แซคคารีย์ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงสนทนากันภายในห้องพักฟื้นของตัวเอง ภาพแรกที่เขาเห็นก็คือใบหน้าของอลินดา ทำให้เขาเผลอครางชื่อของหล่อนออกไป แต่เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง ภาพนั้นก็จางหายไป เหลือไว้แต่ใบหน้าของนารีรัตน์ที่กำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่ไม่ห่าง
“นารีเองค่ะ ไม่ใช่ลินดา…”
“นี่ลูกยังจะไปนึกถึงผู้หญิงที่หนีตามชู้ไป และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกต้องมาบาดเจ็บเกือบตายแบบนี้อีกเหรอ”
แซคคารีย์ไม่ได้ตอบมารดา แต่เขาเลือกที่จะนิ่งเงียบ นารีรัตน์จึงเอ่ยถามอย่างเอาใจ
“คุณแซคหิวไหมคะ นารีจะไปปลอกส้มมาให้ค่ะ”
“ผมไม่ชอบกินส้ม”
“เอ่อ… นารีลืมไปค่ะ”
นารีรัตน์หน้าเจื่อนเมื่อถูกแซคคารีย์ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“คุณแม่ครับ เมื่อไหร่ผมจะได้กลับบ้านครับ”
“คงอีกสองสามวันนี้แหละพ่อแซค รอให้อาการภายนอกหายสนิทก่อน” คนเป็นแม่อธิบาย
“แต่ผมอยากกลับบ้านวันนี้หรืออย่างช้าก็พรุ่งนี้เลยครับ ผมไม่อยากอยู่โรงพยาบาลแล้ว ผมเบื่อ”
“แต่คุณแซคยังเดินไม่ได้นะคะ จะกลับไปได้ยังไงกัน แล้วถ้ากลับไปใครจะดูแลคะ” นารีรัตน์เอ่ยแย้งขึ้น
“ผมดูแลตัวเองได้ครับ นารี”
“พ่อแซคดูแลตัวเองไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าแม่จะให้หนูนารีไปดูแลในช่วงที่พ่อแซคยังต้องนั่งรถเข็นก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมดูแลตัวเองได้”
“แต่แม่เป็นห่วงนี่น่า ถ้าไม่ให้หนูนารีไปดูแล แม่ก็จะไปดูแลพ่อ แซคเอง”
เพราะไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้มารดาต้องมาลำบากลำบนด้วย ทำให้แซคคารีย์ไม่มีทางเลือก
“งั้นก็แล้วแต่คุณแม่เถอะครับ”
ทั้งแคทเธอรีนและนารีรัตน์ต่างยิ้มกริ่มอย่างถูกอกถูกใจ ตรงกันข้ามกับแซคคารีย์ที่นั่งหน้าบูดเต็มไปด้วยความหงุดหงิด คนที่เขาอยากเจอกลับไม่โผล่หน้ามาหาแม้แต่นิดเดียว
‘ฉันหายดีเมื่อไหร่ จะไปตามลากคอเธอกลับมา อลินดา’
สามวันต่อมา แซคคารีย์กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านของตัวเอง ชายหนุ่มยังคงนั่งรถเข็นเพราะว่าแม้จะถอดเฝือกอ่อนออกไปจากขาแล้ว แต่ก็ยังเดินไม่ถนัดเหมือนเมื่อก่อน และงานที่ต้องได้รับการเซ็นอนุมัติจากประธานกรรมการจะถูกส่งมาให้แซคคารีย์พิจารณาที่บ้านทั้งหมด และวันนี้แฮรี่ก็ขันอาสาจากวาเนสซ่าถือแฟ้มเอกสารมาหาแซคคารีย์ด้วยตัวเอง
“ทำไมเป็นคุณล่ะ แฮรี่”
แซคคารีย์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นแฮรี่มาแทนวาเนสซ่าเลขาของตัวเอง
“พอดีผมอยากมาเยี่ยมท่านประธานด้วยน่ะครับ ก็เลยขอคุณ วาเนสซ่ามาน่ะครับ”
แซคคารีย์ระบายยิ้มบางๆ ก่อนจะเชื้อเชิญ
“นั่งสิ”
“ขอบคุณครับ”
แฮรี่ทรุดตัวลงนั่งและมองไปรอบๆ ห้องทำงานของ แซคคารีย์และเอ่ยถาม
