ภาพเทพอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 7 การคัดเลือกของสำนักกระจกทะเลสาบ
เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะลองอีกครั้ง พริบตาเดียวร่างกายจิตใจทักษะสามอย่างรวมเป็นหนึ่ง เมื่อคนเคลื่อนไหวแสงกระบี่ก็บุกทะลวงไปด้านหน้า เห็นแต่เพียงเงาติดตาที่ทิ้งไว้ในลานฝึก พร้อมกับกระบี่ที่น่ากลัววูบวาบไปทั่วจนเห็นแค่เพียงลำแสง
รวดเร็ว! ว่องไว!
นี่คือทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’
ท่าร่างรวดเร็วและยากที่จะคาดเดา! ทักษะกระบี่ว่องไวและพลิ้วไหว!
หลังจากร่ายรำกระบี่ติดต่อกันถึงสิบครั้ง เมิ่งชวนก็หยุด เขายากที่จะระงับความตื่นเต้นนี้ได้ “ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง หนึ่งใบไม้ร่วงหล่นแต่ยาวนานถึงสามฤดูใบไม้ร่วง! ในที่สุดข้าก็เข้าใจได้แล้ว! ข้าทำได้แล้ว!”
“ในที่สุดก็บรรลุขั้นหนึ่งเดียวของทักษะกระบี่ได้เสียที!”
“ข้าเมิ่งชวน มีความหวังที่จะได้กลายเป็นเทพอสูร!”
เมิ่งชวนตื่นเต้นมากจริงๆ
เขาฝึกกระบี่ใบไม้ร่วงตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี
เป็นเวลากว่าสี่ปีแล้ว
ตลอดสี่ปีมานี้เขาไม่เคยหย่อนหยาน และพยายามฝึกหนักอยู่ตลอดเวลา เพราะเขารู้ดีว่า มีหลายคนที่มีพื้นฐานทักษะกระบี่ที่โดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหนก็มีคนเหล่านี้เช่นกัน เมื่อนับรวมทั้งแปดสำนักแล้วผู้ฝึกยุทธ์ที่โดดเด่นก็มีเป็นจำนวนมาก…แต่ทว่าเก้าในสิบส่วนล้วนติดแหง่กอยู่ที่หน้าประตู ‘ขั้นหนึ่งเดียว’ นานมาก สุดท้ายก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ชั่วชีวิตนี้หากขึ้นเป็นระดับไร้ตำหนิก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเมิ่งชวน เขาต้องการจะกลายเป็นเทพอสูร! ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน หรือทรมาณมากเพียงใด แต่เป้าหมายของเขาก็มีแค่หนึ่งเดียว นั่นก็คือ——เทพอสูร!
เขายังจำไม่ลืม ตอนอายุหกขวบเขาถูกมัดไว้บนหลังของท่านพ่อ ขณะที่ท่านพ่อกำลังหลบหนีจากฝูงอสูร ในช่วงวิกฤติ ท่านแม่ตัดสินใจที่จะไม่หนีและพุ่งเข้าไปสังหารเหล่าอสูรพวกนั้น เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้
นี่ก็เพื่อให้เขาหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย!
เมิ่งชวนที่อยู่บนหลังของท่านพ่อ มองเห็นท่านแม่ของตนจมหายไปกับคลื่นอสูร ในตอนนั้นเมิ่งชวนร้องไห้ราวจะขาดใจ ขณะที่บิดาได้แต่หลั่งน้ำตาอย่างเงียบๆและพยายามวิ่งหนีต่อไปโดยไม่หันกลับไปมอง สุดท้าย…เมิ่งชวนจึงรอดมาได้
“การฝึกฝนจำต้องฝึกตั้งแต่เนิ่นๆ ร่างกายมนุษย์นั้น อายุยี่สิบปีคือช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด หลังจากนั้นก็จะค่อยๆถดถอยลงเรื่อยๆ”
เมิ่งชวนคิดในใจว่า “ตอนนี้อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองตงหนิงก็คือ ‘เหมยหยวนจือ’ อายุสิบห้าเข้าใจทักษะลับ อายุยี่สิบเข้าใจ ‘พลังน้ำแข็ง’ ดังนั้นจึงสามารถอาศัยอยู่ในวังหยกสุริยัน และได้ฝึกฝนอยู่ที่นั่นได้”
