ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - ตอนที่ 4 งานเลี้ยงตระกูลซู
สายตาของทุกคนที่อยู่ที่นี่ พวกเค้าก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไป
ไม่เพียงแค่ความน่าดึงดูดของรถหรูแบรนด์ชั้นนำเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงท่าทีที่ดูเป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิงคนนี้ด้วย
"คุณซู คุณมาได้ยังไงกัน" ฉินเฉิงก็อารมณ์ก็ไม่ค่อยดี รอยยิ้มเกร็งๆ ของเค้ามันก็ดูแปลกไปเล็กน้อย
ซูหวานเป็นคนฉลาด เธอเหลือบมองไปที่สองที่น้องหลิน เธอยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า: "คืนนี้คุณปู่ของฉันมีงานเลี้ยง ลืมแล้วเหรอ รีบขึ้นรถเถอะ"
ฉินเฉิงก็ไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เลย แต่เค้าก็ไม่สามารถที่จะปฎิเสธผู้หญิงที่มีเสน่ห์แบบนี้เลย
ดังนั้น ฉินเฉิงก็พยักหน้าของเค้าขึ้นมาแล้วตามซูหวานขึ้นรถไป
หลังจากเสียงคำรามของเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นมานี้เอง รถเฟอร์รารี่ก็ขับออกไปด้วยความเร็ว
ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายขึ้นมานี้เองมันก็ทำให้สองพี่น้องหหลินกับหยางอี้มองดูอย่างเคอะเขิน
"ไอ่คนไร้ประโยชน์นั่นมันไปรู้จักกับผู้หญิงแบบนั้นได้ยังไงกัน" หลินชิงเฉิงก็งง เธอกระทืบเท้าของเธอขึ้นมาด้วยความโกรธ
ในทางตรงกันข้าม รถเบ้นซ์ของหยางอี้ก็ดูไม่น่าพูดถึงไปเลย
และหยางอี้เองก็ยังคงหมกหมุ่นอยู่กับความงามของซูหวานและยังไม่ได้สติ
เมื่อเห็นแบบนี้ หลินชิงเฉิงก็ยิ่งโกรธมากยิ่งขึ้น
เธอก็บีบเข้าไปที่หยางอี้อย่างแรงแล้วพูดขึ้นมาอย่างโกรธเคืองว่า: "มองอะไร? ถ้านายชอบมากก็วิ่งตามเธอไปสิ!"
ในตอนนี้เองหยางอี้ถึงได้สติกลับมา เค้ายิ้มขึ้นมาอย่างเร็ว: "ดูที่เธอพูดสิ ในใจฉันมีเธอแค่คนเดียวเท่านั้นนะ ฉันจะไปมองผู้หญิงคนอื่นได้ยังไงกัน ฉันแค่กำลังคิดว่าคนไร้ประโยชน์อย่างฉินเฉิง มันไปรู้จักกับผู้หญิงแบบนั้นได้ยังไงกัน?"
"มันต้องหาคนมาแสดงอย่างแน่นอน" หลินชิงชือก็พูดขึ้นมา แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน แต่เธอก็รู้อยู่ในใจของเธอว่าซูหลานนั้นสวยกว่าเธอมาก
"มันต้องเป็นแบบนั้นอย่างแน่นอน!" หลินชิงเฉิงก็พยักหน้าขึ้นมาอย่างจริงจัง ในแววตาของเธอ ฉินเฉิงก็แค่คนไร้ประโยชน์ เค้าจะไปรู้จักกับผู้หญิงที่ขาวสวยรวยอย่างงั้นได้ยังไงกัน?
"เอาหละ ปล่อยมันไปเถอะ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวจะช้าเกินไปนะ" หยางอี้ก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
…
ที่คฤหาสน์ตระกูลซู มันก็ตั้งอยู่ในย่านในกลางของปีนัง
ที่นี่ก็มีสวนกับคฤหาสน์ตระกูลซู
"นายท่านครับ ผมได้ทำการตรวจสอบแล้ว ฉินเฉิงเค้าไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก เค้าถูกนายท่านตระกูลหลินเอาตัวมาเลี้ยงแล้วต่อมาก็ได้กลายเป็นลูกเขย" ชายในชุดสูทกับรองเท้าหนังเค้าก็ยืนอยู่ตรงหน้าชายชราซู
ชายชราซูก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมาแล้วถามต่อว่า: "ตระกูลหลิน? ตระกูลหลินในเมืองจิงตู?"
"ไม่ครับ ไม่ใช่ มันคือตระกูลหลินในปีนัง" พ่อบ้านของชายชราซูก็อธิบายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
"ไม่เคยได้ยินมาก่อน" ชายชราซูก็ส่ายหัวของเค้าขึ้นมาแล้วถามว่า: "แล้วเค้าไม่มีภูมิหลังอะไรเลยอย่างงั้นเหรอ?"
