วันนั้นทั้งวันหล่อนนอนซมร้องไห้จนผล็อยหลับไปไม่รู้ตัว มาสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ก็ตอนที่ประตูห้องนอนถูกเขย่าแรงๆ และก็มีเสียงของมารดาดังขึ้น
“ลินดา… นังลินดา เปิดประตูหน่อย”
หล่อนที่ยังงัวเงียและหัวหนักอึ้งรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบตะโกนตอบแม่ออกไป
“แปบจ้ะแม่”
อลินดากัดฟันลุกจากเตียง เดินโซซัดโซเซไปเปิดประตู และทันทีที่ประตูเปิดกว้างออก ก็พบว่ามารดายืนหน้าถมึงทึงอยู่ ดวงตาของแม่ที่มองหล่อนแทบจะถลนออกจากเบ้าเลยทีเดียว
นี่แม่โกรธเคืองอะไรหล่อนอีกนะ
“แม่… มีอะไรกับฉันเหรอจ๊ะ”
“แกจะมาที่นี่ ทำไมไม่บอกคุณแซคให้เรียบร้อย ต้องให้เขาถ่อสังขารมาตามถึงที่นี่ หรือว่าแกเป็นพวกชอบเรียกร้องความสนใจ หึ นังลินดา”
“คุณแซค… มาเหรอจ๊ะ”
“หึ ดีใจจนออกนอกหน้าเชียวนะ แต่แกลืมอะไรไปหรือเปล่านังลินดา ผู้ชายคนนี้เป็นของนารี ส่วนแกก็เป็นได้แค่เจ้าสาวแก้ขัด หรือไม่ก็เมียคั่นเวลาเท่านั้นแหละ”
คนถูกกล่าวหาหน้าตาร้อนผ่าว ความอัปยศอดสูแล่นพล่านเข้าสู่หัวใจอย่างอำมหิต
แม่พูดถูกต้องทุกอย่าง จนหล่อนเถียงไม่ออกเลยทีเดียว
“ฉันขอโทษจ้ะแม่ ฉันจะออกไปคุยกับคุณแซคเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ”
“เอากระเป๋าสะพายติดมือมาด้วย เพราะคุณแซคมารับแกกลับไปที่บ้านของเขา”
คนเป็นลูกส่ายหน้าไปมา “ฉันอยากจะค้างที่บ้านของเราสักคืนสองคืนน่ะแม่”
“ก็ไปตกลงกับคุณแซคเองก็แล้วกัน”
แล้วแม่ของหล่อนก็สะบัดหน้าเดินจากไป หล่อนทำได้แค่เพียงก้าวออกไปจากห้องนอนเท่านั้น ระหว่างทางก็สวนกับพ่อที่เพิ่งกลับมาจากการตามหานารีรัตน์
“พ่อเพิ่งกลับมาเหรอจ้ะ”
“อืม” บิดาตอบเย็นชามาก
“งั้นเดี๋ยวลินดาไปเอาน้ำเย็นๆ มาให้นะจ๊ะ”
“ไม่ต้องหรอก แกออกไปพบคุณแซคเถอะ และก็พยายามอย่าสร้างความเดือดร้อนมาให้พวกฉัน เข้าใจไหม”
หล่อนน้ำตาแทบจะไหล แต่ก็สะกดกลั้นเอาไว้ “ฉันจะไม่ทำให้พ่อกับแม่เดือดร้อนหรอกจ้ะ”
พ่อของหล่อนปรายตามองหล่อนซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้า และเดินจากไปอย่างไม่ไยดี
หล่อนเอี้ยวตัวมองตามหลังบิดาไปด้วยความเสียใจ น้ำตาไหลรินมากมายจนต้องยกมือขึ้นป้ายมันทิ้ง
พอตั้งสติอยู่สักพักหนึ่งแล้ว ก็ตัดสินใจออกไปพบแซคคารีย์ที่สนามหญ้าเล็กๆ หน้าบ้าน
“ฉันอนุญาตให้เธอมาที่นี่อย่างนั้นหรือ!”
