มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 11 ดั่งดอกไม้
บริเวณรอบๆ ศาลาหนานซงล้วนแต่มีศิษย์นอกสำนักกำลังฝึกฝนร่างกายกันอย่างหนัก
เวลาพวกเขาออกหมัด ดูคล้ายเต็มไปด้วยพละกำลัง ดุดันน่าเกรงขาม ทว่าความจริงแล้วพวกเขาระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง การควบคุมพลังอย่างแม่นยำคือหัวใจสำคัญของการฝึกในขั้นแรก ยิ่งไปกว่านั้นในตอนแรกมีศิษย์คนหนึ่งพลั้งมือทำกิ่งไม้ของต้นไม้โบราณกิ่งหนึ่งหักลงมา สีหน้าของเหล่าผู้ดูแลดูแย่อย่างมาก
ในอดีตผู้ดูแลเหล่านี้ก็เป็นศิษย์นอกสำนักเช่นเดียวกัน เพียงแต่เพราะไม่สามารถเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนักได้ เวลานี้จึงมาเป็นผู้ดูแลอยู่ที่ศาลาหนานซง พวกเขาย่อมไม่หวาดกลัวศิษย์นอกสำนักเหล่านี้
ทันใดนั้นพลันมีเสียงแคร่กเสียงหนึ่งดังขึ้น กิ่งไม้ขนาดค่อนข้างใหญ่กิ่งหนึ่งตกลงมา
ลูกศิษย์คนหนึ่งเก็บหมัดที่เริ่มชาเล็กน้อยกลับ สีหน้าเหม่อลอยมองไปยังที่ๆ หนึ่ง คล้ายลืมเรื่องที่ว่ามีเหล่าผู้ดูแลคอยจับตาดูอยู่ไปเสียสนิท
เสียงผัวะทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น ต้นไม้โบราณต้นหนึ่งถูกต่อยจนเป็นรูตื้นๆ ผิวไม้แตกร้าว ลูกศิษย์คนนั้นเก็บหมัดที่มีเลือดไหลกลับมา คล้ายว่าไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ยืนพิงต้นสนด้วยท่าคันธนูนั่งลงไปกองกับพื้น
ภาพเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายๆ ที่ ภายในป่าตกอยู่ในความวุ่นวาย
จากนั้นมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“พวกเจ้ากำลังดูอะไร?”
“ออกมาแล้ว!”
“คนๆ นั้นออกมาแล้ว!”
บริเวณที่ราบริมผา ลมจากหมัดค่อยๆ หายไป ควันสีขาวเองก็หายไปเช่นกัน จู่ๆ ทุกอย่างพลันตกอยู่ในความเงียบ
ผู้ดูแลสองสามคนเดินออกมาจากด้านในหอกระบี่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย พวกเขามองตามสายตาของเหล่าลูกศิษย์ไปยังที่ๆ หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน
ลมโชยแผ่วเบา ต้นหญ้าไหวเอนเล็กน้อย ชุดขาวพลิ้วไหว คนๆ นั้นออกมาจากที่พักแล้วอย่างนั้นหรือ?
……
……
หลังเข้าประตูหนานซานมาได้สิบกว่าวัน จิ๋งจิ่วมิเคยปรากฏกายต่อหน้าผู้คนมาก่อน
สำหรับลูกศิษย์ที่อยู่ตรงที่ราบริมผาเหล่านี้แล้ว บุรุษหนุ่มชุดขาวผู้นี้มีความลี้ลับและแปลกประหลาดยิ่งนัก
วันนี้เป็นวันแรกที่เขาออกมาจากที่พัก ย่อมต้องดึงดูดสายตาประหลาดใจและสงสัยใคร่รู้จำนวนมาก
แม้นจะถูกสายตาจำนวนมากขนาดนี้จับจ้อง ทว่าจิ๋งจิ่วมิได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เขาเดินสองมือไพล่หลังออกมาจากป่า มุ่งตรงไปยังหอกระบี่
เด็กสาวใบหน้าสะสวยคนหนึ่งปลุกความกล้าให้ตัวเอง กล่าวว่า “ศิษย์น้องจิ๋ง เป็นอย่างไรบ้าง”
จิ๋งจิ่วเหลือบมองดูนาง หลังมั่นใจว่าตนมิรู้จักอีกฝ่าย สืบเท้าเดินต่อไปข้างหน้าต่อ
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ มีคนกล่าวขึ้นมาอย่างโมโหว่า “กระทั่งพยักหน้าสักหน่อยก็ยังไม่ยอมงั้นหรือ?”
