ภรรยาคั่นเวลา ชุด Sweet temptations - ตอนที่ 39
ความหวังของแซคคารีย์พังทลายลงในพริบตา เมื่อเขาได้ยินคำพูดจากปากของอุบลซึ่งเป็นมารดาของนารีรัตน์และอลินดาเต็มสองหู
“คุณน้า… ว่ายังไงนะครับ”
“ลินดามันหนีตามผู้ชายไปแล้วล่ะ”
“ไม่จริงครับ” เขาจำได้ว่าตัวเองแย้งไปเสียงเบาหวิว ในขณะที่อุบลย้ำชัดอีกครั้งด้วยคำพูดเดิม
“ทำไมจะไม่จริงล่ะ ก็น้าเห็นกับตา คุณแซคอย่าไปยุ่งกับนังลูกไม่รักดีคนนี้อีกเลย”
“ผมไม่เชื่อครับ ยังไงก็ไม่เชื่อ”
เขาไม่มีทางเชื่อหรอกว่าอลินดาจะทำแบบนี้กับเขา หล่อนจะต้องถูกครอบครัวบังคับให้ทำอย่างแน่นอน เพราะเขารู้ว่าอลินดาคือลูกชังของคนในครอบครัวนี้
“งั้นก็อ่านจดหมายนี่ซะ คุณแซคจะได้ตายสว่างเสียที”
กระดาษสีขาวขนาดครึ่งเอสี่ถูกยื่นมาตรงหน้าของเขา และรายมือของอลินดาที่เขาจำได้ดี เพราะมันเป็นรายมือเดียวกันกับรายมือบนโปสการ์ดที่ส่งให้เขาในทุกๆ ปีไม่เคยขาด ซึ่งความจริงนี้เขาก็เพิ่งได้รู้เมื่อไม่นานมานี้เอง
แซคคารีย์ยื่นมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ และไล่สายตาไปตามตัวหนังสือแสนคุ้นตาทีละตัว ซึมซับกับคำร่ำลาของอลินดาด้วยหัวใจที่ปวดร้าวทรมาน
นี่เขา… รักอลินดาอย่างนั้นหรือ…
เมื่อถูกพรากจาก ความจริงที่หัวใจพยายามซ่อนเร้นมานานก็ระเบิดขึ้น
“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าลินดาจะทำแบบนี้กับคุณแซคได้ ช่างเป็นผู้หญิงที่จิตใจชั่วร้ายจริงๆ เลย” นารีรัตน์ได้ทีก็รีบเหยียบขยี้น้องสาวด้วยคำพูดร้ายกาจทันที พลางขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม และวางมือลงบนท่อนแขนกำยำ และปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะคะคุณแซค ปล่อยผู้หญิงไม่รู้จักพอคนนั้นไปเถอะ ยังไงคุณก็ยังมีนารีอยู่ทั้งคน…”
แซคคารีย์สะบัดแขนของตัวเองออกจากมือของนารีรัตน์แรงๆ ก่อนจะเค้นเสียงกระด้างลอดไรฟันออกมา
“ผมไม่มีทางเชื่อว่าอลินดาจะทำแบบนี้กับผม”
“แต่คุณแซคก็เห็นแล้วนี่คะว่ามันเขียนจดหมายลาคุณเอาไว้จริงๆ แถมยังบอกอีกว่าไปกับชู้รัก”
แซคคารีย์ตวัดตาจ้องมองนารีรัตน์ สายตาของเขากระด้างดุดันจนนารีรัตน์เสียวสันหลังวาบ
“ผมรู้ว่าอลินดาเขียนจดหมายใบนี้จริง เพราะผมจำลายมือของเธอได้”
“คุณแซคหมายถึง…”
“โปสการ์ดที่ส่งหาผมทุกปี ปีละหลายๆ ครั้ง ก็ถูกเขียนด้วยลายมือนี้แหละ”
แซคคารีย์จ้องหน้านารีรัตน์เขม็ง “ซึ่งมันเป็นลายมือของอลินดา ไม่ใช่คุณ นารีรัตน์”
“เอ่อ…” นารีรัตน์หน้าซีดเผือด “คือว่านารี…”
“เอาเป็นว่าไม่ต้องแก้ตัวแล้วล่ะ ผมรู้ทุกความลับของคุณทั้งหมดแล้ว แต่ที่ผมไม่พูดอะไรออกมาก็เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ดังนั้นได้โปรดอย่ามายุ่งกับผมอีกเลย นารี ผมขอร้องล่ะ”
