ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - ตอนที่ 39 ลาภลอย
"ใช่" ชายคนนั้นก็หัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า: "ถ้าเป็นฉินเฉิง ฉันอาจจะต้องอยู่ให้ห่างจากเค้า"
ฉินเฉิงก็ไม่สนใจที่จะอธิบายอะไรให้พวกเค้าฟัง เค้าเหลือบมองไปที่กงเหยาแล้วพูดว่า: "ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว อย่างงั้นเราก็จะออกไปกันก่อน"
กงเหยาก็รู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าของฉินเฉิงมากนัก แต่เธอก็รู้สึกละอายเล็กน้อยที่จะปล่อยเค้าไปแบบนี้
หลังจากที่คิดทบทวนเรื่องนี้แล้ว เธอก็หันหน้าไปหาลูกพี่ลูกน้องของเธแล้วพูดว่า: "พี่ค่ะ อย่างงั้นพวกพี่ก็กินข้าวกันก่อนเลยนะ ฉันจะขอตัวไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน"
ลูกพี่ลูกน้องของเธอเป็นคนฉลาดแล้วเธอก็รู้ดีว่ากงเหยากำลังหมายถึงอะไร
ดังนั้นเธอก็ปัดมือของเธอขึ้นมาอย่างหมดความอดทนแล้วพูดว่า: "เอาเถอะ กินข้าวด้วยกันนี่แหละ งั้นก็สองโต๊ะไหม?"
กงเหยาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ้ง เธอพูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า: "ฉินเฉิง นี่ก็เที่ยงแล้ว เรามากินข้าวด้วยกันไหม?"
ฉินเฉิงก็อยากที่จะปฎิเสธ แต่เค้าก็คิดเกี่ยวกับเรื่องที่เค้าเองก็พึ่งจะมาที่เมืองจิงแล้ว เค้าก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับการประมูลและถนนยา การที่จะไปถามคนในพื้นที่อย่างทั้งสองก็น่าจะดี
ดังนั้น ฉินเฉิงก็พยักหน้าแล้วตอบตกลง
ร้านนี้มันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก แต่มันก็สวยมาก เจ้าของก็ยังเป็นชาวต่างชาติ
หลายคนก็เลือกห้องส่วนตัวห้องหนึ่งแล้วนั่งลง จากนั้นลูกพี่ลูกน้อยของเธอก็หยิบรายการอาหารขึ้นมาแล้วส่งให้กับกงเหยา
"ถ้าอยากกินอะไร ก็สั่งเองเลย" ลูกพี่ลูกน้องของเธอก็พูดออกมา
กงเหยาก็ยื่นรายการอาหารให้กับฉินเฉิงแล้วพูดว่า: "ฉินเฉิง นายอยากกินอะไรก็สั่งเอาเลยนะ"
ฉินเฉิงก็ส่ายหัวขึ้นมาแล้วพูดว่า: "ฉันกินอะไรก็ได้"
กงเหยาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเธอค่อนข้างที่จะระมัดระวังตัวเล็กน้อย ดังนั้นเธอก็เลยสั่งอาหารถูกๆ เพียงแค่ไม่กี่อย่างก็เท่านั้น
"ทำไมหละ จะมาประหยัดเงินให้ฉันอย่างงั้นเหรอ?" หลังจากที่ลูกพี่ลูกน้องของเธอรับรายการอาหารไปแล้ว เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที
หลังจากนั้น เธอก็สั่งอาหารจานพิเศษราคาแพงหลายจานแล้วก็วางรายการอาหารลง
ผู้หญฺิงคนนี้ สีหน้าของเธอดูแข็งกร้าวเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วเธอปฎิบัติต่อกงเหยาดีมาก
หลังจากที่เข้าใจอย่างถี่ถ้วนแล้ว ฉินเฉิงก็รู้เลยว่าลูกพี่ลูกน้องของกงเหยา เธอชื่อกงฮุ้ย ส่วนผู้ชายคนนั้นที่เป็นแฟนของเธอ เค้าชื่อชาหนิง
"ตามที่พูดมาฉิงเฉิงในเมืองปีนังนั่น ตอนนี้เค้ากำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก" ชาหนิงก็พูดขึ้นมา
หงเหยาก็เหลือบมองไปที่ฉินเฉิงอย่างสงสัยแล้วถามขึ้นมาว่า: "มีอะไรหรือเปล่า?"
ชาหนิงก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา: "เธอไม่รู้เหรอ? เค้าไม่เพียงแต่ได้เข้าร่วมกับตระกูลซูเท่านั้นนะ แต่เค้ายังต่อสู้ในงานปาร์ตี้แล้วก็สามารถที่จะจัดการกับคนร้ายได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้เองมันก็ทำให้หลายคนในปีนังต่างก็พูดคุยกัน!"