หญิงสาวผู้นั้นรีบกล่าวว่า “ศิษย์น้องพยักหน้านะ”
คำพูดนี้มิผิด ลูกศิษย์หลายคนที่อยู่ในระยะใกล้ต่างมองเห็นได้อย่างชัดเจน จิ๋งจิ่วพยักหน้าจริงๆ
เพียงแต่มุมในการพยักหน้าของเขามันน้อยอย่างมาก มองดูแล้วคล้ายก้อนหินที่ถูกลมพัดจนเขยื้อนเล็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น หากไม่มองอย่างละเอียด เกรงว่าคงยากที่จะสังเกตเห็นได้
“นั่นพยักหน้าหรือว่าทำทาน?” มีลูกศิษย์หัวเราะเยือกเย็นพลางกล่าวว่า “เกิดมารูปงาม ตระกูลร่ำรวย แล้วจะอวดดี ทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้ได้งั้นหรือ? เหตุใดเขาไม่คิดบ้างว่าสำนักชิงซานของพวกเรานั้นเป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนตนเองบนธรรมวิถี สิ่งต่างๆ ในโลกปุถุชนมีประโยชน์อันใด? ตอนนี้เขาถือดีอะไรมาทำตัวหยิ่งจองหอง เวลานี้ศิษย์น้องสือซุ่ยต่างหากถึงจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด บ่าวในตอนแรกพลันกลายเป็นคนที่ตัวเองไม่อาจเทียบชั้นได้ เขาคงรู้สึกอับอายแน่ หลายวันมานี้ถึงไม่ยอมออกมา”
สำหรับเรื่องที่จิ๋งจิ่วไม่ยอมออกมาจากบ้าน มีคนพูดกันไปต่างๆ นาๆ บางคนบอกเขาเกียจคร้าน แต่ลูกศิษย์หลายๆ คนต่างคิดว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้
หญิงสาวที่ทักทายจิ๋งจิ่วผู้นั้นคิดอยากจะแก้ต่างให้เขา แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เพราะมองอย่างไรมันก็เป็นอย่างที่ศิษย์คนนั้นว่าไว้
ไม่ว่าใครหากตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับจิ๋งจิ่วเช่นนี้ ก็คงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนหรืออับอายขายหน้ากระมัง
……
……
ภายในหอกระบี่ ลูกศิษย์สิบกว่าคนนั่งอยู่บนพื้น ไม่ได้พลิกอ่านหนังสือที่อยู่ในมือ หากแต่กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่
เซวียหย่งเกอที่มีภูมิหลังที่ดีนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สะดุดที่สุด ทว่าเขาไม่ใช่คนที่ถูกรายล้อม ความจริงแล้วเหล่าลูกศิษย์รวมทั้งเขากำลังนั่งล้อมหลิ่วสือซุ่ยอยู่
ทุกคนน่าจะกำลังพูดคุยกันเรื่องปัญหาในการบำเพ็ญเพียร เห็นได้ชัดว่าภาพเหตุการณ์เช่นนี้มิได้เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก บนใบหน้าเล็กๆ ของหลิ่วสือซุ่ยมิได้มีอารมณ์วิตกกังวลอะไร
เมื่อได้ยินเขาใช้น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนเยาว์กล่าวเรื่องการเตรียมตัวบรรลุสภาวะ บนใบหน้าเหล่าลูกศิษย์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้มีสีหน้าประจบประแจง หากแต่เป็นความรู้สึกเคารพ
ในสายตาของลูกศิษย์ผู้หญิงสองคนที่มองดูหลิ่วสือซุ่ยคล้ายมีความรู้สึกชื่นชม
แม้นอาจารย์หลี่ว์และหลิ่วสือซุ่ยมิได้กล่าว แต่ลูกศิษย์บางคนเดาออกว่าหลิ่วสือซุ่ยได้บรรลุเข้าขั้นรักษาจิตสำเร็จแล้ว
สามารถบรรลุขั้นรักษาจิตได้ในเวลาอันสั้นแค่นี้ ทั้งอายุยังน้อยเท่านี้ มันช่างน่าตื่นตะลึงจริงๆ
ใครจะรู้ได้ล่ะว่าในอนาคต เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดผู้นี้จะเดินไปได้ไกลแค่ไหน?