พอออกมาถึงเท่านั้นแหละ แซคคารีย์ก็ฟาดฟันหล่อนด้วยโทสะร้ายในทันที
“คือ… ฉันก็แค่คิดถึงบ้านค่ะ”
“คิดถึงแล้วยังไง” เขาก้าวเท้าเข้ามาหาด้วยท่าทางคุกคาม และก็เป็นหล่อนเองที่ต้องถดถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ
“ก็เพราะคิดถึงบ้านยังไงล่ะคะ ฉันจึงตั้งใจมาค้างคืนที่นี่”
เขาแค่นยิ้มหยัน มองหล่อนด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้เธอคือใครในบ้านของฉัน”
หล่อนเชิดหน้าสูง
“ฉันไม่เคยลืมหรอกค่ะว่าตัวเองเป็นใครที่บ้านของคุณแซค แต่ฉันก็ต้องมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้างถูกต้องไหมคะ”
“ไม่ถูกต้อง เพราะตราบใดที่เธอยังคงแสดงตัวเป็นนารี เธอก็ต้องอยู่ที่บ้านของฉันทุกคืน ห้ามกระแดะมานอนบ้านของตัวเอง แม้ว่าเธอจะอยากกลับมาแทบขาดใจก็ตาม”
วาจาของแซคคารีย์ไม่เคยอ่อนโยนกับหล่อนเลยแม้แต่น้อย เขากล่าวหา ด่าทอหล่อนตลอดเวลา ทำทุกครั้งที่มีโอกาส จนบางครั้ง หล่อนก็อยากจะหนีไปให้ไกลแสนไกล ไม่ต้องพบเจอคนใจร้ายเหล่านี้
“สักวันฉันจะเดินเข้าป่าค่ะ”
“พูดบ้าอะไรของเธอ”
หล่อนจ้องหน้าเขม็ง มองผ่านม่านน้ำตา
“ก็จะได้ไม่ต้องเจอคนใจร้ายใจดำไม่ต่างจากอีกาอย่างคุณแซคยังไงล่ะคะ”
หล่อนเห็นเขาอึ้งไปเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ระบายยิ้มหยันเยาะออกมาเกลื่อนใบหน้า
“ไม่ว่าเธอจะอยากเดินเข้าป่า หรืออยากเดินลงทะเล แต่จิตใจสกปรกของเธอก็จะทำให้เธอร้อนรุ่มด้วยความอิจฉาริษยา และไม่มีทางอยู่เป็นสุขได้หรอก อลินดา”
หล่อนอยากจะเกลียดเขานัก เกลียดผู้ชายวาจาร้ายกาจอย่างแซคคารีย์ แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จสักที
เขาร้ายกาจมาก แต่หล่อนก็ยังหลงรัก…
“ด่าพอใจหรือยังคะ ฉันจะได้กลับไปนอน”
“เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ต้องกลับไปกับฉันเดี๋ยวนี้”
แซคคารีย์คว้าแขนเรียวของอลินดาเอาไว้แน่น ไออุ่นจากอุ้งมือใหญ่มีผลต่อระบบความรู้สึกของหญิงสาวมหาศาลนัก
“ขอฉันค้างที่บ้านสักคืนเถอะค่ะ ฉันเบื่อที่จะต้องนอนขดตัวอยู่ในห้องน้ำแล้ว”
“เสียใจด้วย เพราะฉันไม่อนุญาต”
อลินดาถอนใจออกมาแรงๆ “ถึงคุณแซคไม่อนุญาต แต่ฉันก็ไม่สนใจหรอกค่ะ นี่มันคือชีวิตของฉัน ลมหายใจของฉัน อย่ามาคุกคามกันดีกว่า” แขนเล็กสะบัดแรงๆ จนหลุด “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
หล่อนก้าวเร็วๆ จะเดินหนีเข้าบ้าน แต่ก็ชนเข้ากับร่างของมารดาที่ในมือถือกระเป๋าสะพายของหล่อนเข้าอย่างจัง
“อุ๊ย… ขอโทษจ้ะแม่”
อุบลจ้องหน้าลูกสาว ก่อนจะยัดกระเป๋าสะพายใส่มือให้อย่าง เผด็จการ “กลับไปกับคุณแซคได้แล้ว หรือแกอยากให้คนอื่นรู้ว่านารีหายไปจากงานแต่ง และผู้หญิงคนที่แต่งงานในคืนนั้นคือแก นังลินดา”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะแม่”