นั่นไง หล่อนคิดเอาไว้อยู่แล้วเชียวว่าที่แซคคารีย์หมดรักในตัวของหล่อนเร็วแบบนี้ ก็เพราะเขารู้ความจริงทุกอย่างแล้วนั่นเอง ซึ่งคนเปิดเผยความลับนี้ก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อลินดา นังน้องสาวทรยศนั่นเอง
นารีรัตน์กำมือทั้งสองข้องที่ทิ้งอยู่ข้างตัวแน่น ดวงตามีน้ำตาแห่งความคลั่งแค้นเอ่อล้น
“ถึงไม่มีนารี แต่คุณแซคก็ไม่มีทางได้สมหวังกับนังลินดาหรอก เพราะมันหนีตามชู้ไปแล้ว”
แซคคารีย์ไม่พูดอะไรออกมาอีก เขาหมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถ และขับออกไปอย่างรวดเร็ว
นารีรัตน์มองตามไปด้วยความแค้นเคือง
“ถ้ากูไม่มีความสุข ก็อย่าหวังเลยว่าใครจะมีความสุข”
“นารี… ลูกพูดอะไรน่ะ”
อุบลผู้เป็นมารดาเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
“อย่าทำอะไรไม่ดีนะลูก นี่แม่ก็ช่วยไล่ลินดามันไปแล้ว ใจเย็นๆ นะลูกรักของแม่”
อุบลดึงร่างของนารีรัตน์ที่สั่นเกร็งเพราะความแค้นเข้าไปกอด หวังว่าอ้อมอกของตัวเองจะช่วยดับไฟริษยาในใจของลูกสาวคนโตให้มอดลงได้ แต่กลับไม่ใช่เลยสักนิด เพราะสมองของนารีรัตน์กำลังวางแผนขั้นต่อไปอยู่เงียบๆ
หยาดน้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้ม หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายทิ้งอย่างต่อเนื่อง ความทรงจำที่มีร่วมกันกับแซคคารีย์มันคือผีบ้าที่ตามหลอกหลอนจนปวดร้าวทรมาน ความเสียใจแล่นพล่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ความจริงที่ไม่เคยปฏิเสธได้ก็คือหล่อนตกหลุมรักแซคคารีย์จนหมดหัวใจ และยิ่งตกเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว หัวใจก็ยิ่งถลำลึกลงไปในบ่วงเสน่หาจนยากที่จะถอนตัวถอนใจ
อลินดายกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้งอีกครั้ง เมื่อใกล้เวลาที่จะต้องขึ้นรถโดยสารประจำทางเพื่อเดินทางไกล แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้นเดินไป จอโทรทัศน์ในสถานีขนส่งก็มีข่าวด่วนขึ้นมาเสียก่อน
‘รถสปอร์ตหรูของนักธุรกิจหนุ่มสัญชาติกรีซเสียหลักพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ข้างทาง อาการของคนขับสาหัส ตอนนี้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่สันนิฐานว่าน่าจะเกิดจากการขับรถเร็วและถนนที่ลื่นเพราะฝนตกหนัก ความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบอีกในข่าวภาคเที่ยงค่ะ’
แม้ในข่าวจะไม่ได้บอกชื่อว่านักธุรกิจหนุ่มคนนั้นเป็นใคร แต่หล่อนจำรถได้ดี รถสปอร์ตคันนี้เป็นคนเดียวกับรถสปอร์ตคู่ใจที่แซคคารีย์ขับไปไหนมาไหนเป็นประจำ