กงเหยาก็พูดขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วมว่า: "เรื่องพวกนี้ฉันไม่รู้เลยจริงๆ …….."
เธอก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาก็เท่านั้น เธอไม่ค่อยที่จะได้ติดต่อกับพวกคนรวยอะไรพวกนั้นเลย ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติที่เธอจะไม่รู้เรื่องนี้
"แต่ก็น่าเสียดาย เค้าน่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน" ในตอนนี้เอง ชาหนิงก็หันกลับมาแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
"ทำไมถึงพูดออกมาแบบนั้นหละ?" กงเหยาก็รีบถามขึ้นมา
ชาหนิงก็ปัดมือของเค้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: "ฉันได้ยินมาว่าเค้าเอาชนะตระกูลตี๋ไปเมื่อสองสามวันก่อน ตระกูลตี๋ไม่มีทางปล่อยเค้าไปง่ายๆ อย่างแน่นอน"
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ชาหนิงก็มองไปที่ฉินเฉิงแล้วพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า: "นั่นคือเหตุผลที่ฉันพูดว่าถ้าหากว่าพวกเธอคือฉินเฉิงหละก็ ฉันก็จะต้องอยู่ให้ห่างจากเค้าเอาไว้"
ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า: "การทำให้ตระกูลตี๋ขุ่นเคืองนี่มันน่ากลัวมากเลยเหรอ?"
ชาหนิงก็ไม่ได้โกรธอะไร เค้าอธิบายขึ้นมาอย่างอดทนอดกลั้นว่า: "พี่ชาย คุณไม่ได้อยู่ในแวดวงของเราคุณไม่เข้าใจหรอก ยิ่งธุรกิจใหญ่โตมากเท่าไหร่ เส้นสายมันก็ยิ่งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น"
"ตระกูลตี๋ ธุรกิจของพวกเค้าได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทั้งมลฑลก็จะไม่พึ่งพาพวกเค้าเหรอ? แม้แต่ในเมืองจิงเองก็ยังมีคนจำนวนมากที่ต้องการที่จะมีความร่วมมือกับพวกเค้า ธุรกิจทั้งหมดของพวกเค้าเป็นธุรกิจชั้นนำ ในเมืองจิงของพวกเรามันก็เทียบอะไรพวกเค้าไม่ได้เลย"
ฉินเฉิงก็พยักหน้าขึ้นมาแสดงท่าทีว่าเค้าเข้าใจแล้ว
ชาหนิงเองก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า: "ถ้าตระกูลซูลงมือหละก็ แน่นอนว่าเรื่องนี้มันก็สามารถที่จะหยุดยั้งเอาไว้ได้ แต่น่าเสียดายที่ตระกูลซูไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้"
"เอาหละ กินข้าวกันเถอะ เรื่องพวกนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา" กงฮุ้ยก็ขมวดคิ้วของเธอขึ้นมา: "นอกจากนี้แล้ว การที่นายพูดเรื่องพวกนี้กับเค้า มันก็เหมือนกับใการสีซอให้ควายฟัง?"
ชาหนิงก็ลูบไปที่จมูกของเค้าแล้วมองไปที่ฉินเฉิง ท่าทีของเค้ามันหมายความได้ว่าจะบอกฉินเฉิงว่าอย่าไปใส่ใจอะไรกับเธอเลย
ฉินเฉิงก็พยักหน้า แม้ว่าปากของกงฮุ้ยมันจะไม่สามารถให้อภัยได้ แต่เค้าก็ไม่ใช่คนใจร้าย ฉินเฉิงก็แค่เจอเธอแค่ครั้งเดียวก็เท่านั้น
"ยังไงก็ตาม ฉันก็ได้ยินมาว่าจะมีการประมูลในเมืองจิงแล้วก็ยังมีถนนยาอีกด้วย พวกนายรู้เรื่องนี้ไหม?" ในตอนนี้เองฉินเฉิงก็ถามขึ้นมา
ชาหนิงก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า: "ในเมืองจิง ใครๆ ก็รู้จักสถานที่นี้ นายอยากจะไปซื้อของอย่างงั้นเหรอ?"
"อืม ฉันมีแผนอะไรบางอย่าง" ฉินเฉิงก็ตอบกลับ
"พี่ชาย ของที่นั่นมันราคาไม่ถูกเลยนะ" ชาหนิงก็พูดขึ้นมาเพื่อที่จะโน้มน้าวใจเล็กน้อย
"ไม่เป็นไร ฉันจะไปดูซะหน่อย" ฉินเฉิงก็ยิ้มขึ้นมา
ชาหนิงก็ตอบตกลง เค้ามองไปที่กงฮุ้ยแล้วถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า: "พรุ่งนี้เราก็ไม่มีธุระอะไรกันพอดีเลย จะไปเป็นเพื่อนพวกเค้าซะหน่อยไหม?"