เหมยหยวนจือ มีพื้นเพมาจากครอบครัวธรรมดาในเมืองตงหนิง มารดาเป็นสาวใช้ ส่วนบิดาก็เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิด
ตอนที่เหมยหยวนจือเข้าใจทักษะลับเมื่ออายุสิบห้าปี ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วสำนัก ทั้งสำนักต่างทุ่มเทอบรมเลี้ยงดูเขา กระทั่งตระกูลเทพอสูรก็ยังอยากยกบุตรหลานที่เป็นผู้หญิงให้กับเขา แต่เหมยหยวนจือทุ่มเทจิตใจไปกับการฝึกฝน จึงไม่ถูกล่อลวงด้วยผลประโยชน์จากตระกูลเทพอสูร…สุดท้าย ในวันที่สิบสองเดือนหนึ่งของปีนี้ เหมยหยวนจือก็เข้าใจ ‘พลังน้ำแข็ง’ อายุเพียงยี่สิบปีแต่กลับตระหนักถึง ‘พลัง’ ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีโอกาสได้เสี่ยงโชคเข้าร่วมสำนักโบราณที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง ‘เขาหยวนชู’
ตามกฏของเขาหยวนชูแล้ว ผู้ที่สามารถเข้าร่วมการทดสอบนั้น ต้องมีอายุไม่เกินยี่สิบปี
“ข้าบรรลุขั้นหนึ่งเดียวแล้ว นี่คือก้าวแรกของข้า ยังมีประตู ‘พลังกระบี่’กับ ‘การควบแน่น’อยู่ มิอาจหย่อนหยานได้” เมิ่งชวนครุ่นคิด เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าในลานฝึกอันเงียบสงบนั้นมีเพียงเขาแค่คนเดียว ต้นไม้ดอกไม้และใบหญ้าเหล่านั้นล้วนเขียวขจี
“ช่างบังเอิญเสียจริง” เมิ่งชวนอุทานออกมา “วันนี้คือวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสอง ข้าสามารถบรรลุขั้นของวิชากระบี่ได้ก่อนวันคัดเลือกภายในสำนักแค่เพียงหนึ่งวัน”
บนโลกนี้ บางครั้งก็ปรากฏเรื่องบังเอิญเช่นนี้
……
วันที่สอง เช้าวันที่อากาศแจ่มใส
เมิ่งชวน หลิ่วชีเยว่นั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ตระกูลเมิ่งพยายามอย่างหนักเพื่ออบรมชนรุ่นหลัง พวกเขาได้เชิญผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิจากข้างนอกมาฝึกฝนลูกหลานของตระกูล ‘เมิ่งต้าเจียง’ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิที่ตระหนักพลังกระบี่ก็เป็นประโยชน์ด้วยเช่นกัน ช่วงนี้เขาอาศัยอยู่ที่เรือนบรรพบุรุษ และคอยอบรมรุ่นเยาว์ในเรือนบรรพบุรุษ ส่วนเมิ่งชวนนั้น…เขามีโอกาสได้รับคำชี้แนะจากบิดามาหลายครั้ง กระบวนท่าของบิดาชุดนั้นเขาคุ้นเคยยิ่งกว่าใคร
ส่วนบิดาของชีเยว่ ‘หลิ่วเย่ป๋าย’ ค่อนข้างลึกลับมาก เวลาส่วนใหญ่เขามักจะออกไปข้างนอก
“อาชวน วันนี้เป็นวันคัดเลือกของสำนักข้า พวกเจ้าก็คัดเลือกวันนี้เหมือนกันหรือเปล่า” หลิ่วชีเยว่ถามอย่างสนใจ “ข้าได้รับเลือกแล้วนะ”
“วันนี้ข้าก็จะคว้าโอกาสนั่นมา” เมิ่งชวนยิ้มน้อยๆ
“มั่นใจขนาดนั้นเชียว?” หลิ่วชีเยว่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ระดับชำระแก่นแท้ยังไม่สมบูรณ์ แต่กลับมั่นใจว่าจะแย่งตำแหน่งสามอันดับแรกของสำนักมาได้?”
“ถ้าหากข้าชนะเจ้าจะทำยังไง” เมิ่งชวนถาม
หลิ่วชีเยว่จ้องมองเมิ่งชวนอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็หัวเราะคิกคัก “ถ้าหากเจ้าชนะ ข้าจะทำอาหารเย็นให้เจ้าทานหนึ่งเดือน แต่ถ้าเจ้าแพ้ หึๆ เจ้าจะต้องยกภาพวาดอาชาให้ข้า! เจ้ากล้าพนันรึไม่?”
