของเหล่าลูกศิษย์มาโดยตลอด
“ดูเหมือนลูกศิษย์นามหลิ่วสือซุ่ยผู้นั้น จะเป็นคนที่ยอดเขาใดยอดเขาหนึ่งเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว”
ผู้ที่กล่าวคืออาจารย์กระบี่วัยกลางคนนามฉือเยี่ยน เป็นศิษย์น้องที่อยู่ยอดเขาเดียวกับหยวนฉีจิง ดูเหมือนเขาจะได้ยินการสนทนาครั้งนี้ทั้งหมด
ลึกลงไปในดวงตาของหยวนฉีจิงมีความเยือกเย็นและเด็ดขาดสว่างวาบขึ้นมา
หลายปีมานี้ เรื่องราวแบบนี้ในสำนักชิงซานนับวันจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการสืบทอดจะไม่ขาดช่วง ทั้งยังสามารถสร้างชื่อเสียงให้ขจรขจาย แต่ละยอดเขาจึงมักเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า คอยหาลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์และให้การช่วยเหลือ หรือบางครั้งก็แอบถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ เมื่อมีความสัมพันธ์ล่วงหน้าเช่นนี้ ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนในภายภาคหน้าก็จะชิงคนได้ง่าย
ศิษย์หลานอัจฉริยะแซ่จัวที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาเทียนกวงในเวลานี้ก็ได้รับแผ่นป้ายหยกมาจากเจ้าสำนักตั้งแต่อายุหกขวบแล้ว
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวที่อยู่บนยอดเขาเหลี่ยงว่างก็ได้รับการติดต่อจากยอดเขาแต่ละยอดเอาไว้ก่อนที่จะผ่านประตูเข้าสู่สำนัก ส่วนเจ้าล่าเยวี่ยนั้นถูกคนของสำนักชิงซานคอยคุ้มครองปกป้องตั้งแต่ยังมิลืมตาดูโลก กระทั่งอายุสิบสองปีจึงถูกพาตัวเข้าสำนัก เพียงแต่มีอยู่ปัญหาหนึ่ง นั่นคือจนถึงตอนนี้ก็ยังมิมีผู้ได้ล่วงรู้ว่าเจ้าล่าเยวี่ยถูกยอดเขาไหนพบตัวเข้า บางทีปริศนานี้คงต้องรอให้ถึงงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งปีหลังจากนี้ถึงจะคลี่คลาย
แต่แน่นอน เนื่องเพราะกฎเกณฑ์ของสำนักชิงซาน มาตรแม้นเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ยอดเขาแต่ละยอดก็มิแน่ว่าจะชิงตัวศิษย์ที่ตนหมายปองไว้ได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็ย่อมต้องดีกว่าการไม่เตรียมตัวไว้เลย
คำพูดที่ฉือเยี่ยนกล่าวมาก็ตั้งอยู่บนการวิเคราะห์นี้ เพียงแต่เขายังรู้สึกสงสัยใคร่รู้ เหตุใดหลังจากเจ้ายอดเขาชิงหรงกล่าวเช่นนั้น ศิษย์พี่ถึงมิกล่าวกระไร หรือศิษย์พี่รู้อยู่แล้วว่าเคล็ดการหายใจที่ศิษย์นามหลิ่วสือซุ่ยผู้นั้นฝึกมาล่วงหน้าคือเคล็ดการหายใจอะไร?
“เคล็ดลมหายใจประตูหยก”
น้ำเสียงของหยวนฉีจิงเยือกเย็นยิ่ง คล้ายกำลังอยู่ในพายุหิมะก็มิปาน
ฉือเยี่ยนได้ยินพลันตกใจเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดที่แท้หลิ่วสือซุ่ยคือคนที่เจ้าสำนักเลือกไว้ มิน่าเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงจึงมิได้กล่าวออกมา ส่วนศิษย์พี่เองก็มิได้ว่ากระไร
ครุ่นคิดถึงตรงนี้ เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทั้งยังแอบรู้สึกโกรธเคือง
ดูเหมือนในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนหลังจากนี้อีกหนึ่งปี ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่หรือตนเองก็คงหมดหนทางที่จะชิงตัวหลิ่วสือซุ่ยมาแล้ว
แม้นในสำนักชิงซาน สถานะของยอดเขาซั่งเต๋อจะพิเศษเพียงใด แต่จะให้ไปเทียบกับยอดเขาเทียนกวงของเจ้าสำนักได้อย่างไร
“มีศิษย์หลานจัวแล้ว ศิษย์ครึ่งหนึ่งบนยอดเขาเหลี่ยงว่างก็ล้วนแต่เป็นศิษย์ของเขา เวลานี้ยังจะเอาหลิ่วสือซุ่ยอีก…”
ฉือเยี่ยนถอนหายใจ กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดอีกคนหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็มิอาจปล่อยให้หลุดมือไปได้”
แม้นจะกล่าวเช่นนี้ แต่เขากลับไม่มีความมั่นใจ หากมองไปในทุกๆ ยอดเขาของชิงซาน มีผู้ใดบ้างไม่ต้องการตัวเจ้าล่าเยวี่ยมาเป็นผู้สืบทอด?
เขาครุ่นคิดถึงเรื่องๆ หนึ่ง กล่าวว่า “ในช่วงสองปีมานี้ ศิษย์หลานหลี่ว์ที่ศาลาหนานซงนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ได้ยินว่ามีศิษย์อีกคนหนึ่งผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ในสำนัก ให้ข้าไปตรวจสอบดูสักหน่อยหรือไม่?”
หยวนฉีจิงกล่าวสีหน้าราบเรียบ “ชื่ออะไร?”
ฉือเยี่ยนกล่าว “จิ๋งจิ่ว”
หยวนฉีจิงส่งเสียงเหอะ กล่าวว่า “เจ้าคนขี้เกียจนั่นรึ?”
…………………………………………….