“ใครดูแลท่านประธานเหรอครับ”
“ผมดูแลตัวเองได้”
“แต่ท่านประธานยังนั่งรถเข็นอยู่เลยนะครับ” แฮรี่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ถึงผมจะนั่งรถเข็นอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้เป็นง่อยนี่น่า”
แฮรี่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเอ่ยออกไป
“คือผมแค่เป็นห่วงท่านประธานนะครับ เกรงว่าจะไม่มีใครดูแล”
แซคคารีย์หรี่ตาแคบมองคู่สนทนาอย่างคาดคั้น
“มีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะคุณแฮรี่ อ้อมค้อมแบบนี้ น่ารำคาญ”
“เอ่อ…”
“และอย่าบอกว่าไม่มีล่ะ เพราะผมมั่นใจว่าคุณไม่มีทางตั้งใจมาเยี่ยมเยียนผมอย่างเดียวหรอก จริงไหม”
แฮรี่มองหน้าแซคคารีย์อย่างทึ่งในไหวพริบและความช่างสังเกตของชายหนุ่ม
“คือผม… มีญาติห่างๆ อยู่คนหนึ่งน่ะครับ เธอจบพยาบาลมา และตอนนี้ก็ตกงาน ผมก็เลยอยากจะฝากให้มาทำงานกับคุณแซคน่ะครับ”
“จะให้ญาติของคุณมาดูแลผมอย่างนั้นหรือ”
“ก็ประมาณนั่นแหละครับ” แฮรี่พยักหน้าหงึกๆ “ผมอยากให้เธอมีประสบการณ์จริงในการดูแลคนป่วยน่ะครับ”
“แล้วถ้าผมปฏิเสธล่ะ”
แซคคารีย์ถามเสียงเยือกเย็น
“ถ้าท่านประธานปฏิเสธ ผมก็คงจะต้องให้ญาติของผมคนนี้ตกงานต่อไปเรื่อยๆ น่ะครับ”
สายตาของแฮรี่คล้ายกับจะบอกอะไรเขาสักอย่าง แต่เขากลับเดาไม่ออกว่ามันคืออะไร
“แล้ววันนี้คุณพาเธอมาด้วยหรือเปล่า”
“เธอรอผมอยู่ในรถครับ”
“ไปพามาพบผม”
“งั้นก็แสดงว่าญาติของผมได้งานใช่ไหมครับ” แฮรี่ตอบเสียงมีความหวัง
“ผมยังให้คำตอบไม่ได้ จนกว่าจะได้เห็นหน้าญาติของคุณ”
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมมานะครับ”
แฮรี่ลุกเดินออกไปจากห้องทำงานกว้างแล้ว ผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็ขยับตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินอย่างสง่างามตรงไปหยุดที่ขอบหน้าต่างบานใหญ่ของห้องทำงาน ดวงตาสีสนิมจ้องมองออกไปยังรถเก๋งราคาแพงของ แฮรี่ที่จอดอยู่ลานหน้าตึกใหญ่ กรามแกร่งขบกันแน่นจนขึ้นสันนูนเป่ง
เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินตามหลังแฮรี่เข้ามาภายในห้องทำงานของแซคคารีย์อีกครั้ง
“ผมพาญาติของผมมาแล้วครับท่านประธาน”
คำพูดของแฮรี่ทำให้ผู้ชายเจ้าของดวงตาสีสนิมเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มงาน และจ้องไปยังร่างอรชรของผู้หญิงคนหนึ่งที่หลบอยู่ด้านหลังของแฮรี่
“ไหน มายืนใกล้ๆ ฉันหน่อยสิ”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังไม่ยอมขยับเขยื้อน แฮรี่ที่กลัวความลับจะแตกก็รีบพูดเร่งเร้าขึ้น
“ท่านประธานเรียกให้ไปยืนใกล้ๆ น่ะแก้ว ไปสิครับ”
“เอ่อ… ค่ะ…”
อลินดาในคราบของแก้วตาก้าวออกมาจากด้านหลังของแฮรี่ ก่อนจะเงยหน้าอัปลักษณ์ของตัวเองขึ้นมองแซคคารีย์ หล่อนคาดคิดว่าจะได้เห็นความตกใจบนใบหน้าหล่อเหลา แต่กลับไม่เห็นมันเลยสักนิด หรือว่าหล่อนแต่งหน้าให้อัปลักษณ์ยังไม่พอนะ
