ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - ตอนที่ 316 พนันกับฟางเสี่ยวเต๋อ
ผู้บัญชาการกั๋วกระแอมออกมาและพูดออกมาว่า “ฉินเฉิง เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ฉินเฉิงยิ้มและพูดออกมาว่า “ไม่เป็นไร นอนพักแปปเดียวก็หายแล้ว”
ผู้บัญชาการกั๋วยิ้มออกอย่างขมขื่นพร้อมกับพยักหน้า เขาโบกมือ จากนั้นลูกน้องของเขาก็มายกเซี่ยอู่ขึ้นไป
“เอาหละ ทุกคนกลับไปประจำที่ได้!” ฉินเฉิงพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
หลังจากนั้นทุกคนก็มีสติกลับใส พวกเรารีบตะโกนออกมาทันทีว่า “ครับ!!”
สำหรับสำนักงานความมั่นคงเป็นหน่วยงานทางด้านของกองกำลัง ยิ่งคุณมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน ก็จะยิ่งได้รับความเคารพมากขึ้นเท่านั้น
และความสามารถของฉินเฉิงก็เห็นได้ชัดเจนว่าอยู่คนระดับกับพวกเขา
หลังจากที่พาเซี่ยอู่ออกไปแล้ว ฉินเฉิงก็หยิบยารวมชีพจรมาวางไว้หน้าของทุกคน
ทันทีที่หยิบยารวมชีพจรขึ้นมา กลิ่นหอมก็คลุ้งออกมาทันที
“นี่มันอะไร? ทำไมหอมจัง” แม้แต่ผู้บัญชาการกั๋วเองก็อดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูดโดยกลิ่นนี้
ฉินเฉิงยิ้มและพูดออกมาว่า “ยารวมชีพจร ทั้งหมดมี 14 เม็ด”
“ยารวมชีพจร?” สีหน้าของปี้เสี่ยวเหยาเปลี่ยนไปทันที เขามองมาที่ฉินเฉิงด้วยความตกใจและพูดออกมาว่า “ใช่ยารวมชีพจรจริงๆเหรอ?”
“อืม” ฉินเฉิงพยักหน้า “ฉันใช้เวลาสามวันในการกลั่นมันออกมา เพิ่อให้ทุกคนได้ขึ้นไปสู่ขั้นสร้างลำต้น”
ปี้เสี่ยวเหยาตกใจจนไม่สามารถอธิบายได้ เขาพูดออกมาด้วยเสียงต่ำว่า “ยารวมชีพจรนี้ถ้าหากเอาไปขายด้านนอกเม็ดหนึ่งราคาอยู่ที่ประมาณ 8 หลัก คุณจะเอามาให้พวกเราง่ายๆแบบนี้นะเหรอ?”
“ก็ใช่” ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดออกมา “ในเมื่อฉันรับปากว่าจะเป็นหัวหน้าทีม ฉันก็ต้องรับผิดชอบเป็นธรรมดา”
“อาจารย์ฉิน ผมต้องขอโทษคุณด้วย ที่ก่อนหน้านี้ผมสงสัยในตัวคุณ ตอนนี้ผม….” คนในทีมเหล่านั้นไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา
ต้องรู้ก่อนว่าทั้งสำนักงานความมั่นคงของปีนังมีปรมาจารย์เพียงแค่ 3 คนเท่านั้น แต่วันนี้ ด้วยการปรากฎตัวของฉินเฉิง ทำให้มีปรมาจารย์เกิดขึ้นอีก 14 คนทันที!
ผู้บัญชาการกั๋วรู้สึกอึดอัดมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฉินเฉิงจะยอมจ่ายมากขนาดนี้ เมื่อนึกถึงตอนที่ตนเองสงสัยในความคิดของฉินเฉิง เขาก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ
“หลังจากที่ทานยารวมชีพจรนี้เข้าไป อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเห็นผล” ฉินเฉิงพูด “สำหรับเรื่องงานเป็นทีม ฉันไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไหร่ เรื่องนั้นจะยกให้เป็นหน้าที่ของปี้เสี่ยวเหยาไป เท่านี้ภารกิจของฉันก็สิ้นสุดแล้ว”
ผู้บัญชาการกั๋วรีบพูดออกมาทันทีว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานแข่งขันแล้ว นายจะต้องไปให้ได้นะ”
“ผมไม่ไปหรอกครับ” ฉินเฉิงส่ายหน้า “ผมยังมีเรื่องอื่นให้ค้องทำอีกมาก หวังว่าผู้บัญชาการกั๋วคงเข้าใจผม”
“ก็ได้” ผู้บัญชาการกั๋วรับปาก “หลังจากผ่านการจัดลำดับแล้ว ฉันจะต้องยื่นตำแหน่งให้นายแน่!”