"ครับ ผมตรวจสอบเค้าแล้ว มันไม่มีประวัติทางการแพทย์ของเค้าเลย ช่วงหลายปีมานี้เค้าซักผ้าและทำอาหารอยู่ที่บ้านของตระกูลหลิน" พ่อบ้านก็ตอบตามจริง
เมื่อชายชราซูได้ยินแบบนี้ เค้าก็อดหัวเราะไม่ได้
เค้าส่ายหัวขึ้นมาแล้วถอนหายใจออกมา: "ดูเหมือนว่าฉันจะมองเค้าสูงเกินไปนะ"
พ่อบ้านก็พยักหน้าของเค้าอย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าเค้าเองก็จะเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายชราซูพูดออกมา
"นายท่านซูครับ หมอซุนจากเมืองจิงตูตอบตกลงที่จะมารักษาท่านแล้วครับ" ในตอนนี้เองพ่อบ้านก็พูดต่อ
เมื่อได้ยินแบบนี้เอง ชายชราซูก็ดีใจเป็นอย่างมาก เค้าลูบเข้าไปที่เคราของเค้าอย่างไวแล้วก็ยิ้มขึ้นมา: "ดูเหมือนว่าหน้าแก่ๆ ของฉันนี่มันจะตรอบไปหน่อยนะ ฮ่าๆ"
"นายท่านก็พูดตลกไป"
ในตอนที่พูดอยู่นี้เอง ซูหวานกับฉินเฉิงก็เดินเคียงข้างกันเข้ามา
"ปู่ค่ะ ฉันพาเค้ามาแล้ว" ซูหวานคว้าเข้าไปที่แขนของคุณปู่ซูแล้วพูดขึ้นมาอย่างสุภาพ
ชายชราซูก็พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม เค้าลูบไปที่มือแล้วพูดว่า: "เอาหละ งั้นก็ไปที่โต๊ะกัน"
หลังจากนั้น หลายคนก็เดินเข้าไปที่ห้องรับแขกของคฤหาสน์ด้วยกัน
ทั้งห้องนั่งเล่นมันตกแต่งตามสไตล์แบบจีน ห้องทั้งห้องมันตกแต่งด้วยไม้เนื้อแข็ง
มันมีทั้งไม้ฮอกกานีชั้นดี ไม้สัก ไม้ประดู่และไม้จันทร์แดง
ฉินเฉิงก็นั่งที่โต๊ะอาหาร ท่าทีของเค้าดูเกร็งเล็กน้อย ในขณะชายชราซูดูสงบนิ่ง เค้าไม่คิดที่จะทำให้ฉินเฉิงเกร็งหรือกลัวอะไรเลย
จากนั้นไม่นาน พวกคนรับใช้ก็เอาอาหารเข้ามาเสิร์ฟ
ฉินเฉิงไม่เคยเห็นอาหารพวกนี้มาก่อนเลย แม้แต่ที่บ้านตระกูลหลินเองก็ไม่เคยมีใครได้กินมาก่อน
"นี่มันก็คือไวน์แดงที่ฉันเอากลับมาจากเมืองรอ มา รินให้น้องฉินสิ" ชายชราซูก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
คนรับใช้ที่อยู่ข้างเค้าก็รีบเก้ามาข้างหน้าแล้วรินไวน์ให้กับฉินเฉิงแก้วหนึ่ง
ฉินเฉินก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงได้ทำได้เพียงแค่ขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่ไม่ไกลออกไป เมื่อซูหวานเห็นท่าทีที่แข็งแกร็งของเค้า เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับเอามือปิดปากของเธอไว้
เธอจิบไวน์ไปกินข้าวไป
ชายชราซูก็เช็ดปากของเค้า เค้ามองดูฉินเฉิงอย่างเอ็นดูแล้วพูดว่า: "น้องฉิน คุณช่วยชีวิตฉันไว้ เรามาพูดคุยกันเถอะ หากว่ามีอะไรที่เธอต้องการหละก็ ฉันจะตอบแทนเธอเอง"
ฉินเฉิงก็ส่ายหัวของเค้าขึ้นมาอย่างเร็วแล้วพูดว่า: "ถ้าไม่ใช่เพราะคุณซูที่มาช่วยผมเอาไว้ ผมเองก็อาจจะตายอยู่ข้างถนนไปแล้ว ผมเองก็ควรที่จะตอบแทนเธอ ดังนั้น…..ผมไม่ต้องการอะไรตอบแทนทั้งนั้น"
"จริงเหรอ?" ชายชราซูก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
ก่อนที่ฉินเฉิงจะตอบ ซูหวานก็พูดขึ้นมาว่า: "ปู่ของฉันเค้าไม่เคยเป็นหนี้บุญคุณใครมาก่อน ดังนั้นพูดออกมาเถอะ ในปีนังนี่ไม่มีอะไรที่ปู่ของฉันทำไม่ได้!"
