ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - ตอนที่ 389 เสียวหยูเชี้ยนที่ตื่นตกใจกลัว
ในโลกออนไลน์มันมีข่าวเกี่ยวกับผานหวังจำนวนไม่มากนัก ฉินเฉิงสามารถควบคุมข้อมูลพวกนี้ได้ มันยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ
แต่ด้วยสัญญาณต่างๆ ผานหวังคนนี้น่าจะเป็นเหมือนกับฉินเฉิง ผู้เป็นอมตะ
แล้วสถานที่เค้าอาศัยอยู่นั้น มันก็มีพลังหยินอยู่อย่างเหลือเฟือ
สิ่งนี้เอง มันก็ทำให้ฉินเฉิงตั้งตารอที่จะได้เจอผานหวัง
…
ที่คฤหาสน์ตระกูลจู้ ช่วงไม่กี่วันมานี้ เถิงอาวก็ไม่ได้ออกไปจากที่นี่เลย
เค้าชอบจู้เหยามาหลายปีแล้ว แต่จู้เหยาก็ไม่เคยมองเค้าเลย แม้ว่า เถิงอาวจะเป็นที่หนึ่งในเหยียนเซี่ยก็ตาม
“คุณหนูจู้ สมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองจิงตูจะจัดการประมูลในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะไปเป็นเพื่อนเธอเอง” เถิงอาวพูดขึ้นมาอย่างประจบสอพลอ
จู้เหยาส่ายหัวเบาๆแล้วพูดว่า: “นายควรจะไปกับคู่มั่นของนายนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เถิงอาวก็ดีใจมาก เค้าลุกยืนขึ้นในทันทีแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “คุณหนูจู้ ถ้าคุณไม่ต้องการให้ผมแต่งงานกับเธอ ฉันจะไปถอนหมั่นกับเธอ!”
จู้เหยายิ้มเล็กน้อย: “อย่าเข้าใจผิดสิ จะแต่งงานหรือไม่แต่งงานนี่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
ในตอนนี้เอง คนรับใช้ของจู้เหยาที่อยู่ด้านนอกก็วิ่งเข้ามา
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเค้าถูกทุบตี มันทำให้เค้าดูน่าเกลียดมาก ดังนั้นเค้าจึงสวมใส่ผ้าคลุมเหมือนกับจู้เหยา
“คุณหนู ผานหวังมาถึงที่เมืองจิงตูแล้วครับ” คนใช้ก้มหัวลงแล้วพูด
จู้เหยาเหลือบมองเค้า เธอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า: “มู่หลาน ใบหน้าของเธอ… นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
มู่หลานก้มหน้าลงแล้วพูดขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า: “ฉัน… ฉันไม่ทันระวังแล้วหกล้ม”
จากนั้นจู้เหยาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า: “ผานหวังลงมือกับฉินเฉิงแล้วยัง?”
“ยังเลย ได้ยินมาว่าน่าจะในช่วงสองสามวันนี้แหละ” มู่หลานรีบพูดขึ้นมา
“เอาล่ะ จับตาดูต่อไป หากมีข่าวอะไรใหม่ก็รีบมาบอกฉัน” จูเหยากล่าว
เถิงอาวที่อยู่ด้านข้างก็พูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยว่า: “คุณหนูจู้ ดูเหมือนว่าเธอจะกังวลเรื่องนี้มากไปนะ”
จู้เหยายิ้มแล้วพูดว่า: “ใช่สิ ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ฉินเฉิงเป็นพรสวรรค์ที่หายากมาก ส่วนผานหวังก็เป็นแค่จอมยุทธ์คนหนึ่งที่แตกต่างออกไป ฉันเองก็ตั้งตารอการปะทะกันของพวกเค้า”
“พรสวรรค์? เค้ามีพรสวรรค์แบบไหนกัน?” เถิงอาวหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม ลูกศิษย์อันดับหนึ่งของเหยียนเซี่ยก็ยังไม่อยู่ในสายตาของจู้เหยาเลย ทำไมถึงต้องเป็นฉินเฉิงด้วย?