“งั้นต้องลำบากผู้บัญชาการกั๋วแล้วครับ” ฉินเฉิงพยักหน้า
หลังจากที่ออกมาจากสำนักงานความมั่นคงของปีนัง ฉินเฉิงก็กลับมาที่พักของตัวเอง
เขาพกสมบัติมากมายไว้บนร่างกาย เช่น ต้นเชียนเทียน ลูกปัดพุทธ ดาบทองสัมฤทธิ์ กำไลข้อมือเพชรพระสูตร
ฉินเฉิงลูบกำไลข้อมือเพชรพระสูตรและพูดออกมาว่า “กำไลข้อมือเพชรพระสูตรนี้มีอะไรแปลกๆอยู่ ราวกับว่า…..มันมีพลังที่มหาศาล”
ความรู้สึกนี้เป็นสัญชาตญาณล้วนๆ ดังนั้นฉินเฉิงจึงยังไม่กล้ารับประกัน
“เดี๋ยวหาโอกาสไปอ่านหนังสือโบราณ” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ “กำไลข้อมือเพชรพระสูตรกับเต้นเชียนเทียนล้วนมาจากเมืองหยิน”
หนังสือโบราณเกี่ยวกับจอมยุทธส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ที่สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตู
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นสมาคมเหมือนกันแต่สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูได้เปลี่ยนแปลไปแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ได้จะเข้าไป แต่มันเป็นพื้นที่ของทางการ
นอกเสียจากที่นั่นจะมีห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจำนวนมากอีกด้วยแม้แต่เย่อชิงยุนก็เคยทำงานที่นั่น
นอกจากนี้สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูยังมีเรือนจำพิเศษอีกด้วย
ว่ากันว่าเรือนจำสร้างด้วยวัสดุพิเศษและและยังมีค่ายกลขนาดใหญ่ ข่าวลือมีอยู่ว่าเป็นฝีมือของหัวจิน
กลไกลของมันเป็นอย่างไงไม่มีใครรู้ แต่แม้แต่จอมยุทธที่โดนขังอยู่ในนั้นยังเป็นเหมือนกับคนธรรมดา
“ถ้ามีโอกาสจะต้องไปให้ได้สักครั้ง” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ
ในวันต่อมาฉินเฉิงก็เริ่มฝึกวิชา เขาเอาต้นเชียนเทียนไว้ที่ตรงหน้าผาก จากนั้นเขาก็เริ่มดูดซับพลังพร้อมกับใช้สมุนไพรอีกหลายชนิด
ผ่านไปหลายวัน พลังของฉินเฉิงไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
ยิ่งอยู่ระดับที่สูงเท่าไหร่ พลังที่ต้องใช้ในการดูดซับมันก็มากขึ้นเท่านั้น ต่อให้ดูซับพลังของเมืองเจียงมาทั้งหมด มันก็เป็นไปได้อยากที่เขาจะเลื่อนขั้นได้สักขั้น
ไม่กี่วันต่อมา ในตอนที่ฉินเฉิงกำลังนั่งอาเจียนอยู่ในห้อง จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฟางเสี่ยวเต๋อยืนอยู่ที่หน้าประตู
ฉินเฉิงมองไปรอบๆราวกับว่ากำลังมองหาคนอื่น
“จะมองอะไร ฉันเอง” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมา
ไม่ทันรอให้ฉินเฉิงพูดอะไร เธอก็วิ่งเข้ามาในห้องและนั่งลงทันที
“เธอมาทำอะไร?” ฉินเฉิงปิดประตูและถามออกไปด้วยความสงสัย
ฟางเสี่ยวเต๋อตอบกลับมาว่า “ทำไมนายต้องตื่นตระหนกขนาดนั้น? ฉันไม่ใช่เสือสักหน่อย ไม่กินนายหรอก”
“มีเรื่องอะไรก็พูดมา อย่าเสียเวลา” ฉินเฉิงพูด
ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาว่า “พ่อฉันบอกว่า ให้นายพาฉันไปสมัครเรียนที่โรงเรียนในจิงตู นายคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม?”
