ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - ตอนที่ 317 เจอกับเสียวหยู่เชี้ยน
เขาไม่ทันรอให้ฉินเฉิงพูดอะไร เขาวางสายไปทันที
ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจว่า “เป็นไง? ฉันได้หลอกนายไหม?”
ฉินเฉิงอดไม่ได้ที่จะเขินออกมา เขาแอบคิดในใจว่า “ฟางจิ้งเหยาคนนี้หมายความว่ายังไง? จงใจที่ให้ลูกสาวของตนเองมาที่นี่ เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“นี่! นายกำลังคิดอะไรอยู่!” ฟางเสี่ยวเต๋อเคาะหัวของฉินเฉิง “เมื่อกี้ที่นายเพิ่งจะรับปากฉันไว้ ถือว่ามีผลไหม?”
“ก็ได้ๆ” ฉินเฉิงพยักหน้า “ฉันไม่เคยผิดคำพูดอยู่แล้ว ไหนบอกว่า ว่าเธออยากให้ฉันทำอะไร”
ฟางเสี่ยวเต๋อกระพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้โกง นายต้องสาบาน ได้ยินมาว่าการสาบานกับพวกนักต่อสู้อย่างพวกนายมันมีประโยชน์มากเลยใช่ไหม”
เมื่อได้ยินคำว่า “สาบาน” สีหน้าของฉินเฉิงก็เปลี่ยนไปทันที
การสาบานสำหรับคนธรรมดาหรือนักต่อสู้ธรรมดานั้นมีผลเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับคนที่มีพรสวรรค์อย่างฉินเฉิง มันมีผลกับเขามากจริงๆ
เมื่อคำสาบานถูกละเมิด เขาจะถูกผู้มีอำนาจจากฟ้ามายึดพลังทั้งหมดของเขากลับคืนไปรวมถึงชีวิตของเขาด้วย
ฉินเฉิงไม่พูดอะไร ฟางเสี่ยวเต๋อจึงพูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ดูท่าแล้วน่าจะจริง รีบสาบานเร็ว!”
“ได้” ฉินเฉิงพยักหน้า “สาบานยังไง?”
ฟางเสี่ยวเต๋อคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกระแอมออกมาและพูดว่า “ฉันฉินเฉิง ขอสาบานกับฟ้า ฉันจะทำตามที่ฟางเสี่ยวเต๋อขอร้อง 1 อย่าง ถ้าหากทำไม่ได้ ขอให้ฟ้าผ่าตาย!”
“เธอนี่มันพิษร้ายจริงๆ” ฉินเฉิงขมวดคิ้วและพูดออกมา
“อย่าพูดมาก รีบสาบานเร็ว!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมา
ฉินเฉิงก็ไม่คิดอะไรมาก ฟางเสี่ยวเต๋อยังเป็นแค่เด็ก เธอจะมาขอร้อนอะไรเขาได้มากมาย?
