ฟุเอ๊ เกิดใหม่ก็เก่งภาษาสุดๆซะแล้วค่ะ - ตอนที่ 35 ทำไมคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถึงเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้กันนะ?
- Home
- ฟุเอ๊ เกิดใหม่ก็เก่งภาษาสุดๆซะแล้วค่ะ
- ตอนที่ 35 ทำไมคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถึงเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้กันนะ?
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในอินเดีย
–ฉันต้องการภาษาเพื่อที่จะเรียนภาษา
และนี่คือความต้องการของคนในนั้น
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีเหตุผลให้ใช้ภาษาอังกฤษกับเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว
“เหตุผลที่กล่าวมาอย่างนั้นก็เพราะว่าภาษาอังกฤษที่พวกเขาได้เลือกมาใช้มันเกิดปัญหาในตอนที่ทำหนังสือเรียนเป็นภาษาอินเดีย.. ซึ่งมันก็คือ”
ฉันเช็คไปที่คอมเม้นและเหล่าผู้ชมก็กำลังเดากันอยู่
คำตอบที่ถูกต้องก็คือ –
“เพราะว่า [มันมีคำศัพท์ไม่พอยังไงล่ะคะ] หรือถ้าจะให้พูดก็คือ [คำศัพท์ของพวกเขามันแตกต่างเกินไป] พวกเขาพยายามทำหนังสือให้มันเป็นมาตรฐานสากล แต่คำศัพท์ในอินเดียนั้นมันน้อยเกินไปที่จะแปลให้มันถูกต้องได้”
ตัวอย่างที่ว่าก็คือมีหลายๆคำในภาษาอังกฤษ แต่ในภาษาอินเดียกลับไม่
ไม่ใช่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ความซับซ้อนของมันจะมากเกินไปถ้าจำกัดควาหมายไว้แค่คำๆเดียว
มันไม่มีใครอยากที่จะอธิบายว่าทำไมแอปเปิ้ลถึงทั้งหวานและเปรี่ยวและมีสีแดงทุกครั้งหรอกนะ แถมยังมีเนื้อสีขาวด้านในและเมล็ดสีดำตรงกลางอีก
และแน่นอนว่านี่เป็นการพูดเกินจริงเพราะมันคงมีคนที่ชอบอธิบายทุกครั้งล่ะมั้ง(?)
“ดังนั้นพวกเขาเลยตัดสินใจว่าจะใช้หนังสือเรียนเป็นภาษาอังกฤษไปเลย และต้องเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกไปเลยด้วย เพราะงั้นภาษาอังกฤษมันเลยเป็นกึ่งทางการภาษาหลักของอินเดียไปแล้ว”
และก็แน่นอน ว่ามันไม่ได้มีทุกคนที่เรียนภาษาอังกฤษจากหนังสือเรียน
เช่นพวกคนในหมู่บ้านที่ห่างไกลหรือพวกที่ไม่ใช่คนฮินดีเองก็ตามที่กล่าวมาข้างต้น
ในขณะเดียวกันคนที่พูดฮินดีเองก็กำลังเรียนภาษากันตามปกติ
แต่เอาจริงๆนะแม้แต่ในชนเผ่าบางทีภาษาอังกฤษเองก็เป็นภาษาที่ใช้กันอย่างปกติ
มีคนอินเดียหลายๆคนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษราวกับว่าเป็นภาษาแรกของพวกเขา
“ถ้าจะให้พูดในกรณีของญี่ปุ่นเอง ถ้าให้พูดจริงๆภาษาญี่ปุ่นนั้นมันดีเกินไป”
ถ้าจะให้พูดอวยๆหน่อยมันเป็นภาษาที่มีความธรรมดามากที่สุด
แน่นอนว่าฉันไม่ได้หมายความว่า ‘มันใช้ได้ทุกรูปแบบ’ หรอกนะ
แต่ว่า..