“เจ้ามานี่หน่อย”
เสียงที่ฟังดูราบเรียบและไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกเสียงหนึ่งดังขึ้น บรรยากาศความสงบและความมีสมาธิภายในหอกระบี่ถูกทำลาย
เหล่าลูกศิษย์หันหน้ากลับไปมองปากทางเข้าหอกระบี่ แสงอาทิตย์ที่สาดลงมาถูกชุดขาวโบกสะบัดจนเป็นรัศมีสวยงาม
ลูกศิษย์หญิงสองคนนั้นตกตะลึงจนเกือบหลุดอุทานออกมา ทั้งสองคนรีบเอามือปิดปากไว้
เหล่าลูกศิษย์ผู้ชายตอบสนองได้ช้ากว่าเด็กผู้หญิงสองคนนั้นมากนัก หลังจากนั้นครู่หนึ่งพวกเขาถึงจะได้สติขึ้นมา ก่อนพบว่าผู้ที่มาคือจิ๋งจิ่ว
อารมณ์ภายในดวงตาของทุกคนที่มองจิ๋งจิ่วดูสับสน นอกจากความตกใจแล้ว ในสายตาเหล่านั้นยังมีความเห็นใจ สงสารแลเย้ยหยัน ทั้งยังมีความรังเกียจและไม่พอใจ
ก็เหมือนกับที่ศิษย์ที่อยู่ท่ามกลางต้นไม้ผู้นั้นกล่าวไว้ เหล่าศิษย์ในศาลาหนานซงต่างคิดว่าสาเหตุที่จิ๋งจิ่วมิยอมออกจากที่พัก เนื่องเพราะหลิ่วสือซุ่ยฝึกปรือได้ก้าวหน้าเหนือเขา เพียงแต่เหตุใดวันนี้เขาถึงออกมา?
เซวียหย่งเกอมองจิ๋งจิ๋ว จากนั้นยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “มิเห็นหรือว่าพวกเรากำลังคุยกันเรื่องบำเพ็ญเพียร? อีกอย่าง เจ้าสั่งใคร? มานี่หน่อย? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? ยังมองตัวเองเป็นคุณชายอีกหรือ?”
ไม่มีใครตอบรับคำพูดของเซวียหย่งเกอ แม้แต่เสียงพูดของตัวเขาเองก็ยังเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเงียบหายไป เนื่องเพราะภาพหลิ่วสือซุ่ยถูกคำพูดของเขายั่วยุ หน้าดำหน้าแดงมิสนใจใยดีจิ๋งจิ่ว ซึ่งเป็นภาพที่เขาอยากเห็นมากที่สุดหาได้เกิดขึ้นไม่
ในขณะที่เขากล่าวคำพูดนี้ หลิ่วสือซุ่ยก็ได้วิ่งไปหาจิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “คุณชาย ท่านยอมออกมาแล้วหรือ!”