ดังนั้นจึงสาบานตามที่ฟางเสี่ยวเต๋อขอเอาไว้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการสาบานเพียงครั้งเดียวจะทำให้ให้เป็นการขุดหลุมฟังตัวเอง และก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แก้ไขไม่ได้ แน่นอนมันคือหลังจากนี้
หลังจากนั้นฉินเฉิงก็พาฟางเสี่ยวเต๋อไปทานหม้อไฟแล้วพาเธอส่งกลับบ้าน
“ถ้าหากนายจะไปจิงตูเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมารับฉันนะ” ก่อนที่ฉินเฉิงจะกลับ ฟางเสี่ยวเต๋อก็บอกกับเขาไว้
ฉินเฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ได้”
เวลาที่แน่นอนว่าเมื่อไหร่จะไปจิงตูนั้นฉินเฉิงเองก็ยังไม่รู้ เขาต้องรอประกาศจากสมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตู
แต่ตอนนี้ฉินเฉิงก็ยังไม่พบวิธีการฝึกของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะพักผ่อนสักสองสามวัน
สองสามวันที่ผ่านมานี้ จู่ๆฉินเฉิงก็คิดขึ้นมาได้ว่า “ที่ฟางจิ้งเหยาถูกพักงานมันก็เนื่องมาจากอำนาจของตระกูลซู”
และหลังจากที่ฉินเฉิงตกลงที่จะช่วยผู้บัญชาการกั๋วฟางจิ้งเหยาก็กลับมาทำงานได้อีกครั้ง
นี่ก็แสดงว่าอำนาจของตระกูลซูกับทางสำนักงานความมั่นคงมันไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่คิดเอาไว้
“บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ
ในช่วงต้นเดินของเดือนกุมภาพันธ์ ในที่สุดก็มีจดหมายเชิญมาจากสมาคมศิลปะการต่อสู้
จดหมายเชิญทั้งหมดเป็นธีมสีดำ และตัวอักษรสีทองสามตัวที่อยู่บนนั้นก็พร่างพรายอย่างยิ่ง
และที่มุมล่างซ้ายของจดหมายเชิญจะมีตราประทับอย่างเป็นทางการซึ่งระบุถึงความถูกต้องของจดหมายเชิญ
เหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ แต่ก่อนถึงเวลาจะต้องไปกรอกคุณสมบัติที่สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูก่อน จากนั้นข้อมูลอื่นๆจะตามมาอีกที
และตอนนี้อยู่ที่เมืองเจียงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นฉินเฉิงจึงถือจดหมายพร้อมกับออกเดินทางไปที่จิงตูในวันนั้นทันที
ในระหว่างทางที่จะไปสนามบิน สีหน้าของฟางเสี่ยวเต๋อก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“อ่า ฉันไม่ได้ไปจิงตูมาตั้งนานแล้ว” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมา “ครั้งล่าสุดก็ตั้งหลายปีที่นานมาโน้น”
ฉินเฉิงไม่ได้พูดอะไร เขาหลับตา ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ในตอนนั้นฟางเสี่ยวเต๋อก็เอาหน้ามาข้างๆฉินเฉิงและพูดออกมาว่า “ฉินเฉิง นายไม่ใช่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่หรือไง ทำไมนายถึงไม่บินไปเอง?”
ฉินเฉิงตอบออกมาว่า “ใครบอกเธอว่าปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่บินได้?”
“ฉันเห็นตอนที่นายต่อสู้สามารถกระโดดไปบนฟ้าได้ตามที่ใจต้องการ ไม่ใช่หรือไง?” ดวงตาของฟางเสี่ยวเต๋อเบิกกว้าง เธอถามออกมาด้วยความสงสัย
ฉินเฉิงกลอกตาแล้วพูดว่า “เอาหละ เลิกพูดถึงมันได้แล้ว เมื่อวานฉันนอนไม่ค่อยหลับ ขอนอนพักสักหน่อย ถึงแล้วบอกฉันด้วยนะ”
ฟางเสี่ยวเต๋อพ่นลมหายใจออกมา “นายนี่มันน่าเบื่อจริงๆ!”
จากเมืองเจียงไปถึงจิงตูมันไม่ได้ไหล ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษๆ
หลังจากที่เครื่องลงจอดที่จิงตู ฟางเสี่ยวเต๋อก็ดูมีความสุขขึ้นมาทันที เธอพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “จิงตูนี่ใหญ่จริงๆ ห้างสรรพสินค้าจะต้องใหญ่มากแน่ๆ! ฉินเฉิง ถ้าว่างนายผ้าฉันไปเดินเล่นหน่อยนะ!”
“ฉันมีธุระ” ฉินเฉิงตอบ
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออกไป
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่สนามบินจิงตู” ฉินเฉิงพูด “ฉันให้เธอหาห้องพักให้ เธอหาหรือยัง?”