“ฉันไม่คิดว่ามันจะมีภาษาไหนดีไปกว่าภาษาญี่ปุ่นเวลาที่ต้องเอามาแปลหรอกนะ”
“แต่เพราะมันเป็นอย่างนั้นมันก็เลยทำให้ยากที่จะเรียนรู้ด้วย”
>LOL
>ผมเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆต้องผมกลับไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น
>มันมีฮิรากานะ หรือคาตาคานะ หรือทั้งคันจิหลากหลายประเภทจนเกินไปจนทำให้งงเลยล่ะ
“ถ้าให้เทียบล่ะก็ภาษาญี่ปุ่นนั้นมีสำนวนที่หลากหลายสุดๆ หรือถ้าจะให้พูดให้เข้าใจก็คือมีหลากหลายคำในแต่ละประเทศในภาษาญี่ปุ่น ถ้าให้เทียบเป็นตัวเลขของการแปลล่ะก็มันคงใหญ่ที่สุดในโลก”
หนังสือที่แปลจากภาษาต่างประเทศมาเป็นภาษาญี่ปุ่นนั้นมีจำนวนมากที่สุดในโลก
ทั้งวัฒนธรรม หนังสือ หรือผู้คนในประเทศนั้นมันก็มีส่วนร่วมในด้านนี้เช่นเดียวกัน
แม้ว่าจะลดปัจจัยที่ว่าไปแต่ถ้าลองมองดูจริงๆภาษาญี่ปุ่นเองก็ยังคงมีความผิดปกติอยู่
“ฉันคิดว่าเหตุผลหลักที่ฉันพอรู้ก็คือมันมี ตัวอักษรหลักประมาณ 3 ประเภทเท่าที่ฉันคิดเหตุผลหลักที่ว่าก็คือการใช้ ตัวอักษรทั้ง 3 ร่วมกันให้มันเป็น โฟโนแกรม หรือ ตัวหนังสือที่แสดงความคิด นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงเก่งในการคิดค้นคำใหม่ขึ้นมา”
ฮิรากานะ หรือ คาตาคานะ ตัวอักษร หรือ การออกเสียงเองก็เหมือนกัน
ทั้งคันจิ ตัวอักษรเองก็มีความหมาย
เพราะว่าพวกเราใช้มันเข้าร่วมด้วยกัน มันก็เลยมีการยอมรับกันกว้างขวางว่าเราสามารถรวมคำใหม่ๆกับภาษาญี่ปุ่นได้
“และนั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมเราถึงแทบจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ และนั่นก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นอ่ะนะ”
>เอ๊!?
>มันยังไม่ถึงจุดพีคเลยนะ!?
>ขอร้องเล่าต่อทีเถอะะะ
“ตั้งแต่ต้นไม่ใช่ว่าพวกเราคุยกันเรื่องที่ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงไม่เก่งในการเรียนภาษาอังกฤษกันไม่ใช่หรือไง เพราะงั้นแปปหนึ่งนะ ฉันขอดื่มน้ำก่อนนะ.”
>ผมบื้อเอง w
>ทามมิ่งนี่มัน www
>น้ำดื่มผลไม้..
ฉันถอนหายใจออกมา
การดื่มน้ำในตอนที่กระหายมันสำคัญมากเลยนะขนาดที่เขียนในโคจิคิเลยด้วย
“ขอโทษที่ต้องให้ทุกๆคนรอด้วยนะ งั้นฉันพูดอีกสักครั้งดีกว่า เริ่มแรกเลยคือฉันเชื่อว่าคนญี่ปุ่นนั้นมีสกิวทางด้านของภาษานั้นสูงอยู่แล้ว”
>เป็นงั้นเองหรอ?
>ผมคิดว่าที่อิโรฮะจะบอกก็คือภาษาญี่ปุ่น มันเป็นภาษาที่ยากมากอยู่แล้ว
>คันจิโครตยากเลยค่ะ (อังกฤษ)
“ใช่ไหมล่ะ การเรียนภาษาญี่ปุ่นมันยากจริงๆนะ แต่มันก็ไม่ได้ยากทั้งหมเหรอกส่วนที่ยากคือการเขียนตัวอักษรหรือการจำมันตั้งหาก ถ้าเป็นการสนทนาแล้วก็ฉันคิดว่ามันง่ายที่จะเรียนรู้มากเลยนะ”
>เอาจริงหรอ?