“เธอยังไม่ได้สอบไม่ใช่เหรอ? แล้วจะไปสมัครได้ยังไง?” ฉินเฉิงถามออกมาด้วยความสงสัย
ฟางเสี่ยวเต๋อตอบออกไปว่า “ฉันเป็นอัจฉริยะ สอบเข้าได้ก่อนเวลา ไม่ได้หรือไง?”
“งั้นเธอสอบติดโรงเรียนไหน?” ฉินเฉิงถาม
ฟางเสี่ยวเต๋อตอบกลับมาด้วยความภาคภูมิใจว่า “มหาลัยจิงตู! เป็นไง คิดไม่ถึงใช่ไหมหละ?”
“เอาหละ เลิกโม้ได้แล้ว” ฉินเฉิงพูดออกมา “เธอสามารถสอบเข้าโรงเรียนได้ก็เยี่ยมแล้ว แถมยังได้เข้ามหาลัยจิงตูอีก”
“มันเป็นเรื่องจริงนะ!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ฉันได้รับการตอบรับล่วงหน้าแล้ว และไม่อีกกี่วันเขาก็ให้ฉันไปยื่นใบสมัครและรายงานตัว ฉันจะโกหกนายทำไม!”
“ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม? ถ้าหากไม่มีก็รีบกลับไปได้แล้ว อย่ามารบกวนฉัน” ฉินเฉิงโบกมือ
“หึ!” ฟางเสี่ยวเต๋อกระโดดขึ้นจากโซฟา เธอดึงแขนของฉินเฉิงแล้วพูดว่า “ถ้าหากฉันสอบเข้าได้จริงๆ นายจะว่ายังไง?”
“ถ้าหากเธอสอบเข้าได้จริงๆ ถ้าเธอพูดอะไรออกมาฉันก็จะทำตามนั้น” ฉินเฉิงจับมือของฟางเสี่ยวเต๋อออกและเดินไปที่ประตู
“นายพูดเองนะ ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำ! ใครโกหกเป็นหมา!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดด้วยความเจ้าเล่ห์
ในตอนที่ฉินเฉิงกำลังจะส่งฟางเสี่ยวเต๋อออกจากห้อง จู่ๆโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาทันที
เมื่อมองไปที่โทรศัพท์ คนที่โทรมาก็คือฟางจิ้งเหยา
ฉินเฉิงหยุดมือรับโทรศัพท์ ยิ้มและพูดว่า “หัวหน้าฟาง ผมกำลังอยากโทรหาคุณอยู่พอดีเลย”
ฟางจิ้งเหยาหัวเราะออกมา “ฉินเฉิง เสี่ยวเต๋อไปหานายแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ครับ” ฉินเฉิงตอบด้วยความเหนื่อยใจ “เวลานี้เธอควรจะอยู่ที่โรงเรียนเพื่ออ่านหนังสือมากกว่าไหม?”
ฟางจิ้งเหยาหัวเราะออกมา “เสี่ยวเต๋อถูกมหาลัยจิงตูเรียกตัวไป ช่วงนี้นายไม่ได้กำลังอยากไปที่จิงตูพอดีหรอกเหรอ? งั้นก็เอาเสี่ยวเต๋อไปด้วยนะ พอดีฉันมีเรื่องสำคัญ ไปไม่ได้พอดี”
ฉินเฉิงผงะ เขาขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “หัวหน้าฟาง คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? เรื่องที่ว่าเสี่ยวเต๋อสอบติดมหาลัยจิงตู?”