จู้เหยายิ้มโดยไม่พูดอะไร เธอลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องไป
เถิงอาวกำหมัดแน่น ใบหน้าของเค้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ใครใช้ให้แกปิดหน้า?” ในตอนนี้เอง เถิงอาวก็มองไปที่มู่หลานด้วยสีหน้าที่เย็นชา
มู่หลานผงะแล้วรีบอธิบาย: “คุณชายเถิง ฉัน…”
“ฉันอะไรของแก?” เถิงอาวเตะเข้าไปที่ท้องของมู่หลานในทันที “ใครใช้ให้แกทำตัวเหมือนคุณจู้ รนหาที่ตาย!”
เถิงอาวกระชากผ้าคลุมของมู่หลานออกแล้วพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “ทำไมแกถึงสนใจรูปลักษณ์ของแกขนาดนี้ “ไม่…ไม่ ไม่เอา คุณชายเถิง!” มู่หลานร้อนใจขึ้นมาในทันที เธองอตัวแล้วถอยหลังออกไป แต่มันก็ไม่สามารถหยุดฝีเท้าของเถิงอาวได้เลย
“โอ้ยย!!!”
จากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องที่ดังสนั่นไปทั่ว
…
“ฉินเฉิง หัวหน้าสำนัก สำนักเทียนหยวน แกเอามันมาให้ฉันแล้วยัง?” หยานหยุนพูดพร้อมกับมองไปที่ฉินเฉิงอย่างเย็นชา
“รีบร้อนอะไรกัน” ฉินเฉิงยืดเอว “ในตอนนี้เจ้าสำนักเทียนหยวนเค้ากำลังเก็บตัวอยู่
“หึหึ เมื่อเค้าออกมา ฉันกลัวว่ามันจะเข้าสู่ของเขตของจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นแกก็จะไม่มีทางเอาชนะเค้าได้เลย” หยานหยุนเยาะเย้ย
ฉินเฉิงพายมือแล้วพูดว่า: “ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็คิดว่าฉันจะไม่สามารถเอาชนะซูหยู่ได้ ผลเป็นยังไงหละ?”
หยานหยุนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า: “นี่มันไม่เหมือนกัน! ฉันรู้ความแข็งแกร่งของแกเป็นอย่างดี แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองข้างสถานนะของจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่!”
“เกรงว่าแม้แต่ผานหวังนี่ ฉันไม่คิดว่าเค้าจะเอาชนะแกได้” หยานหยุนพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา
ฉินเฉิงเลิกคิ้วแล้วพูดว่า: “นายมั่นใจในตัวฉันเหรอ?”
“ร่างจินซวนนั้นไม่มีใครในระดับเดียวกันที่สามารถสู้ได้” หยานหยุนสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า: “แกเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่มันคืออะไร”
ฉินเฉิงหาวแล้วพูดว่า: “เอาหละ ฉันรู้แล้ว ฉันง่วงนิดหน่อย ฉันไปนอนหละ”
หยานหยุนก็มองไปที่ด้านหลังของฉินเฉิง นี่มันก็ดูไม่ออกเลยว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่
…
เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีเสียงโห่ร้องที่ดังก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้า
คิดไม่ถึงเลยว่าเสียงตะโกนดังๆนี้ไม่ได้เป้นเสียงของผานหวัง แต่เป็นเสียงของฉินเฉิง
ที่ทางเข้าเสิ่นหยุนวิลล่า ชายหนุ่มรูปร่างผอมก็กำลังยืนอยู่
“ผานหวัง แกไม่ได้จะฆ่าฉันเหรอ! ทำไมยังไม่ลงมืออีก!” ฉินเฉิงยืนอยูท่ที่ทางเข้าของเสิ่นหยุนวิลล่า จากนั้นเค้าก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
ที่ด้านในของวิลล่า ซูฉีไห่ เสียวหยูเชี้ยนกับคนอื่นๆ ต่างก็พากันลุกขึ้นแล้วมองออกมาที่ด้านนอกหน้าต่าง
ส่วนซูหยู่ที่อยู่ในห้องผู้ป่วยก็พยายามประคองตัวเองให้ลุกยืนขึ้นมา
เค้ามองไปที่ฉินเฉิงผ่านทางหน้าต่าง เค้ากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนี้เอง เสียงแหบแปลกๆก็ดังขึ้นมาในใจของเค้า: “อย่าโกรธเลย…เมื่อถึงวันที่เธอร่วมมือกับฉัน มันจะกลายเป็นวันตายของฉินเฉิง!”
