มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 12 ความเงียบภายในหอกระบี่
คำพูดนี้เข้าใจยากนัก เพราะไม่มีความสัมพันธ์ทางเหตุและผลใดๆ ไม่มีการเริ่มต้นและลงท้าย
มิรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยฟังเข้าใจหรือไม่ แต่อย่างไรเสีย เขาก็มิได้ตอบคำถามจิ๋งจิ่ว
เขาก้มหน้า กัดริมฝีปาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูดออกมา ดูคล้ายเด็กดื้อที่กระทำผิดแล้วไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิด ปัญหาอยู่ที่ว่า ยิ่งทำเช่นนี้พ่อแม่ก็ยิ่งรู้ว่าลูกต้องไปทำผิดมาอย่างแน่นอน
ก็คล้ายกับตอนนี้ มิว่าใครต่างก็รู้ว่าเขาฟังเข้าใจในสิ่งที่จิ๋งจิ่วว่ามาอย่างแน่นอน
จิ๋งจิ่วมิได้ถามเขาอีก
หลังตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สอง สือซุ่ยตักน้ำมาให้เขาล้างหน้า จากนั้นหวีผมให้เขา
หวีไม้ลื่นไหลไปตามผมสีดำขลับ
สือซุ่ยคล้ายจะกล่าวอะไรแต่ก็หยุดไว้ หลังลังเลอยู่ครู่จึงรวบรวมความกล้าขึ้นมา กล่าวว่า “คุณชาย พวกศิษย์พี่เองก็มีคำถามอีกหลายคำถามอยากขอคำชี้แนะจากท่านเช่นเดียวกัน”
จิ๋งจิ่วเหลียวหน้ากลับมามองดูเขา
สือซุ่ยก้มหน้ากล่าวว่า “เมื่อวานพวกเรากำลังคุยกันถึงปัญหาบางอย่าง ตกเย็นท่านช่วยชี้แนะข้า กลับไปข้าก็เลยบอกพวกเขา พวกเขายังมีคำถามบางอย่างที่ไม่เข้าใจ บางอันข้าตอบได้ บางอันข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ก็เลย…”
จิ๋งจิ่วมิแปลกใจ เดิมสือซุ่ยก็เป็นเด็กที่มีจิตใจอ่อนโยนอยู่แล้ว ในเมื่อเมื่อคืนวานเขามิได้ห้ามเขามิให้เอาเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เรื่องนี้ย่อมต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
กฎของสำนักชิงซานเป็นเช่นนี้ เหล่าศิษย์นอกสำนักยากที่จะได้รับคำชี้แนะและการช่วยเหลือจากผู้เป็นอาจารย์ พวกเขาได้แต่ต้องอาศัยสติปัญญาและความขยันของตนในการก้าวเดินไปข้างหน้า ดังนั้นโอกาสที่จะสามารถช่วยเหลือตนเองตอบปัญหาจึงมีค่าอย่างมาก
“มันยุ่งยากน่ะสิ…” จิ๋งจิ่วถอนใจ
สือซุ่ยพบว่าเขามิได้โกรธอะไร จึงรู้ว่ามีโอกาส ดังนั้นจึงรีบกล่าวว่า “เมื่อครั้งที่พวกข้าเรียนหลังสืออยู่ในหมู่บ้านแล้วไม่เข้าใจ ท่านก็ยินดีสอนพวกข้ามิใช่หรือ?”
“ก็ใช่ ข้าเห็นแก่ที่เจ้าตั้งใจดูแลข้า อีกทั้ง…มันน่าเบื่อ อีกอย่างถ้าไม่แสดงอะไรออกมา ข้าเกรงว่าจะถูกไล่ออกไปจากหมู่บ้านจริงๆ”
จิ๋งจิ่วคล้ายกำลังพูดกับตัวเอง แต่สายตาคอยมองดูหลิ่วสือซุ่ยตลอดเวลา
เวลานี้สือซุ่ยถึงได้รู้ว่าเขาเดาเจตนาตนเองออกแต่ต้นแล้ว จึงเขินอายก้มหน้าลงไป
จิ๋งจิ่วลูบศีรษะเขา กล่าวว่า “เจ้าเป็นเด็กดี ต่อไปตั้งใจบำเพ็ญเพียรก็พอ มิต้องใส่ใจคนอื่นมากนัก”
สือซุ่ยคิดในใจท่านเองก็โตกว่าข้าไม่เท่าไร เหตุใดถึงชอบใช้พูดโดยใช้น้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ล่ะ
……
……
เมื่อเดินเข้าไปในหอกระบี่ จิ๋งจิ่วมองเห็นศิษย์รุ่นเยาว์จำนวนหลายคน
เมื่อวานศิษย์เหล่านี้ก็อยู่ในหอกระบี่เช่นกัน การที่สามารถถกความรู้เกี่ยวกับสภาวะรักษาจิตกับหลิ่วสือซุ่ยได้ น่าจะถือเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นในบรรดาศิษย์นอกสำนักรุ่นนี้แล้ว
เมื่อเห็นจิ๋งจิ่ว สีหน้าพวกเขาพลันกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
คำพูดเยาะเย้ยที่มีต่อจิ๋งจิ่วทั่วบริเวณศาลาหนานซงในหลายวันมานี้ ส่วนหนึ่งก็มีคำเยาะเย้ยของพวกเขาอยู่เช่นกัน
—— เจ้าเป็นคนโง่เขลาแห่งการบำเพ็ญเพียร เด็กรับใช้กลับเป็นอัจฉริยะ สถานะกลับตาลปัตร เหตุใดจึงยังมีหน้าอยู่ที่นี่อีก?