“เรื่องแบบนี้จะมาล้อเล่นกันได้อย่างไง!” ฟางจิ้งเหยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ “เรื่องนี้ต้องฝากให้นายดูแล้วด้วย พอดีฉันยังมีธุระต้องทำ วางก่อนนะ”
ผู้บัญชาการกั๋วกระแอมออกมาและพูดออกมาว่า “ฉินเฉิง เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ฉินเฉิงยิ้มและพูดออกมาว่า “ไม่เป็นไร นอนพักแปปเดียวก็หายแล้ว”
ผู้บัญชาการกั๋วยิ้มออกอย่างขมขื่นพร้อมกับพยักหน้า เขาโบกมือ จากนั้นลูกน้องของเขาก็มายกเซี่ยอู่ขึ้นไป
“เอาหละ ทุกคนกลับไปประจำที่ได้!” ฉินเฉิงพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
หลังจากนั้นทุกคนก็มีสติกลับใส พวกเรารีบตะโกนออกมาทันทีว่า “ครับ!!”
สำหรับสำนักงานความมั่นคงเป็นหน่วยงานทางด้านของกองกำลัง ยิ่งคุณมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน ก็จะยิ่งได้รับความเคารพมากขึ้นเท่านั้น
และความสามารถของฉินเฉิงก็เห็นได้ชัดเจนว่าอยู่คนระดับกับพวกเขา
หลังจากที่พาเซี่ยอู่ออกไปแล้ว ฉินเฉิงก็หยิบยารวมชีพจรมาวางไว้หน้าของทุกคน
ทันทีที่หยิบยารวมชีพจรขึ้นมา กลิ่นหอมก็คลุ้งออกมาทันที
“นี่มันอะไร? ทำไมหอมจัง” แม้แต่ผู้บัญชาการกั๋วเองก็อดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูดโดยกลิ่นนี้
ฉินเฉิงยิ้มและพูดออกมาว่า “ยารวมชีพจร ทั้งหมดมี 14 เม็ด”
“ยารวมชีพจร?” สีหน้าของปี้เสี่ยวเหยาเปลี่ยนไปทันที เขามองมาที่ฉินเฉิงด้วยความตกใจและพูดออกมาว่า “ใช่ยารวมชีพจรจริงๆเหรอ?”
“อืม” ฉินเฉิงพยักหน้า “ฉันใช้เวลาสามวันในการกลั่นมันออกมา เพิ่อให้ทุกคนได้ขึ้นไปสู่ขั้นสร้างลำต้น”
ปี้เสี่ยวเหยาตกใจจนไม่สามารถอธิบายได้ เขาพูดออกมาด้วยเสียงต่ำว่า “ยารวมชีพจรนี้ถ้าหากเอาไปขายด้านนอกเม็ดหนึ่งราคาอยู่ที่ประมาณ 8 หลัก คุณจะเอามาให้พวกเราง่ายๆแบบนี้นะเหรอ?”
“ก็ใช่” ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดออกมา “ในเมื่อฉันรับปากว่าจะเป็นหัวหน้าทีม ฉันก็ต้องรับผิดชอบเป็นธรรมดา”
“อาจารย์ฉิน ผมต้องขอโทษคุณด้วย ที่ก่อนหน้านี้ผมสงสัยในตัวคุณ ตอนนี้ผม….” คนในทีมเหล่านั้นไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา
ต้องรู้ก่อนว่าทั้งสำนักงานความมั่นคงของปีนังมีปรมาจารย์เพียงแค่ 3 คนเท่านั้น แต่วันนี้ ด้วยการปรากฎตัวของฉินเฉิง ทำให้มีปรมาจารย์เกิดขึ้นอีก 14 คนทันที!
ผู้บัญชาการกั๋วรู้สึกอึดอัดมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฉินเฉิงจะยอมจ่ายมากขนาดนี้ เมื่อนึกถึงตอนที่ตนเองสงสัยในความคิดของฉินเฉิง เขาก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ
“หลังจากที่ทานยารวมชีพจรนี้เข้าไป อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเห็นผล” ฉินเฉิงพูด “สำหรับเรื่องงานเป็นทีม ฉันไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไหร่ เรื่องนั้นจะยกให้เป็นหน้าที่ของปี้เสี่ยวเหยาไป เท่านี้ภารกิจของฉันก็สิ้นสุดแล้ว”
ผู้บัญชาการกั๋วรีบพูดออกมาทันทีว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานแข่งขันแล้ว นายจะต้องไปให้ได้นะ”
“ผมไม่ไปหรอกครับ” ฉินเฉิงส่ายหน้า “ผมยังมีเรื่องอื่นให้ค้องทำอีกมาก หวังว่าผู้บัญชาการกั๋วคงเข้าใจผม”
“ก็ได้” ผู้บัญชาการกั๋วรับปาก “หลังจากผ่านการจัดลำดับแล้ว ฉันจะต้องยื่นตำแหน่งให้นายแน่!”
