มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 14 อีกหนึ่งปี
กลางดึกเงียบสงัด ที่พักของจิ๋งจิ่วมีแขกคนแรกนอกจากหลิ่วสือซุ่ยมาเยือน
เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะมา จึ่งยืนรออยู่ด้านในที่พักล่วงหน้า
หาใช่เพื่อแสดงความเคารพ หากแต่เพราะเขามิคุ้นชินที่จะให้คนอื่นเข้ามาในถ้ำของตน ถึงแม้นโพรงที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้จะไม่อาจเรียกว่าถ้ำได้ก็ตาม
อาจารย์หลี่ว์มิทราบเรื่องเหล่านี้ จึงแอบปลื้มใจในความเฉลียวฉลาดและความมีมารยาทของเขา
“คำตอบที่เจ้าเขียนให้เพื่อนร่วมสำนักในตอนเช้าเหล่านั้นล้วนถูกต้อง”
อาจารย์หลี่ว์หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ กล่าวว่า “เพียงแต่คำถามสุดท้ายเจ้าตอบผิดแล้ว”
จิ๋งจิ่วมิเข้าใจ ในใจครุ่นคิดตนเองจะตอบผิดได้อย่างไร จึงรับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่านดู จึงพอเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“คำตอบนี้หลังจากที่เจ้าทำความเข้าใจแล้ว เจ้าจะพบว่าเป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจคำพูดท่อนนี้ในเคล็ดการฝึก เจ้าจึงตอบผิด ความจริงแล้วคำพูดท่อนนี้คือคำตอบใหม่ของเคล็ดการฝึกเล่มนี้”
อาจาร์หลี่ว์มองเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “แน่นอนว่าย่อมมิอาจกล่าวโทษเจ้าได้ ความจริงแล้วหลายปีมานี้ ความเข้าใจที่สำนักชิงซานมีต่อเคล็ดการบำเพ็ญเล่มนี้ล้วนแต่ผิด”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่ ความเข้าใจที่สำนักมีก่อนหน้านี้มิผิด หากแต่เป็นวิธีอธิบายคำตอบนี้ต่างหากที่ผิด”
อาจารย์หลี่ว์ยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “นี่เป็นวิธีการอธิบายคำตอบที่ปรมาจารย์อาเขียนขึ้นมาใหม่ด้วยตัวท่านเองในกาลก่อนนั้น แล้วจะผิดได้อย่างไร?”
เคล็ดการฝึกขั้นต้นของสำนักชิงซานในเวลานี้มีอยู่สองจุดที่ถูกแก้ไขให้แตกต่างไปจากเคล็ดการบำเพ็ญเมื่อครั้งอดีต ซึ่งล้วนแต่เป็นลายมือของจิ่งหยาง
จิ๋งจิ่วย่อมต้องทราบถึงเรื่องนี้ ทั้งยังทราบอีกว่าในสองจุดนั้น มีอยู่จุดหนึ่งที่ทำการแก้ไขผิด
“มิว่าผู้ใดก็ล้วนแต่ทำผิดพลาดได้ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นศิษย์นอกสำนักหรือว่าปรมาจารย์อาก็ตาม”
จิ๋งจิ่วกล่าว
อาจารย์หลี่ว์สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดคำพูดนี้ช่างน่าขันสิ้นดี
เขาครุ่นคิดถึงตอนช่วงเช้า ที่จิ๋งจิ่วกล่าวว่าวิธีการสั่งสอนศิษย์นอกสำนักของสำนักมิถูกต้อง กฎควรทำการปรับเปลี่ยน….
“จริงอยู่ที่สติปัญญาแลพรสวรรค์ของเจ้านั้นมิเลวอย่างยิ่ง อันความคิดเองก็มีความละเอียดลออ แต่นี่มิใช่เหตุผลที่เจ้าจะทำอะไรตามใจได้”
อาจารย์หลี่ว์มองเขาพลางกล่าวเสียงเบา “ศิษย์ของสำนักชิงซานเราต้องมีความทะนง แต่ห้ามมิให้ถือดีเด็ดขาด”
ถือดีงั้นหรือ?