กงฮุ้ยก็ขมวดคิ้วของเธอขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า: "มันมีอะไรน่าดูกัน ซื้อก็ซื้อไม่ไหว หาเรื่องจริงๆ เลย"
"อย่าพูดอย่างงั้นสิ มันไม่ง่ายเลยนะที่จะมาที่นี่ แน่นอนว่าฉันเองก็อยากที่จะไปดูสถานที่แบบนี้บ้าง" ชาหนิงก็ยิ้มขึ้นมา
กงฮุ้ยก็ไม่ได้พูดอะไร เธอยอม
ฉินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีกับชาหนิง คนๆ นี้มันไม่แสดงท่าทีแบ่งแยกเนื่องจากสถานะของเค้าเลย แถมยังช่วยฉินเฉิงพูดอีก
"ขอบคุณนะ" ฉินเฉิงก็พยักหน้าให้กับชาหนิง "ถ้าหากว่านายมีเรื่องต้องการความช่วยเหลือ ก็พูดออกมาได้เลยนะ"
ชาหนิงก็ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร กงฮุ้ยก็พูดขึ้นมาอย่างเย้ยหยันว่า: "แกมันก็แค่ไอ่คนล่อนจ้อน คนอย่างแกจะมาช่วยอะไรได้"
ฉินเฉิงก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ดังนั้นเค้าก็เลยเริ่มที่จะกินอาหาร
หลังจากที่กินข้าวแล้ว ชาหนิงกับฉินเฉิงก็นัดกันสำหรับวันพรุ่งนี้ จากนั้นพวกเค้าก็แยกกัน
"คุณฉิน พรุ่งนี้พวกเราจะไปที่ไหนกัน?" ชายที่มีแผลเป็นบนหน้าก็ถามขึ้นมา
ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาว่า: "หาที่พักสำหรับคืนนี้ก่อนก็แล้วกัน"
"ครับ" ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็ขานรับขึ้นมา
ฉินเฉิงก็ไม่ต้องการอะไรมากสำหรับสิ่งของอำนวยความสะดวกในโรงแรม เค้าแค่ต้องการหาสถานที่ๆ ห่างไกลแล้วก็เงียบสงบ เพราะยิ่งคนน้อยมันก็มีโอกาสที่จะชุบพลังได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่หากันอยู่กว่าสองชั่วโมง ในที่สุดพวกเค้าก็เลือกโฮมสเตย์ที่ย่านชานเมือง
"แม้ว่าเมืองจิงจะมีประชาการเป็นจำนวนมาก แต่มันก็ถูกล้อมไว้ด้วยภูเขาและแม่น้ำ พลังญาณของมันก็แข็งแกร่งกว่าที่เมืองปีนังเป็นอย่างมาก"
"ออกไปเดินรอบๆ เป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ" ฉินเฉิงก็พูดกับชายที่มีแผลเป็นที่หน้าขึ้นมา
"ครับ" ชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าก็ตอบรับ จากนั้นทั้งสองก็เดินออกไปจากที่พัก
มันมีดอกไม้และพืชพรรณไม้อยู่รายรอบระแวกนี้
"บรรยากาศมันดีมาก มันหายใจได้อย่างสดชื่น ฉันชอบที่ๆ เงียบสงบแบบนี้มากกว่าป่าคอนกรีตในเมืองเสียอีก" ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ราวกับว่าเค้ากำลังโอบกอดกับธรรมชาติ
"คนส่วนใหญ่ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ พวกเค้าต่างก็เป็นแบบนี้" ฉินเฉิงก็กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้เอง ฉินเฉิงก็เจอเข้าไปป่าหญ้าเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าเค้า มันเต็มไปด้วยสมุนไพรที่เขียวชะอุ่ม
แววตาของฉินเฉิงก็เป็นประกายขึ้นมา เค้ารีบเดินเข้าไป
"แม้ว่าสิ่งเหล่านี้มันจะเป็นเพียงแค่สมุนไพรทั่วไปก็เท่านั้น แต่ประสิทธิภาพของมันก็ไม่ได้แย่ไปกว่าร้านขายยาสมุนไพรจีน" ฉินเฉิงดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยวัตถุดับทางการแพทย์เหล่านี้ ฉินเฉิงสามารถที่จะกลั่นยาอายุวัฒนะได้ในเวลาเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้นมันก็อาจจะหยิบออกมาประมูลด้วยก็ได้