“งั้นต้องลำบากผู้บัญชาการกั๋วแล้วครับ” ฉินเฉิงพยักหน้า
หลังจากที่ออกมาจากสำนักงานความมั่นคงของปีนัง ฉินเฉิงก็กลับมาที่พักของตัวเอง
เขาพกสมบัติมากมายไว้บนร่างกาย เช่น ต้นเชียนเทียน ลูกปัดพุทธ ดาบทองสัมฤทธิ์ กำไลข้อมือเพชรพระสูตร
ฉินเฉิงลูบกำไลข้อมือเพชรพระสูตรและพูดออกมาว่า “กำไลข้อมือเพชรพระสูตรนี้มีอะไรแปลกๆอยู่ ราวกับว่า…..มันมีพลังที่มหาศาล”
ความรู้สึกนี้เป็นสัญชาตญาณล้วนๆ ดังนั้นฉินเฉิงจึงยังไม่กล้ารับประกัน
“เดี๋ยวหาโอกาสไปอ่านหนังสือโบราณ” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ “กำไลข้อมือเพชรพระสูตรกับเต้นเชียนเทียนล้วนมาจากเมืองหยิน”
หนังสือโบราณเกี่ยวกับจอมยุทธส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ที่สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตู
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นสมาคมเหมือนกันแต่สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูได้เปลี่ยนแปลไปแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ได้จะเข้าไป แต่มันเป็นพื้นที่ของทางการ
นอกเสียจากที่นั่นจะมีห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจำนวนมากอีกด้วยแม้แต่เย่อชิงยุนก็เคยทำงานที่นั่น
นอกจากนี้สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูยังมีเรือนจำพิเศษอีกด้วย
ว่ากันว่าเรือนจำสร้างด้วยวัสดุพิเศษและและยังมีค่ายกลขนาดใหญ่ ข่าวลือมีอยู่ว่าเป็นฝีมือของหัวจิน
กลไกลของมันเป็นอย่างไงไม่มีใครรู้ แต่แม้แต่จอมยุทธที่โดนขังอยู่ในนั้นยังเป็นเหมือนกับคนธรรมดา
“ถ้ามีโอกาสจะต้องไปให้ได้สักครั้ง” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ
ในวันต่อมาฉินเฉิงก็เริ่มฝึกวิชา เขาเอาต้นเชียนเทียนไว้ที่ตรงหน้าผาก จากนั้นเขาก็เริ่มดูดซับพลังพร้อมกับใช้สมุนไพรอีกหลายชนิด
ผ่านไปหลายวัน พลังของฉินเฉิงไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
ยิ่งอยู่ระดับที่สูงเท่าไหร่ พลังที่ต้องใช้ในการดูดซับมันก็มากขึ้นเท่านั้น ต่อให้ดูซับพลังของเมืองเจียงมาทั้งหมด มันก็เป็นไปได้อยากที่เขาจะเลื่อนขั้นได้สักขั้น
ไม่กี่วันต่อมา ในตอนที่ฉินเฉิงกำลังนั่งอาเจียนอยู่ในห้อง จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฟางเสี่ยวเต๋อยืนอยู่ที่หน้าประตู
ฉินเฉิงมองไปรอบๆราวกับว่ากำลังมองหาคนอื่น
“จะมองอะไร ฉันเอง” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมา
ไม่ทันรอให้ฉินเฉิงพูดอะไร เธอก็วิ่งเข้ามาในห้องและนั่งลงทันที
“เธอมาทำอะไร?” ฉินเฉิงปิดประตูและถามออกไปด้วยความสงสัย
ฟางเสี่ยวเต๋อตอบกลับมาว่า “ทำไมนายต้องตื่นตระหนกขนาดนั้น? ฉันไม่ใช่เสือสักหน่อย ไม่กินนายหรอก”
“มีเรื่องอะไรก็พูดมา อย่าเสียเวลา” ฉินเฉิงพูด
ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาว่า “พ่อฉันบอกว่า ให้นายพาฉันไปสมัครเรียนที่โรงเรียนในจิงตู นายคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม?”