>จริงแฮะ
>เพื่อนของผมที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้เขาเองก็บอกไว้ว่าเขาพูดญี่ปุ่นได้แต่เขียนไม่ได้
“ยกตัวอย่างก็คือในกรณีของภาษาอังกฤษ เราจะเรียนรู้การออกเสียงและตัวอักษรตั้งแต่ต้น แต่ในกรณีของภาษาญี่ปุ่นเองเราเรียนรู้การออกเสียง และ ฮิรากานะ กับ คาตาคานะ แต่นั่นมันยังไม่หมดไง มันยังเหลือสิ่งที่เรียกว่าคันจิอยู่”
หรือจะให้พูด คันจิก็คือโบนัส
ถ้าเอาไปเทียบของการเรียนภาษากับประเทศอื่นๆล่ะก็สิ่งที่ต้องจำมันมากกว่าเท่าตัว
“การเรียนรู้ภาษาแม่ที่พวกเราใช้ตามปกตินั้นมันต้องใช้ความพยายามพอๆกับการเรียนภาษาอื่นเช่นภาษาอังกฤษ กล่าวอีกในคือ การที่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถึงเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้มันคงจะมาจากการ [การจัดสรรสิ่งที่ต้องใช้ในการเรียนภาษา] ในการเรียนรู้มากกว่า ฉันคิดงั้นนะ”
การจัดสรรสิ่งที่ต้องใช้ในการเรียนภาษามันเป็นสิ่งที่มีจำกัดนะ
การให้การศึกษาแบบทีเดียวสองภาษาเลยมันก็มีโอกาศที่จะทำให้เด็กกลายเป็นแบบ “กึ่งภาษาเลยก็ได้”
มันเป็นรูปแบบที่เราไม่สามารถพูดได้เลยทั้งสองภาษาที่ เรียนรู้มา
“ฉันคิดว่าคนญี่ปุ่นนั้นมีความสามารถมากพอในด้านการเขียนนะ แต่ฉันคิดว่าพวกเราเองก็มี
การจัดสรรสิ่งที่ต้องใช้ในการเรียนภาษามากเกินไป ถ้าจะให้เทียบให้เข้าใจก็คือ ฉันคิดว่ามีคนที่เขียนภาษาอังกฤษได้ดีกว่าการฟังภาษาอังกฤษแบบ.. อ่านเข้าใจ แต่ ฟังไม่เข้าใจ อะไรงี้”
>ถ้าอิโรฮะจังพูดแบบนั้นล่ะก็ www
>ยังไงการเขียนสำหรับผมมันก็ดีกว่าอยู่ดี
>แต่นั่นไม่ได้มาจากการจัดลำดับสิ่งที่ต้องเรียนรู้หรอ
“ที่กล่าวมาก็ใช่นะ ในประเทศอื่นๆ คุณอาจจะเริ่มที่การพูดก่อนแล้วค่อยขยับไปที่การเขียน แม้แต่พวกทารกเองก็ทำแบบนั้นกัน แต่ฉันอยากรู้จริงๆนะว่าถ้าทำแบบนั้นที่ญี่ปุ่น พวกนายเองก็ต้องเรียนรู้วิธีพูดเหมือนเดิมนั่นแหละ”
ถ้าพวกนายเรียนภาษาต่างประเทศในตอนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าคิดแบบนั้นมันก็สมเหตุสมผลแหละ
แต่ถ้าลองพยายามให้ลูกลองทำแล้วก็…
“ตั้งแต่ทีแรกที่ฉันพูดคนญี่ปุ่นนั้นมีความสามารถในการเขียนมากขึ้น เพราะงั้นที่ฉันคิดไว้ก็คือให้ไล่ลงมาจากระดับล่างก่อนเพื่อลดความสามารถและเวลาที่ต้องใช้ในการเรียนภาษา”
อย่างไรก็ตาม เด็กอัจฉริยะเป็นข้อยกเว้น
สิ่งที่ฉันได้พูดมันอยู่แค่ในบริบทของการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นที่มันไม่มีระบบ “การออกกลางคัน”
มันเป็นระบบที่ช่วยเอาไว้ให้ลดจำนวนเด็กที่ต้องออกจากโรงเรียนเพราะทรัพยากรมในการเรียนรู้มันไม่เพียงพอ
“ถึงฉันจะพูดออกไปเยอะขนาดนี้ แต่เท่าที่ฉันสรุปออกมาได้ ในญี่ปุ่นนั้น ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างคล่องกันใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าให้บอก คันจิมันคือภาษาต่างประเทศอีกภาษาเลยล่ะ และ ภาษาอังกฤษมันเลยกลายเป็นภาษาต่างประเทศภาษาที่สอง ถ้ากล่าวงีมันคงเข้าใจง่ายกว่าใช่ไหมว่าทำไมมันถึงยากที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ?”