“เรื่องที่พี่ฉินเฉิงสั่งทั้งที ฉันจะกล้าชักช้าได้อย่างไร” หยูเหม่ยเหรินยิ้มและพูดออกมา “รอฉันที่สนามบินก่อน อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว”
หลังจากที่วางสายโทรศัพท์ลง ฉินเฉิงกับฟางเสี่ยวเต๋อก็ยืนรออยู่ด้านใน
“นายโทรหาใคร? ฉันได้ยินเหมือนเสียงผู้หญิงเลย? นายรู้จักผู้หญิงที่อยู่จิงตูด้วยเหรอ?” ฟางเสี่ยวเต๋อถามออกมาด้วยความสงสัย
ฉินเฉิงหันไปมองเธอแล้วพูดว่า “เธอยืนเงียบๆ ทำตัวนิ่งๆจะดีกว่า”
“หึ!” ฟางเสี่ยวเต๋อไม่พอใจและกระทืบเท้าออกมา “ถ้าหากนายทำอะไรไม่ดีหละก็ ฉันจะเอาไปฟ้องพี่วานเอ๋อ!”
ฉินเฉิงไม่ได้สนใจเธอ เขายืนอยู่ข้างถนนตรงสนามบิน และค่อยๆรับและสัมผัสกับพลังวิญญาณที่อยู่รอบๆ
หลังจากที่ผ่านไปแล้ว 1 ชั่วโมง หยูเหม่ยเหรินก็ยังไม่ปรากฎตัว
ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “ทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้? เธอจะมาหรือเปล่า หรือเธอจะหลอกพวกเรากันแน่!”
ฉินเฉิงชินกับนิสัยแบบนี้ของเธอแล้วดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
สุดท้ายหยูเหม่ยเหรินก็เดินสวมรองเท้าส้นสูงเดินมาไกลๆ
ในขณะเดียวกันก็มีรถหรูขับเข้ามาอย่างช้าๆ จากไม่ไกล
รถจอดอยู่ที่ประตูทางออกราวกับว่ากำลังรอใครอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉันเห็นผู้หญิงที่ดูดีคนหนึ่งเดินออกจากสนามบินพร้อมกับแว่นกันแดด ท่ามกลางกลุ่มคน
“คุณผู้หญิง เหมือนว่าฉันจะเห็นฉินเฉิงเลย” ผู้พิทักษ์คนหนึ่งพูดออกมาข้างหูของเสียวหยู่เชี้ยน
เสียวหยู่เชี้ยนขมวดคิ้วแล้วถามออกมาว่า “ที่ไหน?”
“อยู่ตรงนั้น” ผู้พิทักษ์ชี้ไปทางที่ฉินเฉิงยืนอยู่
เสียวหยู่เชี้ยนหรี่ตาลง จากนั้นก็เดินไปทางที่ฉินเฉิงอยู่
ในตอนนั้นฉินเฉิงกำลังกล่าวคำทักทายกับหยูเหม่ยเหริน ในตอนที่หยูเหม่ยเหรินเห็นเสียวหยู่เชี้ยน ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอก็น่าเกลียดขึ้นมาทันที
ไม่นานเสียวหยู่เชี้ยนก็เดินมาอยู่ตรงหน้าของฉินเฉิง
เธอมองมาที่ฉินเฉิงและพูดออกมาว่า “นายคือฉินเฉิงใช่ไหม?”
“คุณเป็นใคร?” ฉินเฉิงขมวดคิ้วและถามออกไป
หยูเหม่ยเหรินรีบขยับมาด้านข้างและพูดว่า “ท่านนี้คือคุณผู้หญิงเสียวหยู่เชี้ยน แม่ของซูหยู่ และเป็นภรรยาของซูฉีไห่”
สีหน้าของฉินเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ
คนของตระกูลซู!
“ใครใช้ให้เธอพูด?” เสียวหยู่เชี้ยนเหลือบตามามองที่หยูเหม่ยเหริน จากนั้นก็สั่งออกมาว่า “ไปตบปากมัน”
“ครับ” ลูกน้องของเสียวหยู่เชี้ยนเดินออกมาด้านหน้าทันที
ฉินเฉิงขมวดคิ้ว เขาเอาตัวออกมาบังหยูเหม่ยเหรินโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนั้นหยูเหม่ยเหรินกับจับไปที่แขนของหยูเหม่ยเหรินอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช้ตาของเธอเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินเฉิงไม่แสดงท่าทีที่หุนหันพลันแล่น
เขาไม่ทันรอให้ฉินเฉิงพูดอะไร เขาวางสายไปทันที
ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจว่า “เป็นไง? ฉันได้หลอกนายไหม?”