ซูหยู่สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “ยังต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกัน?”
“ไม่เกินสิบวัน…” เสียงนั้นดังขึ้นมาอย่างช้าๆแล้วมันก็เงียบหายไป
ในห้องนั่งเล่น ผานหวังก็เดินลงมาจากชั้นบนด้วยสีหน้าที่เย็นชา
“ฉินเฉิงนี่ มันจองหองมากจริงๆ! มันกล้าบุกมาถึงที่นี่เลย!” ผานหวังพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ
เสียวหยูเชี้ยนก็รีบพูดขึ้นมาว่า: “ใช่ ฉินเฉิงคนนี้มันจองหองมาก มันไม่มองใครอยู่ในสายตาของมันเลย!”
ผานหวังถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า: “ความเย่อหยิ่งของมันจะทำให้มันชิบหาย!”
หลังจากพูดจบ ผานหวังก็เดินออกไป
“แกคือผานหวังเหรอ?” ฉินเฉิงถามอย่างเย็นชา เค้าจ้องมองไปที่ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าของเค้า
ผานหวังหรี่ตาลงแล้วพูดว่า: “แกฆ่าลูกศิษย์ของฉันอย่างงั้นเหรอ?”
ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า: “โจวติ่งมันก็แค่พวกอ่อน ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าอาจารย์ของมันจะแข็งแกร่งซะแค่ไหนกัน”
ผานหวังหัวเราะแล้วพูดว่า: “ช่างเป็นเด็กที่ปากดีซะจริง! ฉันยังไม่ทันได้ไปหาแกเพื่อคิดบัญชีแค้นเลย แกก็มาหาฉันเองถึงที่!”
ในตอนที่พูดนี้เอง พลังแห่งการกดขี่ข่มเหงก็ระเบิดออกมา!
ฉินเฉิงหรี่ตาลงแล้วพูดขึ้นมาเบาๆว่า: “เป็นไปอย่างที่ฉันคิดเอาไว้เลย ผานหวังคนนี้เป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง…”
“ที่นี่คือเสิ่นหยุนวิลล่า มันไม่เหมาะซะเท่าไหร่ที่จะลงมือ หรือว่าแกกับฉันจะเปลี่ยนสถานที่กันดีไหม?” ฉินเฉิงยิ้ม
ผานหวังหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า: “ฉันเองก็คิดแบบนั้น!”
“อีกสามชั่วโมง เจออันที่ภูเขาฉี” ทันทีที่ฉินเฉิงพูดจบ ร่างของเค้าก็หายไปในทันที
หลังจากที่ผานหวังตะโกนออกมา เค้าก็รีบตามไปในทันที
“ไป ไปภูเขาฉี!” เสียวหยูเชี้ยนรีบบอกคนขับรถ
…
ที่คฤหาสน์ตระกูลจู้ มู่หลานก็ก้มหัวลงแล้วยืนอยู่ตรงหน้าของจู้เหยา
“คุณหนูจู้ วันนี้ฉินเฉิงไปที่วิลล่าเสิ่นหยุน เค้าไปนัดคิดบัญชีกับผานหวัง” มู่หลานก้มหน้าลงเพราะกลัวว่าจู้เหยาจะมองเห็นใบหน้าที่น่าเกลียดของเค้า
แต่การจ้องมองของจู้เหยาก็ไม่ได้มองไปที่เค้าเลย เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “สุดท้ายก็เป็นฉินเฉิงที่เป็นคนเริ่มไปยั่วโมโหผานหวังอย่างงั้นเหรอ?”
“หึหึ เค้าเป็นคนร้ายจริงๆ ทะเยอทะยานมาก ช่างไม่รู้เลยว่าท้องฟ้ามันสูงแค่ไหนกัน” เถิงอาวพูดจากเยาะเย้ยขึ้นมา