“ถ้าแกไม่ได้คิดร้ายอะไรกับนารี แกก็ต้องกลับไปอยู่กับคุณแซค แสดงละครเป็นนารี จนกว่านารีจะกลับมา”
“แต่ฉัน…”
“ไปได้แล้ว”
มารดาผลักร่างของหล่อนแรงๆ และก็กระชากประตูบ้านปิดใส่หน้า อลินดาน้ำตาร่วง แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าชาชินกับสิ่งที่บิดามารดาแสดงออกแล้ว แต่แท้จริงหล่อนก็ยังอดน้อยใจกับความลำเอียงที่ได้รับไม่ได้
“ได้ยินแม่เธอพูดแล้วใช่ไหม ไปขึ้นรถ” แซคคารีย์เดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ
อลินดารีบยกหลังมือขึ้นป้ายน้ำตา “ค่ะ” หล่อนตอบรับเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มไปทันที
แซคคารีย์เลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นทีท่าของอุบลที่แสดงต่ออลินดา แต่เขาก็ไม่คิดจะค้นหาคำตอบใดๆ นอกจากเดินกลับไปขึ้นรถ และขับออกไป
คืนนั้นหล่อนก็ยังคงถูกขับไสไล่ส่งให้ไปนอนในห้องน้ำเหมือนเช่นทุกคืนที่ผ่านมา หล่อนเคยคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับตัวเองที่ต้องมาพบเจอกับเรื่องร้ายแบบนี้ แต่พอนานเข้าความรู้สึกชินชาก็เกิดขึ้น และทำให้หล่อนก้มหน้ายอมรับความจริงอย่างปลงตก
หญิงสาวมองตัวเองที่แต่งหน้าจัดตามแบบฉบับของนารีรัตน์ที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาผ่านม่านน้ำตา ก่อนจะรีบยกหลังมือขึ้นเช็ด เมื่อแซคคารีย์เปิดประตูห้องนอนเข้ามา
“แต่งตัวเสร็จหรือยัง ฉันมีงานต้องทำนะ”
“เอ่อ… เสร็จแล้วค่ะ”
หล่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้สตูลหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมาคล้องไหล่
แซคคารีย์หรี่ตาแคบมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างพิจารณา และก็ได้บทสรุปว่า ถึงแม้อลินดาจะแต่งหน้า และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามรสนิยมของนารีรัตน์แค่ไหน แต่ผู้หญิงคนนี้ก็แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
สะโพกผาย เอวคอดกิ่ว หน้าอกหน้าใจที่พุ่งดันเสื้อตัวสวยออกมาก็บอกให้รู้ว่าเจ้าหล่อนมีปทุมถันที่ใหญ่น่าดูเลยทีเดียว เจ้าหล่อนมีความเป็นอิสตรีเพศไปทั้งเนื้อทั้งตัว และยวนใจยิ่งนัก ยิ่งพิศก็ยิ่งมองเห็นเสน่ห์ แต่…
หล่อนไม่ใช่นารีรัตน์คนรักของเขา และหล่อนก็อาจจะมีส่วนพัวพันกับการหายตัวไปของนารีรัตน์ก็ได้ แม้ว่าตำรวจจะไม่มีหลักฐานสาวมาถึงก็ตาม
“ฉันแต่งตัวไม่เหมือนพี่นารีเหรอคะ”
อลินดาถามขึ้นเสียงสั่นเล็กน้อย เมื่อเห็นแซคคารีย์ตวัดสายตามองหล่อนเนิ่นนาน
แซคคารีย์สลัดศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตาสีสนิมที่เมื่อกี้ อิ่งอ้อยอยู่บริเวณเนินอกอวบของคู่สนทนาสาว ขึ้นมาจ้องตากับเจ้าหล่อนแทน
ไอร้อนบางอย่างระอุขึ้นบริเวณกึ่งกลางลำตัว และมันก็ทำให้เขาเกลียดชังตัวเองเป็นที่สุด
