มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 10 คุณชายเพียงแค่กลัวความยุ่งยาก
เช้าตรู่วันที่สอง หลิ่วสือซุ่ยกลับมาอีก เขาปัดกวาดในสวน ไปรับอาหารเช้า เก็บใบไม้มากองจนดูสวยงาม
จิ๋งจิ่วมองดูเขาเงียบๆ
คำพูดที่อาจารย์หลี่ว์กล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยเมื่อคืน เขาล้วนแต่ได้ยินทั้งหมด
ต่อให้เขามิได้ยิน อาจารย์หลี่ว์ก็คงจงใจทำให้เขาได้ยิน
อาจารย์หลี่ว์หวังว่าเขาจะรู้ตัว หรือไม่ก็เป็นฝ่ายไล่หลิ่วสือซุ่ยไปเอง เนื่องด้วยรู้สึกอับอายขายหน้า
จิ๋งจิ่วเข้าใจอาจารย์หลี่ว์ดี หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา ก็คงกระทำเช่นนี้เหมือนกัน
คนที่บำเพ็ญพรตจะเอาเวลามาใช้กับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกัน
หากหลิ่วสือซุ่ยรับฟังคำชี้แนะของอาจารย์หลี่ว์ เขาก็เข้าใจดีเช่นกัน หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา ก็คงกระทำเช่นนี้เหมือนกัน
ต่อหน้าธรรมวิถี ไม่มีกระทั่งฟ้าดิน นับประสาอะไรกับคุณชายกันเล่า
แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงคือหลิ่วสือซุ่ยนอนครุ่นคิดทั้งคืน สุดท้ายวันนี้ยังคงมาทำเรื่องเหล่านั้นอยู่ ทั้งยังดูแข็งขันกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด
จิ๋งจิ่วพลันรู้สึกใคร่รู้ เจ้าเด็กนี่คิดอย่างไรกันแน่
ทว่าในเมื่อหลิ่วสือซุ่ยมิได้ฟังคำแนะนำของอาจารย์หลี่ว์ เขาก็ย่อมไม่มีทางไล่หลิ่วสือซุ่ยไปเพียงเพราะเรื่องแปลกๆ อย่างเกียรติและศักดิ์ศรี
การมีใครสักคนที่คุ้นเคยกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนมาช่วยดูแลชีวิตประจำวันนั้นมิใช่เรื่องง่าย ในช่วงเวลาอันยาวนานก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยมีมาก่อน
หลิ่วสือซุ่ยทำงานช่วงเช้าเสร็จเรียบร้อย เขาชงชากาหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นออกมาจากในโพรงถ้ำ
จิ๋งจิ่วเอนกายลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่รับแสงอาทิตย์ยามเช้า ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย นิ้วมือเคาะเบาๆ ไปบนที่วางแขนบนเก้าอี้ ฟังดูมิเป็นจังหวะ
วันนี้หลิ่วสือซุ่ยมิได้ไปหอกระบี่ เขายืนคันธนูอยู่ในสวน สองแขนคล้ายเหวี่ยงตามอารมณ์ แต่กลับรวดเร็วยิ่งนัก
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงมิได้สนใจเสียงเคาะเก้าอี้ของจิ๋งจิ่ว แต่หลังได้รับการยืนยันเมื่อหลายวันก่อน เขาก็เริ่มตั้งใจฟังมันโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีจังหวะก็เป็นจังหวะอย่างหนึ่ง มันยังคงแสดงถึงจังหวะสั้นยาวและการเว้นช่วงของลมหายใจ
ครั้นเมื่อดวงอาทิตย์ลอยข้ามหมู่ยอดเขา ในที่สุดหลิ่วสือซุ่ยก็ฝึกฝนร่างกายเสร็จเรียบร้อย ใบหน้าเล็กๆ ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายรู้สึกปวดเมื่อย
เขามิได้รู้สึกลำบากอะไร ในทางกลับกัน เขารู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง
เขาเหลียวหน้ากลับไปมองดูจิ๋งจิ่วที่หลับตานอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
อยู่ด้วยกันมาปีหนึ่ง เขารู้ว่าในหลายๆ คราจิ๋งจิ่วดูคล้ายกำลังหลับ แต่ที่จริงมิได้หลับ
“คุณชาย….”
หลิ่วสือซุ่ยลังเลเล็กน้อย เขามิเคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อคิดถึงใบหน้าคร่ำเคร่งของอาจารย์หลี่ว์เมื่อคืนนี้ ในที่สุดเขาก็ปลุกความกล้าตัวเองขึ้นมา กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “….ท่านอย่าขี้เกียจเช่นนี้ได้หรือไม่?”
หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าคุณชายเกียจคร้านยิ่งนัก เก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ใต้ตัวเขาในเวลานี้คือเครื่องพิสูจน์ แล้วก็มิรู้ว่าเขาย้ายเก้าอี้นี้มาจากในบ้านได้อย่างไร
เขายังรู้อีกว่าคุณชายเป็นคนฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ทั้งยังมีความสามารถมากด้วย แต่การเข้ามายังสำนักชิงซานนั้นมิใช่เรื่องง่าย เมื่อมีโอกาสได้สัมผัสกับหนทางการเป็นเซียนแลวิถีกระบี่ เช่นนั้นจะมัวเกียจคร้านเยี่ยงนี้ต่อไปได้อย่างไรกัน?
หากคุณชายยังคงเกียจคร้านเช่นนี้ต่อไป แล้วจะผ่านการสอบเป็นศิษย์ในสำนักได้อย่างไร? หากถูกอาจารย์เซียนไล่ออกไปจริงๆ จะทำอย่างไร?
ต่อให้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด แต่เด็กน้อยก็มิสามารถปกปิดอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอาไว้ได้
ครั้นเห็นสีหน้าเป็นกังวลบนใบหน้าหลิ่วสือซุ่ย จิ๋งจิ่วพลันตกตะลึง จากนั้นจึ่งยิ้มขึ้นมา
……
……
คืนวันนั้น จิ๋งจิ่วยืนอยู่ในสวน สองมือไพล่หลัง สายตาทอดมองหมู่ยอดเขาที่อยู่ภายใต้ดวงดารา นิ่งเงียบไม่พูดกระไร
เขาไม่ได้เชื่อฟังคำเตือนของหลิ่วสือซุ่ยแล้วไปย่างเท้าปล่อยหมัด ฝึกฝนร่างกายให้นอกในประสาน พยายามทำให้สภาวะขั้นมีกฎเกณฑ์บริบูรณ์ เพื่อสร้างฐานที่ดีแก่การบำเพ็ญเพียรในอนาคต
เขาไม่จำเป็นต้องทำ
หากใช้ระดับของผู้บำเพ็ญพรตธรรมดามาแบ่ง เขาได้ก้าวข้ามขั้นมีกฎเกณฑ์ และเข้าสู่ขั้นรักษาจิตไปนานแล้ว
กล่าวให้ตรงกว่านั้นคือ ตอนที่เขาเหยียบลงไปในลำธารภายในถ้ำครานั้น เขาก็ได้บรรลุสู่สภาวะรักษาจิตไปแล้ว
หากมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาหลายหมื่นปีของชิงซาน เขาน่าจะเป็นคนที่บรรลุสู่ขั้นรักษาจิตได้เร็วที่สุดแล้ว
เขามิได้รู้สึกหยิ่งผยอง เพราะการที่เขาสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็เนื่องด้วยความพิเศษของร่างกายในตอนนี้
ความล้ำลึกมหัศจรรย์ของมัน ผู้บำเพ็ญพรตอย่างอาจารย์หลี่ว์ย่อมมิสามารถมองออก
สรรพสิ่งในใต้หล้า มีได้ย่อมมีเสีย
เขาหยิบเอายาวิเศษสีเขียวอ่อนออกมาเม็ดหนึ่งโยนใส่ปาก เคี้ยวสองสามที ก่อนจะกลืนลงไปในท้อง
เขาดื่มชาที่เย็นแล้วคำหนึ่ง ส่ายหัวเล็กน้อย รู้สึกรสชาติธรรมดายิ่งนัก
หากอาจารย์หลี่ว์แลอาจารย์เซียนคนอื่นของชิงซานได้มาเห็นภาพนี้ เกรงว่าพวกเขาคงตะลึงลานจนลืมรักษาใจแห่งกระบี่เป็นแน่
ยาวิเศษสีเขียวอ่อนนั้นชื่อยาจื่อเซวียน[1] เป็นยาที่ดีที่สุดที่ผู้บำเพ็ญพรตสามารถกินได้ในขณะที่ฝึกอยู่ในช่วงขั้นต้น
สำหรับเหล่าศิษย์ที่บรรลุถึงขั้นรักษาจิต ยาจื่อเซวียนหนึ่งเม็ดจะเท่ากับการฝึกอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งปี
เพียงเท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่ายานี้ล้้ำค่าเพียงใด มีแต่ศิษย์ที่มีพรสวรรค์ที่สุดเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้กินยานี้
กระทั่งเหล่าศิษย์สืบทอดในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานเมื่อครั้งสมัยที่อยู่ในสภาวะขั้นต้น ก็มีเพียงไม่กี่คนที่เคยใช้ยานี้
ทว่าจิ๋งจิ่วกลับกินยาวิเศษอันล้ำค่านี้เหมือนของกินเล่น
ด้วยจำนวนและความถี่ในการกินยาจื่อเซวียนของเขา หากเป็นศิษย์นอกสำนักธรรมดา บางทีใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็สามารถทำให้ขั้นรักษาจิตบริบูรณ์ได้แล้ว
แต่แน่นอน ความเป็นไปได้ที่มากกว่านั้นคือในครึ่งชั่วยามแรก ศิษย์นอกสำนักผู้นั้นคงต้องตายไปก่อนเพราะปริมาณปราณก่อกำเนิดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จิ๋งจิ่วไม่ตาย ถึงขนาดมิรู้สึกกระไร
ยังคงเป็นเพราะเหตุผลนั้น ร่างกายของเขามีความพิเศษอย่างมาก สามารถดูดซับพลังชีวิตในธรรมชาติได้อย่างราบรื่น ขณะเดียวกันยังสามารถแบกรับพลังชีวิตในธรรมชาติได้มากกว่า
ปัญหาอยู่ที่ว่า….มันมากเกินไป
ทะเลวิญญาณของเขาคล้ายดั่งมหาสมุทร ทั้งยังเป็นมหาสมุทรที่ลึกจนมองมิเห็นก้น หากคิดจะใช้พลังชีวิตในธรรมชาติมาถมมหาสมุทรนี้จนเต็ม มิรู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร แม้นเขาจะกินยาจื่อเซวียนต่อเนื่อง มันก็ยังช้าอย่างมาก อีกทั้งฤทธิ์ยายังมีเวลาจำกัดอีกด้วย
หากทะเลวิญญาณไม่เต็ม เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าเติบโตอย่างโดดเดี่ยว ก็จักมิสามารถแปรเปลี่ยนเป็นผลแห่งกระบี่และเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรในขั้นต่อไปได้ เช่นนั้นเขาจะทำอย่างไร?