เมิ่งชวนหัวเราะ
ทักษะการวาดรูปของเขาเหนือกว่าพวกปรมาจารย์วาดภาพที่เก่งที่สุดในเมืองตงหนิงนานแล้ว แน่นอนอีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะมีปรมาจารย์วาดภาพที่เมืองตงหนิงน้อยด้วย
ภาพวาดอาชา คือผลงานชิ้นเอกของเมิ่งชวนในปัจจุบัน เป็นม้วนภาพวาดยาว โดยมีอาชาหนึ่งร้อยตัวแสดงท่าทางที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งเมิ่งชวนใช้เวลาปีกว่าถึงจะวาดมันสำเร็จ ตอนที่หลิ่วชีเยว่เห็นมันครั้งแรกก็โลภอยากได้ทันที แม้แต่อวิ๋นชิงผิงตอนที่เห็นมันครั้งแรก ก็กล่าวว่ายอมแลกอัญมณีสองชิ้นกับเงินอีกสามพันตำลึง แต่เมิ่งชวนก็ไม่ยอมแลก
“ถ้าข้าแพ้ข้าต้องยกภาพอาชาให้กับเจ้า แต่ถ้าเจ้าแพ้เจ้าจะทำอาหารเย็นให้ข้าแค่หนึ่งเดือน นี่มันไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยเหรอ?” เมิ่งชวนกล่าวอย่างสงสัย
“หนึ่งเดือนนั่นแหละดีแล้ว! เจ้ากล้ารึไม่?” หลิ่วชีเยว่ถลึงตาใส่เมิ่งชวน
“ปกติก็เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะทำอาหารให้ข้าทานสักครั้ง ก็ได้ ข้ารับคำท้า” เมิ่งชวนกัดฟันพูด “ตอนที่แพ้ เจ้าอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
“เชอะ ถ้าหากเจ้าแพ้ เจ้าก็อย่าเสียใจทีหลังเหมือนกันล่ะ!” หลิ่วชีเยว่วางตะเกียบลง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป “ข้าไปสำนักก่อนล่ะ วันนี้เที่ยง เจ้าอย่ากลัวจนไม่กล้ากลับบ้านนะ”
“วางใจเถอะ” เมิ่งชวนทานโจ๊กอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางอารมณ์ดี ในเมื่อชีเยว่ยินดีที่จะทำอาหารเย็นให้เขาทานตั้งเดือนหนึ่ง แล้วเหตุใดเขาต้องปฏิเสธด้วยล่ะ?
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งชวนก็เช็ดมุมปาก จากนั้นก็เดินทางไปยังสำนัก
******
สำนักกระจกทะเลสาบ
หลังจากที่เมิ่งชวนมาถึงสำนัก ก็พบศิษย์ในสำนักพากันมายืนอยู่บริเวณเวทีประลองกันอย่างเนืองแน่น
“ศิษย์พี่เมิ่งต้องชนะแน่นอน”
“ศิษย์พี่เมิ่งจะต้องคว้าตำแหน่งสามอันดับแรกได้”
เหล่าศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงหลายคนต่างก็ตื่นเต้นมาก พวกเขารู้ว่าวันนี้คือการตัดสินการคัดเลือก และทางสำนักก็ตั้งใจให้พวกเขาได้รับชมการต่อสู้ของศิษย์พี่ในตึกขุนเขาธารา เนื่องจากบางครั้งเมิ่งชวนก็ยินดีให้คำแนะนำแก่ศิษย์น้องทุกคน ดังนั้นจึงมีหลายคนที่สนับสนุนเมิ่งชวน
“แม้ข้าอยากจะให้ศิษย์พี่เมิ่งชนะ แต่พูดกันตามตรง ในการแข่งขันระหว่างศิษย์ระดับชำระแก่นแท้สิบอันดับแรกเมื่อคราวที่แล้ว ศิษย์พี่เมิ่งไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ความหวังที่เขาจะติดหนึ่งในสามอันดับแรกนั้นมีไม่มาก”
“ศิษย์พี่ว่านหม่าง ศิษย์ป๋ายก้วน ติดสิบอันดับแรกจากการแข่งขันเมื่อครั้งที่แล้ว อันดับหนึ่งนั้นคงไม่พ้นสองคนนี้ ข้าคิดว่าพวกเขาสองคนคงได้ที่ว่างไปวังหยกสุริยันแล้ว” ศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงหลายคนพากันซุบซิบกันอย่างครื้นเครง มีบางคนสนับสนุนศิษย์พี่ที่ตนชอบกันอย่างตาบอด แต่บางคนก็วิเคราะห์กันอย่างตั้งใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาคิดเห็นตรงกัน——นั่นก็คือคาดหวังกับการประลองที่กำลังจะเริ่ม
รอบๆเวทีประลองในระยะสิบฟุตถูกปิดกั้น ไม่อนุญาตให้พวกลูกศิษย์เข้ามาใกล้ในระยะนี้