ครั้นครุ่นคิดถึงสองจุดบนเคล็ดการฝึกขั้นต้นที่ทำการแก้ไขผิดพลาดนั้น จิ๋งจิ่วพลันทอดถอนใจ
ในครานั้นจิ่งหยางนับเป็นคนที่ถือดีที่สุดในโลกจริงๆ เขาถึงได้ทำผิดพลาดเช่นนี้และเช่นนั้น
ครั้นเห็นเขานิ่งเงียบ อาจารย์หลี่ว์นึกว่าเขาฟังเข้าใจ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและปรารถนาดี “ไม้ใหญ่ในป่าลึก มักจะถูกลมพัดจนล้ม กระบี่ออกจากเก้าขุนเขา ย่อมต้องเจอกับลมพายุโหมกระหน่ำ คนเราเมื่อใดที่โดดเด่นมีความสามารถ มักจะถูกผู้อื่นอิจฉาริษยาได้ง่าย หากคิดอยากจะเดินไปได้ไกลบนหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ก็ควรเรียนรู้ที่จะเก็บความถือดีของตนเอาไว้ แม้นคิดอยากจะช่วยศิษย์ร่วมสำนัก ก็สามารถใช้วิธีอื่นได้ แต่มิควรทำลายกฎของสำนัก”
“แต่กฎนี้มันโง่เขลาจริงๆ” จิ๋งจิ่วกล่าว “คนที่อยู่บนยอดเขาชิงหรงผู้นั้นถือกำเนิดที่หนานไจ้ มิได้ร่ำเรียนหนังสือ ครานั้นตอนที่ยังเป็นศิษย์นอกสำนักอ่านเคล็ดการฝึกขั้นต้นไม่เข้าใจ หากไม่มีคนสอนนางอ่านหนังสือ มิเท่ากับว่าชิงซานปล่อยให้อัจฉริยะผู้นี้หลุดมือไปหรอกหรือ?”
ครั้นได้ยินคำพูดประโยคแรก อาจารย์หลี่ว์รู้สึกโมโหยิ่งนัก เตรียมจะว่ากล่าวตักเตือนสักประโยคสองประโยค แต่พอได้ฟังคำพูดประโยคหลังของเขา ก็อดตกใจขึ้นมาเล็กน้อยมิได้?
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เรื่องราวที่ว่านี้คือเรื่องราวของเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงคนปัจจุบัน มันมิได้ถือเป็นความลับ เพียงแต่เป็นเกร็ดประวัติที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ ทว่าจิ๋งจิ่วเป็นเพียงศิษย์นอกสำนัก แล้วเขาไปฟังเรื่องนี้มาจากไหน?
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด เรื่องที่ตนเองมองเห็นเด็กน้อยคนนั้นฝึกฝนร่ำเรียนเขียนอ่านอย่างหนักคืนแล้วคืนเล่ากับตาตัวเองก็ต้องบอกเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ?
อาจารย์หลี่ว์ครุ่นคิด หรือเจ้าหนุ่มนี้ก็เหมือนกับจัวหรูซุ่ยและเหล่าศิษย์ที่อยู่บนยอดเขาเหลี่ยงว่างเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นตัวหมากที่ทางสำนักวางเอาไว้ก่อนล่วงหน้า?
การวางหมากครั้งนี้ เป็นฝีมืออาจารย์ลุงอาจารย์อาบนยอดเขาไหนกันแน่?