ฉินเฉิงอดไม่ได้ที่จะเขินออกมา เขาแอบคิดในใจว่า “ฟางจิ้งเหยาคนนี้หมายความว่ายังไง? จงใจที่ให้ลูกสาวของตนเองมาที่นี่ เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“นี่! นายกำลังคิดอะไรอยู่!” ฟางเสี่ยวเต๋อเคาะหัวของฉินเฉิง “เมื่อกี้ที่นายเพิ่งจะรับปากฉันไว้ ถือว่ามีผลไหม?”
“ก็ได้ๆ” ฉินเฉิงพยักหน้า “ฉันไม่เคยผิดคำพูดอยู่แล้ว ไหนบอกว่า ว่าเธออยากให้ฉันทำอะไร”
ฟางเสี่ยวเต๋อกระพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้โกง นายต้องสาบาน ได้ยินมาว่าการสาบานกับพวกนักต่อสู้อย่างพวกนายมันมีประโยชน์มากเลยใช่ไหม”
เมื่อได้ยินคำว่า “สาบาน” สีหน้าของฉินเฉิงก็เปลี่ยนไปทันที
การสาบานสำหรับคนธรรมดาหรือนักต่อสู้ธรรมดานั้นมีผลเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับคนที่มีพรสวรรค์อย่างฉินเฉิง มันมีผลกับเขามากจริงๆ
เมื่อคำสาบานถูกละเมิด เขาจะถูกผู้มีอำนาจจากฟ้ามายึดพลังทั้งหมดของเขากลับคืนไปรวมถึงชีวิตของเขาด้วย
ฉินเฉิงไม่พูดอะไร ฟางเสี่ยวเต๋อจึงพูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ดูท่าแล้วน่าจะจริง รีบสาบานเร็ว!”
“ได้” ฉินเฉิงพยักหน้า “สาบานยังไง?”
ฟางเสี่ยวเต๋อคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกระแอมออกมาและพูดว่า “ฉันฉินเฉิง ขอสาบานกับฟ้า ฉันจะทำตามที่ฟางเสี่ยวเต๋อขอร้อง 1 อย่าง ถ้าหากทำไม่ได้ ขอให้ฟ้าผ่าตาย!”
“เธอนี่มันพิษร้ายจริงๆ” ฉินเฉิงขมวดคิ้วและพูดออกมา
“อย่าพูดมาก รีบสาบานเร็ว!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมา
ฉินเฉิงก็ไม่คิดอะไรมาก ฟางเสี่ยวเต๋อยังเป็นแค่เด็ก เธอจะมาขอร้อนอะไรเขาได้มากมาย?
ดังนั้นจึงสาบานตามที่ฟางเสี่ยวเต๋อขอเอาไว้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการสาบานเพียงครั้งเดียวจะทำให้ให้เป็นการขุดหลุมฟังตัวเอง และก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แก้ไขไม่ได้ แน่นอนมันคือหลังจากนี้
หลังจากนั้นฉินเฉิงก็พาฟางเสี่ยวเต๋อไปทานหม้อไฟแล้วพาเธอส่งกลับบ้าน
“ถ้าหากนายจะไปจิงตูเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมารับฉันนะ” ก่อนที่ฉินเฉิงจะกลับ ฟางเสี่ยวเต๋อก็บอกกับเขาไว้
ฉินเฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ได้”
เวลาที่แน่นอนว่าเมื่อไหร่จะไปจิงตูนั้นฉินเฉิงเองก็ยังไม่รู้ เขาต้องรอประกาศจากสมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตู
แต่ตอนนี้ฉินเฉิงก็ยังไม่พบวิธีการฝึกของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะพักผ่อนสักสองสามวัน
สองสามวันที่ผ่านมานี้ จู่ๆฉินเฉิงก็คิดขึ้นมาได้ว่า “ที่ฟางจิ้งเหยาถูกพักงานมันก็เนื่องมาจากอำนาจของตระกูลซู”