“ชื่อแก้วหรือ”
“ค่ะ”
อลินดาจำต้องดัดเสียงให้แตกต่างจากสุ่มเสียงเดิมของตัวเอง
“แล้วเธอทำอะไรเป็นบ้างล่ะ จบพยาบาลมาใช่ไหม”
“เอ่อ… แก้วทำได้ทุกอย่างค่ะ”
ริมฝีปากหยักสวยของแซคคารีย์เหยียดยิ้มหยัน “ทำได้ทุกอย่างก็ดีแล้ว จะได้ใช้ง่ายๆ”
แฮรี่เห็นแซคคารีย์เอาแต่จ้องหน้าอลินดาคล้ายกับจับผิดก็พยายามจะแก้ไขสถานการณ์
“งั้นผมจะให้แก้วมาทำงานพรุ่งนี้นะครับท่านประธาน”
“ไม่จำเป็นต้องพรุ่งนี้หรอก เริ่มงานวันนี้เลยดีกว่า”
ทั้งแฮรี่และอลินดาหันหน้าไปมองกันด้วยความตื่นตกใจเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาล่วงหน้า
“แต่แก้วยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่ของเธอเลยครับ ผมว่า…”
“คุณก็ไปบอกแทนสิ ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่ จริงไหมแก้ว”
แซคคารีย์จ้องมองผู้หญิงที่ทาหน้าซะดำเป็นถ่าน แถมยังมีไฝเม็ดโตติดอยู่กลางหน้าผากอีกสามเม็ดด้วยสายตาที่อ่านความรู้สึกไม่ออก
“เอ่อ… ค่ะ”
“งั้นก็ตามนี้แหละ เอานี่คุณแฮรี่ ผมเซ็นเอกสารเสร็จแล้ว เอากลับไปให้คุณวาเนสซ่าด้วย”
แฮรี่รีบยื่นมือไปรับแฟ้มเอกสารจากมือของแซคคารีย์ และก็อดที่จะหันไปมองอลินดาอย่างเป็นห่วงไม่ได้ แต่หญิงสาวส่งสัญญาณทางสายตามาบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เขาจึงเบาใจขึ้นเล็กน้อย
“งั้นผมฝากแก้วด้วยนะครับ”
“สบายใจได้คุณแฮรี่ ผมจะดูแลญาติของคุณเป็นอย่างดี”
ทำไมน้ำเสียงของแซคคารีย์ฟังดูดุกระด้างแปลกๆ แบบนี้นะ อลินดารู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
แซคคารีย์รอจนแฮรี่เดินออกไปแล้ว จึงเรียกให้อลินดาในคราบของหญิงอัปลักษณ์ที่ชื่อแก้วให้เข้ามาประคองตัวเอง
“ฉันจะไปห้องน้ำ”
“เอ่อ… ค่ะ” อลินดาจำต้องเดินเข้าไปช่วยประคองให้แซคคารีย์ลุกขึ้นจากรถเข็น และพยุงผู้ชายตัวใหญ่ให้เดินตรงไปยังห้องน้ำอย่างทุลักทุเลเป็นที่สุด ระหว่างทางก็เซจะล้มนับครั้งไม่ถ้วน
“เอ่อ… แก้วรอข้างนอกนะคะ”
“นี่เธอจะปล่อยฉันให้อยู่ในห้องน้ำคนเดียวได้ยังไงกัน ฉันขาไม่ดี เธอก็รู้นี่”
“แต่… คุณแซคจะทำธุระส่วนตัวนี่คะ” อลินดาหน้าแดงก่ำ แต่เขามองไม่เห็นมันหรอก เพราะหล่อนเอาสีดำทาเอาไว้จนมืดมิด
“เธอเป็นพยาบาลไม่ใช่หรือ ทำไมถึงอายกับเรื่องแบบนี้ หรือว่าแฮรี่โกหกฉัน แท้จริงแล้วเธอเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ”
“เอ่อ… ไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่ค่ะ”
“ถ้าไม่ใช่ก็มาช่วยฉันสิ ฉันกำลังจะฉี่”
“แต่…”
“แต่อะไรอีกล่ะ”
อลินดาไม่มีทางเลือก จำต้องเดินเข้าไปหาเขา และโน้มตัวลงดึงขอบกางเกงขายาวผ้ายืดของแซคคารีย์ลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็จับความเป็นชายของเขาที่หล่อนคุ้นเคยเป็นอย่างดีออกมาทำธุระจนเสร็จ
“ล้างให้ด้วย”
“คะ?”