ร่างอรชรทรุดฮวบลงกองกับพื้นด้วยความตกใจ หล่อนพูดไม่ออก น้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา กลีบปากสั่นระริก ภาวนา… ภาวนาให้แซคคารีย์ปลอดภัย
“คุณแซค… คุณต้องไม่เป็นอะไรนะคะ”
“น้องสาว รถจะออกแล้วนะครับ”
เสียงของพนักงานรถโดยสารดังขึ้น หล่อนรีบป้ายน้ำตาทิ้ง และลุกขึ้นยืน
“ไม่ไปแล้วค่ะ ขอโทษนะคะ”
หล่อนตอบไปเสียงเบาหวิว ก่อนจะเดินออกจากสถานีขนส่งด้วยสภาพของคนที่ไร้วิญญาณ
นารีรัตน์ที่กำลังจะโทรติดต่อหามือปืนเพื่อให้ตามไปฆ่า อลินดาชะงักเล็กน้อย เมื่อประตูห้องนอนถูกทุบเสียงดัง พร้อมกับเสียงตื่นตกใจของมารดาที่ดังขึ้น
“มีอะไรแม่”
นารีรัตน์เดินไปกระชากประตูให้เปิดออก และถามมารดาออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“นี่ลูกรู้ข่าวคุณแซคหรือยัง”
นารีรัตน์ที่กำลังโกรธแซคคารีย์กระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะเบ้หน้า
“ไม่รู้หรอกแม่”
“คุณแซคประสบอุบัติเหตุรถคว่ำน่ะ ตอนนี้อาการสาหัสเลยทีเดียว”
“ว่าไงนะแม่ คุณแซครถคว่ำ”
“ใช่ เห็นว่าพุ่งชนต้นไม้ รถพังยับเลยล่ะ โชคดีที่ยังไม่ตาย”
นารีรัตน์หน้าซีดเผือด
“แล้วตอนนี้คุณแซคอยู่โรงพยาบาลไหนแม่ ฉันจะเยี่ยม”
“แกจะไปทำไม ในเมื่อเขาก็บอกแล้วนี่ว่าไม่ได้รักแกแล้ว”
คำเตือนสติของมารดาทำให้นารีรัตน์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ
“ก็ถ้าฉันไปดูแลเอาใจใส่ คุณแซคก็อาจจะกลับมารักฉันเหมือนเดิมก็ได้นี่แม่”
“ที่เขารักลูกก็เพราะเขาคิดว่าลูกคือคนที่ส่งข้าวของ ส่งคำอวยพรไปให้เขาตอนที่เขาอยู่ที่กรีซไม่ใช่เหรอ”
สิ่งที่มารดาพูดมันคือความจริง แต่นารีรัตน์ไม่เคยคิดจะยอมรับมันแม้แต่น้อย
“แต่ถ้าฉันไปดูแลตอนที่เขาป่วย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คุณแซคก็จะหันมามองฉันเหมือนเดิมนั่นแหละแม่ ถ่านไฟเก่าน่ะมันคุง่ายจะตายไป”
เมื่อลูกสาวสุดที่รักพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ อุบลก็ไม่อยากจะขัดขวาง
“ก็ตามใจเถอะ แม่ก็ขอให้ลูกสมหวังสักที อย่าได้มีเหตุการณ์อะไรมาทำให้ต้องผิดหวังอีกเลย”
คำพูดของมารดาทำให้นารีรัตน์อดแค้นเคืองไปถึงกฤติชัยไม่ได้ เพราะถ้ามันไม่จับตัวหล่อนไป ป่านนี้หล่อนกับ แซคคารีย์ก็คงจะมีความสุขกันมากมายแล้ว
“แม่ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ไอ้คนเลวนั่นมันไม่ได้อยู่รกโลกนี้แล้วล่ะ”
“นารี ลูกพูดอะไรน่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ ฉันขอตัวไปหาคุณแซคก่อนนะ”
อุบลมองตามร่างของลูกสาวที่รีบร้อนเดินออกไปด้วยความไม่สบายใจ
นี่หล่อนกับสามีเลี้ยงลูกมาแบบผิดๆ หรือเปล่านะ นารีรัตน์ถึงได้แพ้ไม่เป็นแบบนี้