มิว่าผู้ใดก็มองออก เขารู้สึกดีใจจริงๆ ใบหน้าเบ่งบานไปด้วยรอยยิ้ม คล้ายดอกไม้ก็มิปาน
……
……
ครั้นกลับมายังที่พักของจิ๋งจิ่ว หลิ่วสือซุ่ยยังคงอยู่ในสภาพตื่นเต้น ถามเขามิหยุดเหตุใดวันนี้จึงออกมา ต่อไปจะออกมาบ่อยๆ ใช่หรือไม่ เป็นเพราะคิดตกแล้ว เตรียมบำเพ็ญเพียรใช่หรือไม่
เป็นครั้งแรกที่จิ๋งจิ่วรู้สึกเจ้าเด็กนี่น่ารำคาญ จึ่งยกมือขวาขึ้นมา
หลิ่วสือซุ่ยรีบปิดปาก
“ตอนเช้าหลังเจ้าออกไป ข้าคิดขึ้นได้ว่าลืมเรื่องหนึ่งไป จึงไปตะโกนเรียกเจ้า”
จิ๋งจิ่วคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวอธิบายออกมาประโยคหนึ่ง “ข้ามิใช่มิยอมออกไป หากแต่ขี้เกียจที่จะออกไป”
หลิ่วสือซุ่ยพยักหน้าหงึกๆ แสดงออกว่าตัวเองเข้าใจ ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้ว่า “คุณชายหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าบรรลุสภาวะแล้วหรือ?”
หลิ่วสือซุ่ยมิกล้าสบตา ก้มหน้าพลางกล่าว “อาจารย์เซียนไม่ให้ข้าพูด…”
อาจารย์หลี่ว์มิให้เขาพูด ด้วยกลัวกระทบต่อการบำเพ็ญของศิษย์คนอื่น อัจฉริยะเหมือนอย่างเขาอาจกระตุ้นให้ศิษย์ร่วมสำนักฮึกเหิมที่จะมุ่งไปข้างหน้า ทั้งยังอาจจะทำลายความมั่นใจของศิษย์ร่วมสำนักได้เช่นกัน
ที่หลิ่วสือซุ่ยมิได้บอกจิ๋งจิ่ว นอกจากเหตุผลนี้ ยังเป็นเพราะความคิดอื่นอีก
หลายวันมานี้เขาได้ยินได้ฟังคำพูดมามากมาย คำชมเชยของศิษย์ร่วมสำนักทำให้เขามีความสุข แต่คำเยาะเย้ยที่มีต่อคุณชายทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
เขามิอาจแยกแยะได้ว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นจริงหรือไม่ หากเป็นจริง คุณชายจะรู้สึกอับอายขายหน้าเพราะตัวเองบรรลุสภาวะหรือไม่?
เขาเองก็ทราบดีว่าความคิดของตนดูไร้เดียงสา คุณชายความรู้ล้ำลึก รอบรู้ทุกสิ่ง เพียงแต่เกียจคร้านไปหน่อยเท่านั้น แล้วจะมาใส่ใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เพียงแต่ถ้าเกิดว่า….
“ดื่มชาถ้วยนี้เสีย”
จิ๋งจิ่วมิได้คิดว่าเด็กน้อยกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ เขาเพียงแต่อยากจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อยโดยไว จากนั้นไปทำเรื่องฆ่าเวลาอื่นที่เขาค้นพบในช่วงหลายวันมานี้ต่อ
หลิ่วสือซุ่ยรับชาไป พลางถาม “ในชามีอะไรหรือ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่จิ๋งจิ่วออกจากที่พักไปเรียกเขากลับมา ชาถ้วยนี้ย่อมมิใช่ชาธรรมดาแน่
“ข้าใส่ยาลงไปเม็ดหนึ่ง มันจะช่วยให้สภาวะรักษาจิตของเจ้ามีความมั่นคง”
จิ๋งจิ่วมิได้บอกเด็กชายว่าในชามียาจื่อเซวียนอันล้ำค่าอยู่ และมิได้เตือนเขาว่าอย่างแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป
หลิ่วสือซุ่ยมิได้ดื่มชา หากแต่มองเขาด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ พลางกล่าว “อาจารย์เซียนก็ให้ยามาสองสามเม็ด ฤทธิ์ยาจะขัดกันหรือเปล่า?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ยาพวกนั้นไม่ดี ไม่กินก็ไม่เป็นไร”
หลิ่วสือซุ่ยส่งเสียงอื้อรับคำ มิถามอะไรต่อ จากนั้นดื่มชาในถ้วยไปจนหมด