เมิ่งชวนยืนรออยู่ก่อนแล้วในขณะที่คนอื่นๆพากันทยอยมาถึง นอกจากนี้ก็มีคำสั่งจากเหล่าอาจารย์ให้ตรวจสอบอาวุธของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเปิดคม
ตอนนี้เอง ชายร่างเล็กที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุราทั้งร่างก็กอดไหสุราเดินเข้ามา
“เจ้าสำนัก”
“เจ้าสำนัก”
ศิษย์ทุกคนพากันคำนับอย่างนอบน้อม แม้แต่เหล่าศิษย์ทั้งยี่สิบสองคนจากตึกขุนเขาธาราก็คำนับอย่างสุภาพ ‘เก๋อหยู่’ คือเจ้าสำนักกระจกทะเลสาบ ชื่อเสียงของเก๋อหยู่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งโลภมากและขี้เมา แล้วยังกระทำเรื่องที่น่าอายอยู่หลายครั้ง
“เอาล่ะ ทุกคนมากันครบแล้วสินะ” แม้เก๋อหยู่จะหน้าแดงก่ำด้วยความเมา และกลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่ว แต่ศิษย์ทุกคนกลับประพฤติตัวอย่างเชื่อฟัง แม้แต่เหล่าอาจารย์ผู้ช่วยสอนก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมา ฉายานักกระบี่อันดับหนึ่งของเมืองตงหนิงนั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่เป็นประสบการณ์จากการฆ่าฟัน
“ศิษย์ระดับก่อกำเนิดทั้งหกคน รีบขึ้นไปเร็วเข้า” เก๋อหยู่ประกาศต่อไปว่า “พวกเขาทั้งหกคนจะเริ่มการประลองก่อน เพื่อคัดเลือกสามอันดับแรก”
“คารวะเจ้าสำนัก”
ตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งโค้งคำนับ “ข้ากับศิษย์พี่จางเพิ่งจะทะลวงระดับก่อกำเนิดมาได้ไม่นาน และยังอยู่ระดับก่อกำเนิดระดับต้น พลังของพวกเรายังตื้นเขินนัก ดังนั้นการประลองในวันนี้จึงขอยอมแพ้”
“คารวะเจ้าสำนัก เมื่อคืนวานข้าได้ท้าประลองไปแล้ว และพ่ายแพ้ถึงสามรอบ” ชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา
“หือ?”
เก๋อหยู่ได้ยินดังนั้นก็พยักหนัก เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของเหล่าลูกศิษย์ดี “ก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งานชุมนุมสังหารอสูรที่วังหยกสุริยันครั้งนี้ ก็ให้อู๋ฉีกับสองพี่น้องตระกูลเว่ยรับหน้าที่ไป”
“ขอรับ” พวกอู๋ฉีทั้งสามคนที่อยู่ระดับก่อกำเนิดต่างกล่าวออกมาอย่างยินดี
อู๋ฉี คือผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดระดับสมบูรณ์
ส่วนพี่น้องตระกูลเว่ย คือผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดระดับปลาย ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นทรงพลังมาก
“ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้จากตึกขุนเขาธาราทั้งสิบหกคน” เก๋อหยู่หันไปมองเมิ่งชวนและคนอื่นๆ “พวกเจ้าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแย่งชิงโอกาสนี้ ข้าจะบอกกฎอีกครั้ง ทุกคนมีโอกาสขึ้นมาบนเวทีได้! พวกเจ้าจะต้องรับคำท้าทายจากศิษย์ระดับเดียวกัน ตราบใดที่สามารถเอาชนะได้ห้ารอบ ก็สามารถคว้าตำแหน่งหนึ่งในนั้นไปครอง อีกอย่าง…ถ้าหากพวกเจ้าพ่ายแพ้ถึงสองครั้ง ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลอง”
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็เริ่มการประลองได้” เก๋อหยู่กล่าวออกมาพร้อมยกไหสุราขึ้นดื่ม
ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ทั้งสิบหกคนพลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ขึ้นไปบนเวที และต้องชนะการประลองติดต่อกันถึงห้ารอบจึงจะคว้าตำแหน่งได้? เช่นนั้น ผู้ที่ขึ้นไปบนเวทีคนแรกก็ซวยที่สุดนะสิ!