ตอนนี้ดูเหมือนคำพูดเหล่านี้จะเป็นการตบลงไปที่หน้าของพวกเขาอย่างหนัก แถมยังรุนแรงอย่างมากด้วย
มิใช่ว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้จะกำลังรอคำอธิบายของจิ๋งจิ่วอยู่ อย่างเช่นเซวียหย่งเกอ
ปรมาจารย์อาของเซวียหย่งเกอคือผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยซึ่งเป็นยอดเขาที่หก เขาสัมผัสกับการบำเพ็ญเพียรมาแต่เล็ก สำหรับเขาแล้วเคล็ดการบำเพ็ญเพียรขั้นต้นมิได้ยากอะไร เขามองดูจิ๋งจิ่วพลันกล่าวเยาะเย้ยว่า “อาศัยว่าที่บ้านมีเงินมีอำนาจ เคยอาจหนังสือเพียงไม่กี่เล่มแล้วคิดว่าตัวเองจะสามารถชี้แนะคนอื่นได้งั้นหรือ? ใครกันแน่ที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด?”
จิ๋งจิ่วหาได้สนใจเขาไม่ หากแต่มองไปทางศิษย์เหล่านั้น กล่าวว่า “ว่ามา”
เซวียหย่งเกอเห็นเขามิแยแสตน จึ่งรู้สึกโกรธ ขณะกำลังจะพูดเสียดสีอีกสักสองประโยค พลันมองเห็นดวงตาของหลิ่วสือซุ่ย
ดวงตาคู่นั้นกระจ่างใส ทั้งยังมีความไร้เดียงสา ทว่าเวลานี้กลับมีความตั้งอกตั้งใจ ทั้งคล้ายมีความดุร้ายแฝงไว้อยู่ เหมือนกับลูกเสือที่กำลังจับจ้องเหยื่อของตน
ไม่รู้เหตุใด เซวียหย่งเกอพลันรู้สึกร่างกายหนาวเย็นขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยคือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดที่สำนักชิงซานให้ความสำคัญ หากตัวเองหาเรื่องขึ้นมา คงไม่มีทางได้เปรียบอะไรแน่ จึงได้แต่ส่งเสียงหัวเราะหึๆ พลางหมุนตัวเดินออกจากหอกระบี่ไป
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจคำพูดของเซวียหย่งเกอ แล้วก็มิได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในสายตาของหลิ่วสือซุ่ยด้วย เมื่อเห็นลูกศิษย์เหล่านั้นยังเหม่อลอย เขาจึงกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “คำถาม?”
เหล่าลูกศิษย์จึ่งได้สติขึ้นมา
ถ้าไม่เป็นเพราะเมื่อวานได้ยินหลิ่วสือซุ่ยยอมรับด้วยตัวเองว่าคำถามเหล่านั้นล้วนแต่เป็นจิ๋งจิ่วช่วยอธิบายให้ฟัง พวกเขาย่อมไม่มีทางขอคำชี้แนะจากจิ๋งจิ่วเป็นแน่ แต่พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ที่มีใจมุ่งบำเพ็ญเพียร ขอเพียงตัดสินใจไปแล้วก็จะไม่ลังเลอีก พวกเขาจึงหยิบเอาแผ่นกระดาษที่เตรียมไว้ล่วงหน้ายื่นให้จิ๋งจิ่ว ท่าทีดูมีมารยาทยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วรับแผ่นกระดาษเหล่านั้นมา สายตากวาดมองอย่างรวดเร็ว จากนั้นเงยหน้าขึ้นมามองทุกคน ถามว่า “เหล่านี้ล้วนไม่เข้าใจ?”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ เสียงมิได้เน้นหนักไปที่คำว่า ‘ล้วน’ มิได้มีนัยยะของการเยาะเย้ยเสียดสีแม้แต่น้อย
คำว่าล้วนที่เขาพูดมา มีความหมายว่าทั้งหมด มิใช่การคาดไม่ถึง
แต่เมื่อน้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นนี้และความฉงนสนเท่ห์ในดวงตาของเขารวมเข้าด้วยกัน มันกลับให้ความรู้สึกที่ยากอธิบายหลายอย่าง
คล้ายว่าสำหรับเขาแล้ว การที่คนเราติดอยู่กับคำถามที่อยู่บนกระดาษเหล่านั้น มันคือสิ่งที่ยากจะเข้าใจได้เสียจริง
พูดอีกอย่างคือ เขายากจะจินตนาการได้ว่าบนโลกจะมีคนที่โง่เขลาเช่นนี้อยู่ หรือพูดอีกอย่างคือมีคนโง่อยู่มากมายขนาดนี้
เหล่าลูกศิษย์รู้สึกอึดอัด
จิ๋งจิ่วหยิบเอากระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นเงยหน้ามองทุกคน