หากคำเล่าลือที่ว่าในดินแดนแห่งฌานมีอาวุธวิเศษที่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขเวลาได้เป็นความจริง บางทีเขาอาจจะประหยัดเวลาลงได้บ้าง แต่เขารู้ว่าอาวุธวิเศษเช่นนั้นไม่มีอยู่จริง ดังนั้นเวลานี้เขาจึงทำได้เพียงรอ
เขาคิดคำนวณจนกระจ่าง อีกสามวันหลังจากนี้ ยาจื่อเซวียนจะไม่มีประโยชน์อันใดต่อเขาอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาธรรมดาเหล่านั้นเลย
ต่อให้เขาดูดซับพลังชีวิตจากธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็ยังต้องใช้เวลาอีกปีกว่าถึงจะสามารถถมทะเลวิญญาณจนเต็มได้
ยังต้องใช้เวลาอีกนานขนาดนั้นเลยหรือ ช่างยุ่งยากเสียจริง
หากเขาไม่ต้องการตกเป็นที่สนใจของคนอื่นและก่อให้เกิดปัญหายุ่งยาก เขาก็สามารถขยันบำเพ็ญเพียรทุกวันเหมือนอย่างศิษย์นอกสำนักเหล่านั้น อดทนให้เวลาหนึ่งปีกว่านี้ผ่านพ้นไป
แต่เขาไม่มีทางทำเช่นนั้น นอกจากเหตุผลข้อนั้นซึ่งเป็นความลับที่สุดแล้ว อีกสาเหตุคือเขาคิดว่าการทำเช่นนี้มันยุ่งยากอย่างมาก
ถูกต้อง เขาเพียงกลัวความยุ่งยาก หาใช่ว่าเขาเกียจคร้านจริงๆ ไม่
ช่วงเวลาหนึ่งปีที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน เวลาส่วนใหญ่เขาใช้ไปกับการนอน นั่นเพราะเขาต้องการทำความเข้าใจและทำความเคยชินกับร่างนี้
เก้าวันแรกเขาเพียงทำการหลอมรวมในขั้นต้นเท่านั้น หากคิดอยากควบคุมส่วนที่เล็กละเอียดที่สุดเหล่านั้นในร่างกาย เขายังต้องการเวลามากกว่านี้
เขาเองก็มิได้หลอกลวงสือซุ่ย ในเวลาที่นอนหลับนั้น นอกจากหลอมรวมในขั้นแรกแล้ว เขายังครุ่นคิด คาดคะเน คำนวณอะไรหลายอย่างจริงดั่งที่เขาว่า
เขาจำเป็นต้องครุ่นคิดว่าเหตุใดตนเองจึงมาอยู่ที่นี่
เขาจำเป็นต้องคาดคะเนอดีตและอนาคต
เขาจำเป็นต้องคำนวณสถานการณ์และผลดีผลเสีย
กระทั่งทำสองขั้นตอนนี้เสร็จเรียบร้อย เขาจึงกลับมายังสำนักชิงซาน จากนั้นพบว่าตนเองนอกจากรอคอยแล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดให้ทำอีก
นี่คือประสบการณ์ที่เขาไม่เคยมีมาก่อน
“นี่คือความน่าเบื่องั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนนี้ เขาครุ่นคิดอย่างไม่แน่ใจว่า “คนอย่างข้า รู้สึกเบื่อเป็นด้วยงั้นหรือ?”
……………………………………………………………………….
[1] จื่อเซวียน แปลว่า ม่วงดำ