การขึ้นไปบนเวทีเป็นคนที่สาม น่าจะได้เปรียบกว่าคนที่ขึ้นไปสองคนแรก
“ใครจะเป็นคนแรก?” ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ส่วนใหญ่ต่างก็หันไปทางชายหนุ่มสองคน หนึ่งในนั้นคือ ‘ว่านหม่าง’ ชายหนุ่มร่างกำยำที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ส่วนอีกคนคือ ‘ป๋ายก้วน’ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ดูเย็นชา ในการแข่งขันระหว่างศิษย์สิบอันดับแรก สองคนนี้มักจะเป็นผู้ตัดสินใจก่อนเสมอ
“เจ้าจะขึ้นไปก่อนหรือไม่?” ว่านหม่างหันไปมองป๋ายก้วนด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“ถ้าเจ้าอยากขึ้นไป เจ้าก็ขึ้นไปสิ” ป๋ายก้วนตอบกลับอย่างเย็นชา
ตอนนั้นเอง——
ก็มีเงาร่างหนึ่งได้ก้าวเท้าออกมา และขึ้นไปบนเวทีเป็นคนแรก ซึ่งคนคนนั้นก็คือเมิ่งชวน
เมิ่งชวนกวาดสายตามองคนที่อยู่เบื้องล่างที่แสดงท่าทีตกตะลึง แล้วกล่าวว่า “อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ข้าคงต้องขอรับไว้”
ตอนที่ 8 ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’
การกระทำของเมิ่งชวนทำให้ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ของตึกขุนเขาธาราพากันตกตะลึง ในตึกขุนเขาธารา เมิ่งชวนไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก อีกทั้งอายุค่อนข้างน้อย แม้ว่าบิดาของเขาจะเป็นถึงว่าที่หัวหน้าตระกูลเมิ่ง แต่เมิ่งชวนก็ไม่เคยทำตัวโอ้อวด ดังนั้นศิษย์ร่วมสำนักจึงมีความประทับใจต่อเมิ่งชวนค่อนข้างดีมาก แต่ครั้งนี้กลับแย่งขึ้นเวทีประลองก่อน แล้วยังกล่าวอีกว่า “อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ข้าคงต้องขอรับไว้”
ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาไม่ใช่รึ
“ศิษย์พี่เมิ่งขึ้นไปบนเวทก่อนงั้นรึ?”
“ทำไมเขาถึงขึ้นไปเป็นคนแรกล่ะ?”
“น่าจะรอให้ผ่านสองคนแรกไปก่อน แล้วค่อยขึ้นอีกทีก็ยังไม่สายนะ” ห่างออกไป เหล่าศิษย์น้องที่อยู่รอบลานประลองพากันซุบซิบอย่างประหลาดใจ
กระทั่งเจ้าสำนักที่กำลังดื่มสุราอยู่ก็ยังประหลาดใจเล็กน้อย เขาเป็นคนโลภและรักสุรา จึงได้ประโยชน์จาก ‘เมิ่งต้าเจียง’ ที่เป็นเถ้าแก่ของภัตตาคารอาหารอันดับหนึ่งแห่งเมืองตงหนิงอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงพลอยเอ็นดูบุตรชายของเมิ่งต้าเจียงไปด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมิ่งชวนไม่เคยอาศัยอำนาจของตระกูลทำเรื่องเลวร้าย และเมิ่งต้าเจียงก็ให้สิทธิประโยชน์กับเขามากมาย
“เร็วเข้า ใครอยากจะประลองกับเมิ่งชวนก็รีบขึ้นมา” เก๋อหยู่กระตุ้น
“ข้าเอง”
ป๋ายก้วนเจ้าของใบหน้าเย็นชาได้ก้าวเท้าออกมาและเดินขึ้นไปบนเวทีประลอง เขามองเมิ่งชวนด้วยแววตาเย็นยะเยือก ก่อนจะหัวเราะเยาะ “เมิ่งชวน เจ้าอยากได้อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ได้ถามข้าก่อนรึยัง”
ในการแข่งขันชิงสิบอันดับแรกระหว่างศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ เขาก็สามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ทุกครั้ง มีแค่ครั้งนี้ที่พ่ายแพ้ให้กับว่านหม่าง