เห็นๆ อยู่ว่ากำลังช่วยเขา มองดูเขาดื่มชาอย่างไม่ลังเล ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด จิ๋วจิ่วกลับรู้สึกค่อนข้างมีความสุข
หลังตื่นขึ้นมาจากในถ้ำนั้น บุรุษหนุ่มชุดขาวก็ไม่ได้รู้สึกสุขใจมานานแล้ว
“อาศัยว่าวันนี้ข้าอารมณ์ดี…เอาล่ะ ความจริงแล้วค่อนข้างธรรมดา แต่…ค่อนข้างน่าเบื่อ ใช่แล้ว น่าเบื่อ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “มีสิ่งใดไม่เข้าใจก็รีบถามข้ามา”
การเลี้ยงดูฟูมฟักศิษย์ของชิงซานนั้นพิกลนัก เพียงโยนตำราเคล็ดการฝึกขั้นต้นให้ แล้วก็มิสนใจอะไรอีก แม้นหลิ่วสือซุ่ยจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด ทว่าก็ยังเป็นผู้บำเพ็ญพรตในขั้นต้นอยู่ มีคำถามมากมายเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรที่เขาใคร่อยากถามจิ๋งจิ่วมานานแล้ว ก็เหมือนกับครั้งที่อยู่ในหมู่บ้าน เพียงแต่มิกล้า ครั้นเวลานี้พบว่าอารมณ์ของจิ๋งจิ่วมิเลวจริงอย่างที่ว่า แสดงว่าเขาอาจจะเบื่อจริง ไหนเลยจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปได้
“ขอรับ คุณชาย!”
……
……
คนหนึ่งถาม คนหนึ่งตอบ ไปๆ มาๆ เช่นนี้มิหยุด แสงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ เงาไม้ค่อยๆ ทอดยาว เวลาเย็นมาถึง
ในที่สุดหลิ่วสือซุ่ยก็เข้าใจปัญหาเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด
คำตอบของจิ๋งจิ่วคล้ายดั่งคมกระบี่ที่คมที่สุดในโลก สามารถตัดความสัมพันธ์อันซับซ้อนได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ ทำให้โฉมหน้าแท้จริงของการบำเพ็ญปรากฏออกมา แท้ที่จริงแล้วมันง่ายดายและชัดเจน
เมื่อมองดูจิ๋งจิ่ว สายตาของหลิ่วสือซุ่ยเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม เขารู้ว่าคุณชายเป็นคนที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่รู้ว่าคุณชายจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เวลานี้เมื่อมาครุ่นคิดดู ความกังวลใจของตนเหล่านั้นมันช่างไร้เดียงสาจริงๆ ด้วย
หลิ่วสือซุ่ยหยิบเอาขนมเปี๊ยะแลผลไม้แห้งที่ผู้ดูแลแบ่งมาให้ แบ่งให้แก่จิ๋งจิ่วตามปกติ จากนั้นเตรียมกลับออกไป
แต่วันนี้จิ๋งจิ่วกลับเรียกให้เขาอยู่นานอีกหน่อย
เขามองดูตาหลิ่วสือซุ่ย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความจริงข้าเองก็มีเรื่องอยากถามเจ้า”
หลิ่วสือซุ่ยตกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เรื่องใดหรือคุณชาย?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้?”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด ก่อนจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร จึงกล่าวว่า “คุณชายมี…”
จิ๋งจิ่วยกมือขึ้น
หลิ่วสือซุ่ยรีบเก็บเสียง
สิ่งที่เขาต้องการถามมิได้เกี่ยวกับการพูดคุยเหล่านั้น และมิได้เกี่ยวกับเรื่องอื่นด้วย
“เจ้าเป็นเด็กฉลาด จิตใจดี มีความหนักแน่นที่มิเข้ากับอายุ อีกทั้งเจ้ามีการแยกแยะผิดชอบชั่วดีที่ถึงแม้จะไร้เดียงสา แต่ก็แน่วแน่ยิ่งนัก”
จิ๋งจิ่วมองดูดวงตาเขา กล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงยังอยู่ข้างกายข้าล่ะ?”
………………………………………………………….