……
……
เวลาเหมือนดั่งสายน้ำ
พริบตาก็ผ่านไปหนึ่งปี
เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิอีกครา
หลิ่วสือซุ่ยก้าวออกมาจากหอกระบี่ เดินไปตามทางหินเข้าไปในป่า
เหล่าศิษย์นอกสำนักหลายสิบคนที่อยู่ตรงพื้นราบริมผาเห็นภาพนี้จนชินชา ทุกคนต่างรู้ว่าเขากำลังมุ่งไปที่ใด มิมีผู้ใดรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก ต่างคนต่างกล่าวทักทายเขา
หลิ่วสือซุ่ยพยักหน้าส่งยิ้มเล็กน้อยตามมารยาท
ตอนนี้เขาอายุสิบสองปี ในอีกมุมหนึ่งควรจะเรียกเขาว่าชายหนุ่มได้แล้ว
หน้าตาท่าทางของเขายังคงใสซื่อน่าคบหา เพียงแต่สายตาดูมีความสงบมากขึ้นกว่าเดิม บุคลิกเองก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เดินพลางยิ้มเล็กน้อย ดูมั่นอกมั่นใจยิ่งนัก
เมื่อเห็นหลิ่วสือซุ่ยเดินเข้าไปในที่พักหลังนั้น เหล่าศิษย์พลันจับกลุ่มกัน แล้วเริ่มพูดคุยกันขึ้นอีกครั้ง
ในฐานะที่เป็นศิษย์ที่ทางสำนักชิงซานให้ความสำคัญ ทุกความเคลื่อนไหวของหลิ่วสือซุ่ยจึงถูกคนจับตามอง
เมื่อคืนที่ผ่านมา ทุกคนต่างรู้ว่าเขาได้สมัครขอทดสอบเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก
มีเพียงผู้ที่บรรลุขั้นรักษาจิตจนบริบูรณ์จึงจะสามารถตอบสนองกับหน่อกระบี่ และมีสิทธิ์เข้าไปเป็นศิษย์ในสำนัก
ปัญหาอยู่ที่ว่า หลิ่วสือซุ่ยเพิ่งจะเข้าสำนักชิงซานมาได้เพียงปีเดียวเท่านั้น
ในช่วงเวลาหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา มีเพียงปรมาจารย์อาที่บรรลุกลายเป็นเซียนผู้นั้นที่ใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็สามารถเข้าเป็นศิษย์ในสำนักได้
จัวหรูซุ่ยซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของเจ้าสำนักชิงซาน ตอนนี้เก็บตัวอยู่บนยอดเขาเทียนกวง ในครานั้นเขามาจากเป่ยเฮ่อเซวียน ใช้เวลาอยู่หนึ่งปีครึ่งจึงสามารถเข้าเป็นศิษย์ในสำนักได้
อัจฉริยะอย่างเจ้าล่าเยวี่ย ก็ใช้เวลาอยู่หนึ่งปีเต็ม
ไม่มีผู้ใดคิดว่าหลิ่วสือซุ่ยจะสามารถผ่านการทดสอบครั้งนี้ได้ แม้เขาจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดที่หาได้ยากยิ่ง แต่ในสายตาของเหล่าศิษย์ เขายังไม่อาจเทียบศิษย์พี่เจ้าได้
มีความคิดหนึ่งบอกว่า หากไม่เป็นเพราะหลิ่วสือซุ่ยแบ่งสมาธิไปทำเรื่องอื่น บางทีโอกาสสำเร็จของเขาอาจจะมากกว่านี้
เรื่องอื่นที่ว่า ย่อมต้องหมายถึงเรื่องต่างๆ ในที่พักของจิ๋งจิ่วเหล่านั้น
และเพราะเรื่องเหล่านี้ หลายคนจึงรู้สึกไม่พอใจจิ๋งจิ่วอย่างยิ่ง คิดว่าเขากำลังถ่วงการบำเพ็ญเพียรของหลิ่วสือซุ่ย ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร บางคนถึงขนาดคิดว่าเขาริษยาหลิ่วสือซุ่ย จึงจงใจทำเช่นนี้
แน่นอนว่ามีบางคนหาได้คิดเช่นนี้ไม่ พวกเขารู้สึกขอบคุณจิ๋งจิ่ว เนื่องจากจิ๋งจิ่วมิได้ฟังคำเตือนของอาจารย์หลี่ว์ เขายังคอยมาชี้แนะคำถามที่ยากจะเข้าใจให้แก่ศิษย์คนอื่นอยู่เป็นครั้งคราว
อาจารย์หลี่ว์เองก็ค่อยๆ เลิกจับตามองดูจิ๋งจิ่ว และไม่ได้คิดว่าเขาเป็นศิษย์ที่อาจารย์แห่งยอดเขาไหนสักแห่งเลือกเอาไว้ล่วงหน้าอีก
เพราะจิ๋งจิ่วเกียจคร้านยิ่งนัก
เขามิเคยเข้าร่วมการเดินเวรตรวจตรารอบชิงซานกับศิษย์นอกสำนักคนอื่น กระทั่งเหตุผลในการไม่เข้าร่วมก็ยังเกียจคร้านที่จะหา ทุกคราล้วนแต่ฝากให้หลิ่วสือซุ่ยเป็นคนมาขอร้อง