ในหมู่ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ของตึกขุนเขาธารา มีเพียงว่านหม่างผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิดเท่านั้นที่จะทำให้เขาระมัดระวังตัวได้ ส่วนศิษย์คนอื่นๆเขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ตอนที่เมิ่งชวนขึ้นไปเป็นคนแรก เขาก็คิดว่าจะเป็นผู้ชม แต่พอเมิ่งชวนกล่าวว่า ‘อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ข้าคงต้องขอรับไว้’ เขาก็เกิดความรู้สึกอยากจะสั่งสอนเมิ่งชวนขึ้นมา
“เชิญ” เมิ่งชวนตอบกลับ
“ตรงไปตรงมาดีนี่”
ป๋ายก้วนชักกระบี่สองเล่มออกมาจากด้านหลัง กระบี่ยาวคู่นี้ไม่ได้เปิดคม การประลองในหมู่ศิษย์ด้วยกันนั้น พวกเขาจะทำให้อาวุธของตัวเองทื่อ
ป๋ายก้วนถือกระบี่อย่างละข้าง ดวงตาจ้องมองไปที่เมิ่งชวน ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ากับข้าประมือกันมาแล้วเจ็ดครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่เจ้ารับมือข้าได้เกินสิบกระบวนท่า”
“ทักษะกระบี่คู่ของท่านทรงพลังจริงๆ” เมิ่งชวนพยักหน้าชื่นชม
ป๋ายก้วนเก่งกาจมากจริงๆ แม้แต่ว่านหม่างผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิดก็ยังโชคดีเอาชนะเขาได้แค่ครั้งเดียว ซึ่งนั่นเป็นเพราะทักษะกระบี่คู่! เขาคือผู้เชี่ยวชาญกระบี่คู่ที่แท้จริง ซึ่งจำเป็นต้องเคลื่อนไหวทั้งสองอย่างพร้อมกัน กระบี่สองเล่มก็เปรียบเสมือนนักกระบี่สองคนที่ร่วมมือกัน…ต้องต่อสู้กับนักกระบี่แบบนี้ ก็เหมือนเผชิญหน้ากับนักกระบี่คู่ที่เข้าขากันอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเหล่าศิษย์ชำระแก่นแท้ของตึกขุนเขาธาราจึงพ่ายแพ้ให้กับเขา
“การที่เจ้ากล้าขึ้นมาเป็นคนแรก ข้าก็ขอชื่นชมในความกล้า ฉะนั้นข้าจะใช้ท่าไม้ตาย ‘เฉือนใจ’ เพื่อให้เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ทั้งปากและใจ” ป๋ายก้วนผู้หยิ่งผยองได้บอกถึงทักษะที่ตนจะใช้ต่อจากนี้โต้งๆ เพื่อเป็นการสั่งสอนเมิ่งชวน เขาจะใช้ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดกดดันเมิ่งชวน
“แสดงออกมาเลย” เมิ่งชวนไม่รีบร้อน ความเข้าใจต่อทักษะลับของเขาได้ก้าวไปอีกระดับแล้ว ฉะนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบลงมือก่อน ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสแสดงทักษะลับอย่างสมบูรณ์ดีกว่า
ฟ้าว
ป๋ายก้วนลงมือทันที
มือที่ถือกระบี่ทั้งสองข้างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แม้จะมั่นใจแต่เขาก็ยังทุ่มพลังทั้งหมด กระบี่พุ่งตรงไปทางเมิ่งชวน ท่าร่างของเขาดูแปลกมาก เดี๋ยวก็โผล่ไปทางซ้ายทีขวาที ทำให้ยากที่จะระบุตำแหน่งที่แท้จริงของเขาได้
พริบตาเดียว เขาก็ทะยานเข้าไปใกล้เมิ่งชวนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเวที
“ตาย” ป๋ายก้วนแสยะยิ้มให้กับเมิ่งชวน กระบี่คู่ได้แสดงท่าไม้ตาย ‘เฉือนใจ’ ออกมา แม้ว่าคมกระบี่จะทื่อ แต่ด้วยทักษะนี้เมิ่งชวนก็บาดเจ็บได้
ประกายแสงคมกระบี่คู่สว่างวูบ ขณะฟันไปที่ร่างของเมิ่งชวน
“หือ?” ป๋ายก้วนเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะเขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังฟันอากาศอยู่
ตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่ลำคอ
เขารีบหันกลับไปมอง
เป็นเมิ่งชวนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา และถือกระบี่วางไว้ที่คอของป๋ายก้วน
“เป็นไปได้ยังไง ทำไมเจ้าถึงเร็วขนาดนี้?” ป๋ายก้วนยากจะทำใจเชื่อได้ “ทำไมข้าถึงมองไม่ชัด”
เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ศัตรูที่ยืนอยู่ตรงหน้า พริบตาเดียวกลับไปยืนอยู่ด้านหลัง และเอากระบี่จ่อคอเขา
เห็นได้ชัดว่าการฆ่าเขามันง่ายพอๆกับการฆ่าไก่
ตอนแรกเก๋อหยู่ยังกอดไหสุราอย่างสบายอารมณ์ แต่จังหวะที่ยกขึ้นดื่มและมองไปบนเวที เขาก็ต้องตกตะลึงขึ้นมา ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะมองฉากนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ กระทั่งไหสุราในมือก็ยังร่วงลงมากระแทกพื้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ สุราไหลเจิ่งนองไปทั่วพื้น แต่เก๋อหยู่ก็ไม่แม้แต่จะปรายตามองสุราที่หกราดพื้นเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องไปที่เมิ่งชวน
“ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ ข้าเก๋อหยู่อบรมศิษย์แบบนี้ออกมาได้ด้วยรึ?” เก๋อหยู่พึมพำกับตัวเองเบาๆ เขาเป็นเจ้าสำนักมาสิบห้าปี แต่ไม่เคยอบรมอัจฉริยะที่คาดว่าจะเป็นเทพอสูรมาก่อน
เหล่าอาจารย์และผู้ช่วยต่างก็มองหน้ากันอย่างงงๆ พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าเมิ่งชวนใช้ทักษะอะไร และเข้าใจว่านี่หมายความว่าเช่นไร
“เป็นทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ ”
“ทักษะลับกระบี่ใบไม้ร่วง ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’! สำนักกระจกทะเลสาบของข้าปรากฏศิษย์ที่สามารถเข้าใจทักษะลับได้ ปีนี้เมิ่งชวนอายุเพียงสิบห้า แค่สิบห้าปีกลับครอบครองทักษะลับได้แล้ว นี่เป็นเรื่องจริงรึนี่!”
“สำนักกระจกทะเลสาบของเรา ปรากฏศิษย์ที่เข้าใจทักษะลับตั้งแต่อายุสิบห้าปี!”
“สำนักกระจกทะเลสาบของเรา! ฮาฮา…”
เหล่าอาจารย์ที่อุทิศตนเพื่อสำนักมาชั่วชีวิตพากันตื่นเต้นขึ้นมา นี่คือช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของพวกเขา ทั้งสำนักได้อบรมสั่งสอนศิษย์มามากมาย เป้าหมายก็เพื่อเลี้ยงดูอัจฉริยะที่สามารถกลายเป็นเทพอสูรได้ในอนาคต
บัดนี้ สำนักกระจกทะเลสาบได้ปรากฏอัจฉริยะเช่นนั้นขึ้นมาแล้ว แบบนี้จะไม่ให้เหล่าอาจารย์ตื่นเต้นได้อย่างไร? จะไม่ให้พวกเขาคลุ้มคลั่งได้อย่างไร?
ถ้าหากบอกว่าเหล่าอาจารย์พากันตื่นเต้น เช่นนั้นพวกลูกศิษย์นับพันที่มองดูฉากนี้ก็น่าจะเข้าขั้นบ้าคลั่งขึ้นมา
“สวรรค์!”
“ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?”
“นี่คือ…”
“ข้าเห็นศิษย์พี่เมิ่งสองคน คนหนึ่งอยู่ด้านหน้าศิษย์พี่ป๋าย อีกคนอยู่ด้านหลังศิษย์พี่ป๋าย?”
“ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ นี่ต้องเป็นทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ ของกระบี่ใบไม้ร่วงแน่ๆ! เจ้าสำนักเคยบรรยายให้พวกเราฟังมาแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’!”
เสียงพูดคุยพลันดังกระหึ่มขึ้นมา แม้แต่ศิษย์จากตึกขุนเขาธาราก็ตะลึงงันเช่นกัน
วินาทีนั้น ตั้งแต่เจ้าสำนัก ไปจนถึงเหล่าศิษย์สามัญต่างก็พากันพูดคุยอย่างตื่นเต้น ทุกคนล้วนก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าการที่เด็กอายุสิบห้าสามารถใช้ทักษะลับได้นั้นมันหมายความว่าอะไร!
“ฟิ้ว” ในบรรดาศิษย์มากมายที่รายล้อมรอบเวทีนั้น จู่ๆก็มีศิษย์คนหนึ่งวิ่งออกจากสำนัก
“เร็วเข้า รีบกลับไปที่เรือนบรรพบุรุษ ไปรายงานให้คนในตระกูลทราบ”
“เร็ว รีบกลับไปรายงาน!”