และหลังจากที่ฉินเฉิงตกลงที่จะช่วยผู้บัญชาการกั๋วฟางจิ้งเหยาก็กลับมาทำงานได้อีกครั้ง
นี่ก็แสดงว่าอำนาจของตระกูลซูกับทางสำนักงานความมั่นคงมันไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่คิดเอาไว้
“บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ
ในช่วงต้นเดินของเดือนกุมภาพันธ์ ในที่สุดก็มีจดหมายเชิญมาจากสมาคมศิลปะการต่อสู้
จดหมายเชิญทั้งหมดเป็นธีมสีดำ และตัวอักษรสีทองสามตัวที่อยู่บนนั้นก็พร่างพรายอย่างยิ่ง
และที่มุมล่างซ้ายของจดหมายเชิญจะมีตราประทับอย่างเป็นทางการซึ่งระบุถึงความถูกต้องของจดหมายเชิญ
เหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ แต่ก่อนถึงเวลาจะต้องไปกรอกคุณสมบัติที่สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูก่อน จากนั้นข้อมูลอื่นๆจะตามมาอีกที
และตอนนี้อยู่ที่เมืองเจียงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นฉินเฉิงจึงถือจดหมายพร้อมกับออกเดินทางไปที่จิงตูในวันนั้นทันที
ในระหว่างทางที่จะไปสนามบิน สีหน้าของฟางเสี่ยวเต๋อก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“อ่า ฉันไม่ได้ไปจิงตูมาตั้งนานแล้ว” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมา “ครั้งล่าสุดก็ตั้งหลายปีที่นานมาโน้น”
ฉินเฉิงไม่ได้พูดอะไร เขาหลับตา ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ในตอนนั้นฟางเสี่ยวเต๋อก็เอาหน้ามาข้างๆฉินเฉิงและพูดออกมาว่า “ฉินเฉิง นายไม่ใช่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่หรือไง ทำไมนายถึงไม่บินไปเอง?”
ฉินเฉิงตอบออกมาว่า “ใครบอกเธอว่าปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่บินได้?”
“ฉันเห็นตอนที่นายต่อสู้สามารถกระโดดไปบนฟ้าได้ตามที่ใจต้องการ ไม่ใช่หรือไง?” ดวงตาของฟางเสี่ยวเต๋อเบิกกว้าง เธอถามออกมาด้วยความสงสัย
ฉินเฉิงกลอกตาแล้วพูดว่า “เอาหละ เลิกพูดถึงมันได้แล้ว เมื่อวานฉันนอนไม่ค่อยหลับ ขอนอนพักสักหน่อย ถึงแล้วบอกฉันด้วยนะ”
ฟางเสี่ยวเต๋อพ่นลมหายใจออกมา “นายนี่มันน่าเบื่อจริงๆ!”
จากเมืองเจียงไปถึงจิงตูมันไม่ได้ไหล ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษๆ
หลังจากที่เครื่องลงจอดที่จิงตู ฟางเสี่ยวเต๋อก็ดูมีความสุขขึ้นมาทันที เธอพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “จิงตูนี่ใหญ่จริงๆ ห้างสรรพสินค้าจะต้องใหญ่มากแน่ๆ! ฉินเฉิง ถ้าว่างนายผ้าฉันไปเดินเล่นหน่อยนะ!”
“ฉันมีธุระ” ฉินเฉิงตอบ
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออกไป
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่สนามบินจิงตู” ฉินเฉิงพูด “ฉันให้เธอหาห้องพักให้ เธอหาหรือยัง?”