“อ้าว ฉันฉี่เสร็จแล้วก็ต้องล้าง ฉันเป็นคนรักความสะอาด”
“ตะ แต่… มือของคุณแซคยังใช้ได้นี่คะ” อลินดาลืมตัวเถียงออกไป ก่อนจะถูกตอกกลับมา
“นี่เป็นคำสั่งของฉัน หรือว่าเธอจะไม่ทำตาม”
“ทะ ทำค่ะ”
อลินดาหน้าแดงแล้วหน้าแดงอีก ที่ต้องจับท่อนชายของแซคคารีย์ครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ แต่พ่อเจ้าประคุณสิ ดูจะมีความสุขเหลือเกิน ไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย คงชอบให้ผู้หญิงจับสิท่า นี่ขนาดหล่อนทาหน้าเสียดำปี๊ดปี๋นะ
พอหล่อนทำความสะอาดให้กับท่อนชายชาตรีที่ใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลงของแซคคารีย์เสร็จ หล่อนก็ต้องพยุงคนตัวโตออกมาจากห้องน้ำ และพาไปนั่งบนรถเข็นตามเดิม แต่ละหว่างทางเขาทิ้งตัวมาที่หล่อนหนักเกินไป ทำให้ร่างของหล่อนเสียหลักล้มหงายลงไปบนพื้นห้อง โดยมีเขาทาบทับลงมาทั้งตัว
จังหวะนั้นราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ดวงตาสีสนิมที่สบประสานมานั้นราวกับมีเวทมนต์ขลัง มันทำให้หล่อนอ่อนระทดระทวยทั้งตัว หัวใจก็เต้นแรงโครมคราม แต่แล้วมนต์ขลังก็ถูกทำลายจนหมดเกลี้ยงเมื่อประตูห้องทำงานของแซคคารีย์ถูกกระชากเปิดออก พร้อมๆ กับเสียงกรีดตกใจของ นารีรัตน์
“ว๊ายยย ทำอะไรกันน่ะ”
อลินดาได้สติรีบพลิกตัวลุกขึ้นและพยุงร่างหนักอึ้งของแซคคารีย์ขึ้นจากพื้น พาไปนั่งบนรถเข็นได้สำเร็จ แต่กระนั้นก็หอบแฮ่กเลยทีเดียว
“คุณแซคคะ นังหน้าดำนี่มันเป็นใครคะ” นารีรัตน์จ้องหน้าอลินดาที่ทาหน้าดำด้วยความไม่พอใจ
“พยาบาลของผมเอง” แซคคารีย์ตอบเสียงเรียบอย่างไม่ใส่ใจกับความโมโหของอีกฝ่ายเลย
“คุณแซคไปแอบจ้างมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แล้วทำไมต้องไปจ้างมันด้วย ในเมื่อนารีก็คอยดูแลคุณอยู่ทั้งคน”
“ผมไม่เคยทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ ผมทำทุกอย่างเปิดเผยเสมอ”
“นารีหมายถึง… เมื่อวานนารียังไม่เห็นมันน่ะค่ะ”
“ผมเพิ่งจ้างแก้วมาวันนี้” แซคคารีย์ปรายตามองหน้านารีรัตน์ด้วยสายตาห่างเหิน “ต่อไปนี้คุณก็ไม่ต้องลำบากมาคอยดูแลผมแล้วนะนารี เพราะผมมีคนดูแลแล้ว”
“นังหน้าดำเนี่ยนะคะ ยี้ ขยะแขยง” นารีรัตน์ทำหน้าจะอ้วกกับความอัปลักษณ์ของผู้หญิงหน้าดำที่ตัวเองเห็น
อลินดาก้มหน้างุดไม่พูดจาโต้ตอบ
“ใช่ครับ ยังไงผมก็ขอบคุณคุณมากที่คอยแวะมาดูแลผม”
“ก็ที่นารีทำลงไปทุกอย่างก็เพราะนารีรักคุณนี่คุณแซค”