ฉันมองไปที่ช่องแชทขณะนึง ก่อนที่จะพูดสิ่งที่สำคัญที่สุดออกมา
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะนะทุกคน ฉันกำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องของโรงเรียนภาษาอังกฤษอยู่ ฉันคิดว่าทางเดียวที่จะได้คะแนนดีคือการเรียน แต่ถ้าพวกนายอยากที่จะพูดให้ได้จริงๆล่ะก็ พวกนายต้องละทิ้งความกลัวที่มีในใจออกไปให้หมดนะ”
ฉันยังคงจำได้อยู่เลยวันสุดท้ายของชีวิตก่อน
ฉันยังคงจำได้วันสุดท้ายในอเมริกาของฉัน
“และที่เหลือก็เป็นความต้องการแหละน้า ความต้องการที่จะเรียนรู้อะไรแบบนั้น”
ถ้าฉันไม่สิ ผมไม่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมางานอีเวนต์วีทูบเบอร์ที่อเมริกาล่ะก็มันคงไม่มีผมในวันนี้
เมื่อลองมองกลับไป นี่มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมพูดแบบนี้ได้ด้วยซ้ำ..
“เพราะงั้นถ้าพวกนายมีวีทูบเบอร์ที่ชอบล่ะก็ อย่าลืมลองไปศึกษาของพวกเขานะ เพราะว่ามันอาจจะมีเวลาให้พวกนายใช้จริงๆนะ! wwww”
>LOL
>นั่นคือจุดที่จะสื้อเรอะ!
>โล่งอกจริงๆ ในที่สุดอิโรฮะจังแบบธรรมดาก็กลับมาแล้ว
ฉันได้ตายลงไปโดยที่ไม่เข้าใจบทสนทนาของพวกเขาเลยซักนิด
เพราะฉันไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศ!
ฉันไม่คิดด้วยซ้ำว่าฉันจะได้เจอเรื่องแบบนั้น
ความจำเป็น ทรัพยากร หรือ ความกลัวความล้มเหลว ความอยากรู้อยากเห็น
มันสำคัญตรงไหนล่ะ? การคุยกันในช่องคอมเม้นก็ผ่านไปกันอย่างร้อนแรง..
* * *
วันต่อมา
ในตอนที่ฉันได้เดินทางมาถึงที่โรงเรียนแล้ว ไมก็ตะโกนเรียกฉัน..
“อิโรฮะจัง!”
“หืม..? มีอะไรหรอ แค๊กๆ อ๊าาา เมื่อวานฉันพูดในไลฟ์สตรีมเยอะเกินไปหน่อย.. เจ็บคอไปหมดเลยอ่ะ”
“นั่นไม่ใช่ที่ฉันจะบอกซักหน่อย!‘
“อ่ะ พอลองมาคิดดูแล้วเด็กที่ย้ายมาคนนั้นจะรู้ตัวจริงของฉั-”
“แง้ ผู้หญิงคนนั้นเธออันตรายสุดๆเลยนะ—!”
“เอ๊?”
ตัวฉันได้หยุดนิ่งเหมือนโดนแช่แข็ง
เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลย
ที่ฉันได้เห็น
ไม ที่มีเหงื่อเต็มใบหน้า
นี่เป็นตอนที่มีคำศัพท์เฉพาะเยอะมากเลยครับ พยายามแปลให้ผมอ่านแล้วเข้าใจสุดๆแล้ว
แต่ก้นั่นแหละ
คนแปลอย่างผมก็แบบ :