“ภายนอกน่ะเหมือน แต่ภายในฉันมั่นใจว่าเธอกับนารีไม่มีทางเหมือนกัน” เขายิ้มเยาะ “นารีขาวสะอาด ในขณะที่เธอมืดดำน่าขยะแขยง”
“ค่ะ” หล่อนกระแทกเสียงตอบ และตัดสินใจเดินผ่านหน้าเขาออกไปนอกห้องนอน “ฉันจะไปรอที่รถนะคะ ถ้าคุณแซค คิดคำด่าใหม่ๆ ได้แล้วก็เชิญตามมาค่ะ”
“นี่เธอ…”
หล่อนไม่สนใจแล้วล่ะว่าคำพูดของตัวเองจะยั่วโทสะของแซคคารีย์มากมายแค่ไหน เพราะขนาดหล่อนนั่งหายใจอย่างเดียว เขายังมองว่าหล่อนทำผิดเลย
อลินดาก้าวยาวๆ ตรงมาหยุดที่รถสปอร์ต และพยายามนับหนึ่งให้ถึงร้อย เพื่อบรรเทาโทสะของตัวเอง แต่ยังไม่ทันทำได้สำเร็จเลย คนตัวโตก็เดินมาหยุดใกล้ๆ
“ฉันจะจอดให้เธอเปลี่ยนชุดและล้างหน้าล้างตาที่ปั๊มเดิม”
“รับทราบค่ะ”
“และฉันก็จะให้เธอโหนรถเมล์ไปทำงานเอง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
หล่อนเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคนพูดและระบายยิ้มบางๆ
“นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการมาตลอดค่ะ”
อลินดากลั้นใจพูดจนจบก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ โดยมีเขาก้าวตามขึ้นมานั่งค้างๆ หล่อนคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วก็หันมองออกไปนอกกระจกรถ หยาดน้ำตาคลอสองหน่วยตาตลอดเวลา
แซคคารีย์ลอบมองเสี้ยวหน้าหวานของอลินดาหลายครั้ง และก็ด่าทอตัวเองในอก เมื่อเริ่มรู้สึกถึงอิทธิพลของผู้หญิงข้างกายชัดเจนขึ้นทุกขณะ
บ้าชิบ!
รถทั้งคันเงียบกริบจนแทบจะได้ยินเสียงหายใจของกันและกันเลยด้วยซ้ำ ช่วงเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงมันทำให้หล่อนอึดอัดทรมาน ราวกับเนิ่นนานชั่วกัปล์ชั่วกัลป์เลยทีเดียว
“ขอบคุณค่ะ”
หล่อนปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว เมื่อรถคันงามของแซคคารีย์แล่นมาจอดภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งเดิม
“แล้วหวังว่าฉันจะพบเธอที่ทำงานนะ อลินดา”
เจ้าของชื่อที่ถูกหมิ่นประมาทหันมามองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ
“คุณแซคคิดว่าฉันจะไม่ไปทำงานเหรอคะ”
เขาเหยียดยิ้มหยัน
“ก็บางทีเธอจะเจอเหยื่อรวยๆ แถวนี้ และก็เลยลากกันไปกกในโรงแรม”
หล่อนอยากจะตะกุยหน้าหล่อเหลาของแซคคารีย์ให้เลือดสาดนัก ผู้ชายอะไรมโนได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้
“ก็ถ้าเจอที่หล่อ ที่รวยกว่าคุณแซค ฉันก็ควรจะรีบกระโจนงับเอาไว้ไม่ใช่เหรอคะ”
“อลินดา”
“ขอตัวค่ะ”
หล่อนกล่าวตัดบท และรีบก้าวลงไปจากรถอย่างรวดเร็ว
แซคคารีย์โมโหมากจนลืมตัวเอากำปั้นของตัวเองทุบลงบนพวงมาลัยรถ ผลที่ได้ก็คือเสียงแตรแผดร้องดังลั่น และนั่นแหละถึงทำให้เขารู้สึกตัว
“ผู้หญิงบ้า!”
รถสปอร์ตคันงามพุ่งทะยานออกไปจากสถานีบริการน้ำมันด้วยความเร็วสูง คนที่กำลังเดินตรงไปยังห้องน้ำ หยุดการเคลื่อนไหว และเอี้ยวตัวมองตามท้ายรถสปอร์ตไปทั้งน้ำตา
MANGA DISCUSSION