“เธอยังไม่ได้สอบไม่ใช่เหรอ? แล้วจะไปสมัครได้ยังไง?” ฉินเฉิงถามออกมาด้วยความสงสัย
ฟางเสี่ยวเต๋อตอบออกไปว่า “ฉันเป็นอัจฉริยะ สอบเข้าได้ก่อนเวลา ไม่ได้หรือไง?”
“งั้นเธอสอบติดโรงเรียนไหน?” ฉินเฉิงถาม
ฟางเสี่ยวเต๋อตอบกลับมาด้วยความภาคภูมิใจว่า “มหาลัยจิงตู! เป็นไง คิดไม่ถึงใช่ไหมหละ?”
“เอาหละ เลิกโม้ได้แล้ว” ฉินเฉิงพูดออกมา “เธอสามารถสอบเข้าโรงเรียนได้ก็เยี่ยมแล้ว แถมยังได้เข้ามหาลัยจิงตูอีก”
“มันเป็นเรื่องจริงนะ!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ฉันได้รับการตอบรับล่วงหน้าแล้ว และไม่อีกกี่วันเขาก็ให้ฉันไปยื่นใบสมัครและรายงานตัว ฉันจะโกหกนายทำไม!”
“ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม? ถ้าหากไม่มีก็รีบกลับไปได้แล้ว อย่ามารบกวนฉัน” ฉินเฉิงโบกมือ
“หึ!” ฟางเสี่ยวเต๋อกระโดดขึ้นจากโซฟา เธอดึงแขนของฉินเฉิงแล้วพูดว่า “ถ้าหากฉันสอบเข้าได้จริงๆ นายจะว่ายังไง?”
“ถ้าหากเธอสอบเข้าได้จริงๆ ถ้าเธอพูดอะไรออกมาฉันก็จะทำตามนั้น” ฉินเฉิงจับมือของฟางเสี่ยวเต๋อออกและเดินไปที่ประตู
“นายพูดเองนะ ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำ! ใครโกหกเป็นหมา!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดด้วยความเจ้าเล่ห์
ในตอนที่ฉินเฉิงกำลังจะส่งฟางเสี่ยวเต๋อออกจากห้อง จู่ๆโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาทันที
เมื่อมองไปที่โทรศัพท์ คนที่โทรมาก็คือฟางจิ้งเหยา
ฉินเฉิงหยุดมือรับโทรศัพท์ ยิ้มและพูดว่า “หัวหน้าฟาง ผมกำลังอยากโทรหาคุณอยู่พอดีเลย”
ฟางจิ้งเหยาหัวเราะออกมา “ฉินเฉิง เสี่ยวเต๋อไปหานายแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ครับ” ฉินเฉิงตอบด้วยความเหนื่อยใจ “เวลานี้เธอควรจะอยู่ที่โรงเรียนเพื่ออ่านหนังสือมากกว่าไหม?”
ฟางจิ้งเหยาหัวเราะออกมา “เสี่ยวเต๋อถูกมหาลัยจิงตูเรียกตัวไป ช่วงนี้นายไม่ได้กำลังอยากไปที่จิงตูพอดีหรอกเหรอ? งั้นก็เอาเสี่ยวเต๋อไปด้วยนะ พอดีฉันมีเรื่องสำคัญ ไปไม่ได้พอดี”
ฉินเฉิงผงะ เขาขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “หัวหน้าฟาง คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? เรื่องที่ว่าเสี่ยวเต๋อสอบติดมหาลัยจิงตู?”
“เรื่องแบบนี้จะมาล้อเล่นกันได้อย่างไง!” ฟางจิ้งเหยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ “เรื่องนี้ต้องฝากให้นายดูแล้วด้วย พอดีฉันยังมีธุระต้องทำ วางก่อนนะ”