แล้วก็ไม่เคยมีใครเห็นเขาฝึกฝนร่างกายทำการบำเพ็ญเพียรเลย
คนเยี่ยงนี้ แม้นความรู้จะลึกซึ้งปานใด สติปัญญาจะดีเลิศแค่ไหน สุดท้ายก็ไร้ความหมาย
……
……
เมื่อเดินเข้าไปในที่พัก รอยยิ้มมั่นใจของหลิ่วสือซุ่ยแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห้งๆ จนปัญญา
ในเวลาหนึ่งปีมานี้เขาเคยเตือนจิ๋งจิ่วไปแล้วหลายครั้ง แต่จิ๋งจิ่วก็มิได้รับฟัง ทุกวันยังคงนอนเหม่อลอยอาบแสงแดดอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
เพียงแต่มิรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่มีจานกระเบื้องใบหนึ่งมาตั้งอยู่ ภายในจานกระเบื้องมีทรายสะอาดอยู่จำนวนหนึ่ง
หลิ่วสือซุ่ยเคยสังเกตดูอย่างตั้งใจ พบว่าทรายภายในจานมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้กินพื้นที่หนึ่งในสามของจานไปแล้ว
มิรู้ว่าจานกระเบื้องแลทรายเหล่านี้ใช้ทำอะไร จิ๋งจิ่วมิเคยอธิบาย แต่เห็นได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับเจ้าสิ่งนี้อย่างยิ่ง กระทั่งหลิ่วสือซุ่ยก็มิให้จับต้อง
“คุณชาย เมื่อคืนข้าไปพูดกับอาจารย์หลี่ว์แล้ว…ว่าข้าเตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบเป็นศิษย์ในสำนัก”
หลิ่วสือซุ่ยมองดูจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวอย่างประหม่าว่า “ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าข้าสามารถทำได้ ข้าถึงไปพูด”
จิ๋งจิ่วเหลือบมองดูเขา กล่าวว่า “ผ่านมาปีกว่าแล้ว หากเจ้ายังทำไม่ได้ นั่นสิถึงจะมีปัญหา”
หลิ่วสือซุ่ยพลันได้สติขึ้นมา เมื่อครั้งที่อยู่ในหมู่บ้านคุณชายก็เคยสอนวิธีการหายใจให้กับตน เท่ากับว่าตนได้เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าสู่ชิงซาน เขาแอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อย่างนี้ต่อให้ตนเองสามารถผ่านการทดสอบเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก ก็ไม่อาจถือเป็นคนที่เร็วที่สุดได้ แต่จากนั้นเขาก็ดีใจขึ้นมา รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ต่างก็เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด เจ้ามิอาจด้อยกว่าคนนั้น…ใครนะ”
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกจนปัญญา กล่าวว่า “ศิษย์พี่เจ้าล่าเยวี่ย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “อ้อ”
บรรยากาศในที่พักพลันนิ่งเงียบขึ้นมา
มิใช่ว่าไม่มีอะไรจะพูดต่อ หากแต่เป็นเพราะหลิ่วสือซุ่ยคิดถึงเรื่องอื่นอีกมากมาย
มาถึงสำนักชิงซานได้ปีหนึ่ง ได้พบเจอผู้คนและเรื่องราวที่เมื่อครั้งที่อยู่ในหมู่บ้านคาดคิดไม่ถึง เขาเติบโตขึ้นด้วยความเร็วอย่างที่ยากจะจินตนาการได้
ยิ่งเขาเข้าใจมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกไม่สงบ
มิว่าจะเป็นวิธีการหายใจเมื่อครั้งที่อยู่ในหมู่บ้านหรือว่าเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าจิ๋งจิ่วมีความลับมากมาย
ความลับเหล่านั้นจะเป็นปัญหาหรือไม่? จะเป็นเพียงปัญหาของพวกเขาหรือเป็นปัญหาของสำนักชิงซาน?
มิรู้นิ่งเงียบไม่นานเท่าไร ในที่สุดหลิ่วสือซุ่ยจึงถามเสียงเบาๆ ว่า “คุณชาย ท่านเป็นสายลับของสำนักอื่นหรือเปล่า?”
…………………………………………………………………………..