“เรื่องที่พี่ฉินเฉิงสั่งทั้งที ฉันจะกล้าชักช้าได้อย่างไร” หยูเหม่ยเหรินยิ้มและพูดออกมา “รอฉันที่สนามบินก่อน อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว”
หลังจากที่วางสายโทรศัพท์ลง ฉินเฉิงกับฟางเสี่ยวเต๋อก็ยืนรออยู่ด้านใน
“นายโทรหาใคร? ฉันได้ยินเหมือนเสียงผู้หญิงเลย? นายรู้จักผู้หญิงที่อยู่จิงตูด้วยเหรอ?” ฟางเสี่ยวเต๋อถามออกมาด้วยความสงสัย
ฉินเฉิงหันไปมองเธอแล้วพูดว่า “เธอยืนเงียบๆ ทำตัวนิ่งๆจะดีกว่า”
“หึ!” ฟางเสี่ยวเต๋อไม่พอใจและกระทืบเท้าออกมา “ถ้าหากนายทำอะไรไม่ดีหละก็ ฉันจะเอาไปฟ้องพี่วานเอ๋อ!”
ฉินเฉิงไม่ได้สนใจเธอ เขายืนอยู่ข้างถนนตรงสนามบิน และค่อยๆรับและสัมผัสกับพลังวิญญาณที่อยู่รอบๆ
หลังจากที่ผ่านไปแล้ว 1 ชั่วโมง หยูเหม่ยเหรินก็ยังไม่ปรากฎตัว
ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “ทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้? เธอจะมาหรือเปล่า หรือเธอจะหลอกพวกเรากันแน่!”
ฉินเฉิงชินกับนิสัยแบบนี้ของเธอแล้วดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
สุดท้ายหยูเหม่ยเหรินก็เดินสวมรองเท้าส้นสูงเดินมาไกลๆ
ในขณะเดียวกันก็มีรถหรูขับเข้ามาอย่างช้าๆ จากไม่ไกล
รถจอดอยู่ที่ประตูทางออกราวกับว่ากำลังรอใครอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉันเห็นผู้หญิงที่ดูดีคนหนึ่งเดินออกจากสนามบินพร้อมกับแว่นกันแดด ท่ามกลางกลุ่มคน
“คุณผู้หญิง เหมือนว่าฉันจะเห็นฉินเฉิงเลย” ผู้พิทักษ์คนหนึ่งพูดออกมาข้างหูของเสียวหยู่เชี้ยน
เสียวหยู่เชี้ยนขมวดคิ้วแล้วถามออกมาว่า “ที่ไหน?”
“อยู่ตรงนั้น” ผู้พิทักษ์ชี้ไปทางที่ฉินเฉิงยืนอยู่
เสียวหยู่เชี้ยนหรี่ตาลง จากนั้นก็เดินไปทางที่ฉินเฉิงอยู่
ในตอนนั้นฉินเฉิงกำลังกล่าวคำทักทายกับหยูเหม่ยเหริน ในตอนที่หยูเหม่ยเหรินเห็นเสียวหยู่เชี้ยน ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอก็น่าเกลียดขึ้นมาทันที
ไม่นานเสียวหยู่เชี้ยนก็เดินมาอยู่ตรงหน้าของฉินเฉิง
เธอมองมาที่ฉินเฉิงและพูดออกมาว่า “นายคือฉินเฉิงใช่ไหม?”
“คุณเป็นใคร?” ฉินเฉิงขมวดคิ้วและถามออกไป
หยูเหม่ยเหรินรีบขยับมาด้านข้างและพูดว่า “ท่านนี้คือคุณผู้หญิงเสียวหยู่เชี้ยน แม่ของซูหยู่ และเป็นภรรยาของซูฉีไห่”
สีหน้าของฉินเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ
คนของตระกูลซู!
“ใครใช้ให้เธอพูด?” เสียวหยู่เชี้ยนเหลือบตามามองที่หยูเหม่ยเหริน จากนั้นก็สั่งออกมาว่า “ไปตบปากมัน”
“ครับ” ลูกน้องของเสียวหยู่เชี้ยนเดินออกมาด้านหน้าทันที
ฉินเฉิงขมวดคิ้ว เขาเอาตัวออกมาบังหยูเหม่ยเหรินโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนั้นหยูเหม่ยเหรินกับจับไปที่แขนของหยูเหม่ยเหรินอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช้ตาของเธอเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินเฉิงไม่แสดงท่าทีที่หุนหันพลันแล่น