เด็กหญิงคนหนึ่งก้าวออกมาอย่างลังเล ก่อนจะกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ศิษย์น้องจิ๋ง อันนั้นข้าเขียนเอง”
จิ๋งจิ่วมิได้มองนาง เขากล่าวออกไปตรงๆ ว่า “ความคิดตรงนี้ของเจ้าผิดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทะเลวิญญาณและผลแห่งกระบี่ ด้วยสภาวะของเจ้าในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องไปครุ่นคิดอะไรมากนัก มิเช่นนั้นจะกระทบต่อความรู้ความเข้าใจในการโคจรปราณก่อกำเนิดก่อนหน้านี้ และก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน ส่วนแนวคิดตรงนี้ ประเดี๋ยวข้าจะเขียนให้เจ้า”
จากนั้นเขาหยิบเอากระดาษแผ่นที่สองออกมา
ลูกศิษย์ผู้ชายคนหนึ่งยกมือขวาขึ้นมาอย่างประหม่า
จิ๋งจิ่วยังคงไม่เงยหน้ามองเขา สายตามองคำถามที่อยู่บนกระดาษ กล่าวว่า “รินน้ำพุสวรรค์สู่เศียรเกล้าที่กล่าวในเคล็ดการฝึก มิได้หมายถึงการดึงเอาพลังชีวิตในธรรมชาติมาใช้ หากแต่เป็นการเชื่อมใจกับกายเข้าด้วยกัน เช่นนี้จึงจะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตในธรรมชาติ กระทั่งขั้นนี้เจ้ายังทำไม่ได้ แล้วคิดอยากแยกจิตออกจากกาย มันย่อมต้องผิดอย่างแน่นอน ส่วนควรจะทำอย่างไรนั้น เอาไว้ข้าจะวาดให้เจ้าดู”
จากนั้นเขาก็หยิบเอากระดาษแผ่นที่สามออกมา
……
……
“ความหมายของประโยคนี้เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าสามารถแห้งตายได้”
“แผนผังเส้นลมปราณเจ้าวาดผิดแล้ว จะกลายเป็นอัมพาตเอาได้”
“ด้านหน้าเจ้าเข้าใจมิผิด แต่ด้านหลังผิดแล้ว”
“ด้านหน้าเจ้าเข้าใจผิด ด้านหลังย่อมต้องผิดเช่นกัน”
“จากด้านหน้าจนถึงด้านหลัง เจ้าเข้าใจผิดทั้งหมดเลย”
……
……
ภายในหอกระบี่ที่เงียบสงบมีเสียงจิ๋งจิ่วดังสะท้อนไปมา
เนื้อหาในคำพูดเหล่านี้ฟังดูตรงไปตรงมา จนคล้ายจะดูใจร้ายอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงของเขากลับสงบยิ่งนัก พูดอีกอย่างคือราบเรียบ ไม่มีได้น้ำเสียงขึ้นลง ยิ่งฟังไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งฟังได้ชัดเจน ยิ่งมีความน่าเชื่อถือ ยิ่งมีอานุภาพ
ศีรษะของเหล่าศิษย์หนุ่มสาวก้มต่ำลงเรื่อยๆ ใบหน้าเองก็แดงขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องที่พวกเขาครุ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เหตุใดอีกฝ่ายกลับอธิบายให้เข้าใจได้โดยใช้คำพูดที่ง่ายที่สุด ทำให้ตนเองรู้ถึงความผิดพลาด?
จิ๋งจิ่วเดินไปด้านหลังโต๊ะ รับเอาพู่กันที่หลิ่วสือซุ่ยส่งมา จากนั้นเริ่มเขียนตัวหนังสือไปบนกระดาษ ซึ่งนี่ก็คือเรื่องที่เขารับปากลูกศิษย์เหล่านั้นเอาไว้ว่าจะทำ
เหล่าลูกศิษย์ห้อมล้อมเข้ามาดูอย่างตั้งใจ ไม่มีใครพูดจา กระทั่งการหายใจก็ดูจะเบาลงกว่าเดิม
หอกระบี่ยิ่งเงียบขึ้น
แสงอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ สาดส่อง ดวงอาทิตย์ลอยล่องขึ้นเหนือยอดเขา
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
อาจารย์หลี่ว์เดินเข้ามาในหอกระบี่ สายตามองดูภาพเหตุการณ์นี้ สองคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางจิ๋งจิ่วที่ถูกทุกคนห้อมล้อมอยู่พลางกล่าวว่า “แล้วเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
…………………………………………………………………………….