ฉินเฉิงก็อ้าปากของเค้าขึ้นมา เค้าครุ่นคิดจากนั้นมันก็มีบางอย่างที่แวบเข้ามาในหัวของเค้า มันมีแม้แต่ความคิดที่จะยืมลูกน้อยของชายชราซูเพื่อให้บทเรียนกับหลินชิงเฉิงและหยางอี้ทั้งสอง
แต่ในที่สุด ฉินเฉิงก็ส่ายหัวออกมา เค้าพูดขึ้นมาว่า: "ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น"
สิ่งนี้เองมันก็ทำให้ซูหวานประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะกระพริบตาขึ้นมา
ชายชราซูก็โบกมือของเค้าขึ้นมา พ่อบ้านที่อยู่ที่ข้างๆ เค้าก็หยิบบัตรธนาคารออกมาอย่างเร็ว
"ในบัตรนี่มันก็มีเงินอยู่เล็กน้อย แม้ว่ามันจะไม่มาก แต่น้องฉินก็อย่าปฎิเสธน้ำใจของฉันเลยนะ" ชายชราซูก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
ในตอนที่ฉินเฉิงปฎิเสธนี้เอง ซูหวานก็อดไม่ได้ที่จะเอาบัตรธนาคารยัดเข้าไปในกระเป๋าของฉินเฉิง เธอกระพริบตาของเธอขึ้นมาแล้วพูดว่า: "รับมันไปเถอะ ถ้าหากว่าฉันจำไม่ผิดนายเองก็ไม่เหลือเงินแล้วไม่ใช่เหรอ?"
ฉินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น เธอพูดถูก เค้าถูกตระกูลหลินขับไล่ออกมาแล้ว เค้าจะไปเอาเงินมาจากไหนกัน
หลังมืออาหาร ชายชราซูก็โบกมือของเค้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: "ฉันเหนื่อยแล้ว อย่างงั้นฉันขอไปพักผ่อนก่อน ถ้าน้องฉินไม่รังเกียจอะไร ก็พักอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลซูไปก่อนก็แล้วกัน"
ฉินเฉิงก็รีบลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า: "ไม่ครับ ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำ อย่างงั้น ผม….ขอตัวก่อน"
ฉินเฉิงเองก็เค้าก็ถูกขังอยู่แต่บ้านมาสามปีแล้ว ดูเหมือนว่าเค้าจะออทิสติกเล็กน้อย เค้าไม่อยากที่จะอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้แต่นาทีเดียวเลย
หลังจากที่เค้าพูดออกมาแบบนี้แล้ว ฉินเฉิงก็วิ่งออกไปราวกับว่าเค้าต้องการที่จะหลบหนี
คฤหาสน์ตระกูลซู ที่ชั้นสอง
ซูหวานก็รีบวิ่งไปหาชายชราซูแล้วพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า: "คุณปู่ ฉินเฉิงเค้าสัญญาแล้วว่าเค้าจะช่วยรักษาปู่!"
แต่ชายชราซูก็ไม่ได้มีความสุขอย่างที่เธอคิดเอาไว้เลย เค้ายิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า: "เด็ก"
ซูหวานก็ขมวดคิ้วของเธอแล้วพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย: "ปู่สืบประวัติของเค้ามาแล้วหรือยังค่ะ?"
"ซูหวาน อย่าโทษที่ปู่ระวังตัวเลย ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่จ้องมองตระกูลแบบเรา ดังนั้นปู่ก็เลยต้องคอยระวังตัว" ชายชราซูก็ถอนหายใจออกมา "หมอซุนจากจิงตูตอบตกลงที่จะมาดูอาการป่วยของปู่ ปู่เองก็ไม่อยากที่จะไปกวนฉินเฉิง"
พูดแล้วซูหวานก็ยังคงเสียอารมณ์ เธอพูดขึ้นมาอย่างโกรธเคือง: "เค้าช่วยชีวิตของปู่เอาไว้นะคะ! เค้าจะไม่มีทักษะทางการแพทย์ได้ยังไงกัน! หนูไม่สน เค้าให้สัญญากับหนูแล้ว ไม่ว่ายังไงเค้าก็จะต้องรักษาปู่!"
ชายชราซูก็พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้จะทำยังไง: "เอาหละ สัญญากับปู่ได้ไหมว่าเธอจะไม่ทำอย่างงั้น"
"แบบนี้ก็พอได้" ซูหวานพูดออกมาพร้อมกับการถอนหายใจ
แม้ว่าชายชราซูจะเห็นด้วยกับซูหวาน แต่เค้าไม่ได้จริงจังอะไรกับเรื่องนี้มากนัก
เค้ารู้ขั้นตอนการรักษาของฉินเฉิงแล้ว เพียงแค่วางมือลงไปที่หน้าผาก การทำแบบนี้มันจะไปรักษาคนได้ยังไงกัน?
ในความคิดของเค้า ฉินเฉิงอาจจะแค่โชคดีก็ได้