ศิษย์ในสำนักกระจกทะเลสาบบางส่วนก็มาจากตระกูลเมิ่ง เมื่อมีศิษย์จากตระกูลเมิ่งคนแรกที่วิ่งออกไป ก็มีคนที่สองและสามตามมา พวกเขามุ่งหน้าไปยังตระกูลของตัวเอง พวกเขาอยากจะนำข่าวดีนี้ไปแจ้งให้คนในตระกูลทราบ! ด้านหนึ่งคือพวกเขาอยากมีส่วนร่วมกับเรื่องที่น่ายินดี อีกด้านคือเมื่อพวกเขากลับไปรายงานข่าวนี้กับตระกูล ทางตระกูลอาจจะตบรางวัลให้กับพวกเขา
รายงานข่าวดี จึงได้รางวัล นี่ไม่ใช่เรื่องสมควรหรอกเหรอ โดยเฉพาะข่าวดีเทียมฟ้าเช่นนี้
ฟิ้วววว….ศิษย์ตระกูลเมิ่งแต่คนต่างก็ใช้ทักษะตัวเบาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’?” ป๋ายก้วนบนเวทีที่มองเห็นทักษะไม่ชัด เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยจากผู้คนรอบๆเวที จึงเพิ่งนึกได้ว่าเมิ่งชวนใช้ทักษะอะไร เขาเข้าใจแล้วว่าทักษะที่อีกฝ่ายใช้ก็คือกระบี่ใบไม้ร่วง
“เจ้าเข้าใจทักษะลับแล้วรึ?”
ป๋ายก้วนแสดงสายตาที่ซับซ้อนขณะมองไปทางเมิ่งชวน
“หลังจากติดคอขวดมาสองปี ในที่สุดข้าก็บรรลุแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า
ป๋ายก้วนทั้งอิจฉาทั้งริษยา ตัวเขาเองไม่ใช่ว่าติดคอขวดเช่นกันหรือ? เขาสามารถใช้กระบี่คู่พร้อมกันได้ ทำให้พลังรบของเขาเหนือกว่าศิษย์รุ่นเดียวกันหลายขุม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงติดอยู่คอขวด เขาปรารถนาที่จะเข้าใจทักษะลับยิ่งกว่าใคร
“มิน่าล่ะเจ้าถึงขึ้นมาเป็นคนแรก เเบบนี้นี่เอง เจ้าในตอนนี้กับพวกข้าทุกคนล้วนคนละชั้น” ป๋ายก้วนกล่าวเสียดสี ก่อนจะเดินลงมาจากเวที
แต่วินาทีนี้ไม่มีใครสนใจป๋ายก้วน
สายตาของทุกคนยังจ้องมองไปที่เมิ่งชวนเด็กหนุ่มวัย ‘สิบห้าปี’ บรรดาศิษย์จากตึกขุนเขาธาราแสดงสีหน้าตกใจและอิจฉาออกมา แม้แต่ศิษย์ระดับก่อกำเนิดทั้งหกคนก็ยังรู้สึกอิจฉาไม่แพ้กัน เพราะว่าพวกเขายังตระหนักรู้ทักษะลับไม่ได้! อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดส่วนใหญ่ต่างก็ไม่สามารถเข้าใจทักษะลับได้ ชั่วชีวิตจึงติดอยู่ระดับนี้ตลอดกาล
หากเข้าใจทักษะลับ ก็สามารถก้าวเข้าสู่ระดับไร้ตำหนิได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เจ้าสำนักเก๋อหยู่ที่ตัวเปื้อนสุราเล็กน้อยพลันหัวเราะออกมาเสียดัง “นี่คือทักษะกระบี่ใบไม้ร่วงที่ข้าสอนเจ้าไปจริงๆ อู๋ฉี!”
อู๋ฉีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างนอบน้อม “ศิษย์อยู่นี่!”
ในบรรดาศิษย์ระดับก่อกำเนิดทั้งหกคนเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ปีนี้เขาอายุสิบเก้าแล้ว ระดับการบ่มเพาะก็อยู่ที่ระดับก่อกำเนิดสมบูรณ์
“เจ้าขึ้นไปประลองกับเมิ่งชวนซะ!” ดวงตาของเก๋อหยู่เป็นประกาย ขณะออกคำสั่งกับอู๋ฉี
“ให้ข้าประลองกับอู๋ฉี?” เมิ่งชวนที่อยู่บนเวทีก็หันหน้ากลับมามอง อู๋ฉีคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ เป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักกระจกทะเลสาบ และยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักอีกด้วย