แซคคารีย์ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากระบายยิ้ม และนั่นก็ทำให้ นารีรัตน์หันมาพูดกับหญิงหน้าดำ
“แกดูแลคุณแซคให้ดีนะ แล้วอย่าเอาความดำมืดของแกไปทำให้คุณแซคแปดเปื้อนล่ะ”
“ค่ะ” อลินดาตอบรับสั้นๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้นารีรัตน์ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ฉันว่าเสียงแกคุ้นหูนะ นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน”
“เสียงคนเหมือนกันเยอะแยะไปนารี” แซคคารีย์แย้งขึ้น “ว่าแต่คุณกินข้าวมาหรือยังล่ะ”
“ยังเลยค่ะคุณแซค” นารีรัตน์ดีใจที่แซคคารีย์เอ่ยถาม เพราะก่อนหน้านี้เขาจะไม่สนใจหล่อนเลยแม้แต่น้อย
“ผมหิวพอดี งั้นเราไปกินข้าวกัน”
“ค่ะ คุณแซค” นารีรัตน์ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “งั้นนารีจะพาคุณแซคไปห้องอาหารเองนะคะ”
เมื่อแซคคารีย์พยักหน้ารับ นารีรัตน์ที่ลิงโลดด้วยความดีใจก็เข็นรถเข็นของแซคคารีย์ออกไปจากห้องทำงานทันที
อลินดามองตามไปด้วยดวงตาที่มีหยาดน้ำตาคลอเบ้า แต่แล้วก็ต้องรีบกะพริบตาถี่ๆ เมื่อมีเสียงคนเดินมาหยุดด้านหลัง หล่อนหันไปมองก็พบว่าเป็นสาวใช้
“คุณแซคให้มาพาคุณไปที่ห้องพักค่ะ”
“เอ่อ ค่ะ…”
อลินดาเดินตามร่างสาวใช้ออกไปจากห้องทำงานของแซคคารีย์ คิดว่าสาวใช้จะพาไปที่เรือนคนรับใช้ แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้น
“ให้ฉัน… พักที่ห้องนี้เหรอจ๊ะ”
สาวใช้พาหล่อนมาหยุดที่หน้าประตูห้องพักที่อยู่ติดกับห้องนอนของแซคคารีย์
“ใช่ค่ะ นี่เป็นคำสั่งของคุณแซค”
“แต่ว่า…”
อลินดารู้สึกหวาดหวั่น หรือว่าแซคคารีย์จะจำหล่อนได้ แต่ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้หรอก ในเมื่อนารีรัตน์พี่สาวแท้ๆ ยังจำหล่อนไม่ได้เลย
“คุณแซคคงคิดว่าถ้าคุณพยาบาลอยู่ใกล้ๆ น่าจะเรียกใช้ได้สะดวกมากกว่าอยู่ไกลๆ น่ะค่ะ”
คำพูดของสาวใช้ทำให้อลินดาคล้อยตาม หล่อนพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในห้องกว้างนั้น
“ถ้าขาดเหลืออะไร เรียกดิฉันได้ทุกเวลาเลยนะคะ”
“ขอบใจจ้ะ”
สาวใช้เดินออกไปแล้ว อลินดาจึงเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ ตัว ก่อนจะร้องไห้ออกมา
“ทำไมฉันถึงตัดใจจากคุณไปไม่ได้สักทีนะคุณแซค ทั้งๆ ที่เราไม่ควรที่จะพบกันอีก…”
มือเล็กยกขึ้นปิดหน้าร่ำไห้ ร้องไห้ด้วยความทุกข์ทรมานปิ่มจะขาดใจ
MANGA DISCUSSION