ฟีนิกซ์นิพพาน-ตำนานหยวนชิงหลิง - ตอนที่ 99 หวายอ๋องใกล้ตาย
หยวนชิงหลิงถูกปลุกขึ้นจากความฝันและฟัง "คำทักทาย" ของพระสนมเซียนที่มามาจากในวังนำมาให้นาง ในคำพูดนั้นบอกให้นางระมัดระวังคำพูด อย่าทำให้ฉู่อ๋องขายหน้าและยิ่งห้ามทำไม่ให้พระสนมเซียนขายหน้า
หยวนชิงหลิงใช้เวลาสองสามวันถัดไปในการฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บอยู่ในจวนและไม่ไปไหนเลย
ซุนอ๋องมาที่นี่ทุกวัน เขาก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับหยวนชิงหลิง เพราะหยวนชิงหลิงมีสิ่งหนึ่งที่เขาถูกใจ นั่นก็คือนางก็ชอบอาหารรสเลิศเช่นกัน ที่จริงแล้วหยวนชิงหลิงไม่ได้ชอบกินเป็นพิเศษ แต่ในหมู่ผู้หญิงในยุคนี้ นางนับได้ว่าเป็นผู้ที่กินเยอะ อีกทั้งยังมีกิริยาการกินค่อนข้างเหมือนบุรุษ ซุนอ๋องมักกล่าวว่าผู้หญิงกินอาหารราวกับนกกินไม่กี่คำก็อิ่มเสียแล้ว เห็นว่าความผอมเพรียวเป็นความงามทำให้ผู้หญิงมักจะกินไม่อิ่มอยู่เสมอ
วันนี้หยวนชิงหลิงสั่งให้พ่อครัวหลวงเตรียมอาหารมาสองสามอย่าง ซุนอ๋องยังคงมาไม่ถึงสักที หลายวันที่ผ่านมา เขามาตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้ผ่านเวลาหลังเที่ยงไปแล้วก็ยังไม่เห็นเขามาเลย หยวนชิงหลิงคิดว่าเขาอาจจะกินจนเบื่อแล้วหรือไม่ก็ตัดสินใจลดน้ำหนักอีกครั้ง นางจึงแบ่งอาหารให้มามาและลู่หยาไปกิน
ในช่วงสองวันที่ผ่านมานางก็กินจนเบื่อแล้ว นางไม่ค่อยมีความอยากอาหารนัก เมื่อดื่มโจ๊กหนึ่งชามแล้วจึงพาสุนัขไปเดินเล่น
ซุนอ๋องมาถึงในตอนบ่ายและดูไม่มีร่าเริงเอาเสียเลย
หยวนชิงหลิงกำลังนั่งอยู่บนขั้นบันไดหิน ตัวเป่านอนอยู่แทบเท้าของนาง ทั้งคนและสุนัขกำลังอาบแดดอย่างอบอุ่น ตอนที่ซุนอ๋องมาถึงก็นั่งที่ปลายอีกด้านของขั้นบันไดหิน ลูบหน้าลูบตา ครุ่นคิดและไม่ทักทายนางสักคำ
"เกิดอะไรขึ้น?" หยวนชิงหลิงถาม "จะลดน้ำหนักอีกแล้วหรือ?"
"ไม่ใช่!"
"หิวหรือ? งั้นข้าจะให้คนทำอาหารมาให้พี่รอง"
"กินไม่ลง!"
หยวนชิงหลิงข้องใจ จอมตะกละกินข้าวไม่ลงงั้นหรือ? คงจะเป็นเรื่องร้ายแรง
"เป็นอะไรไปหรือ?" หยวนชิงหลิงลูบหัวตัวเป่าเบาๆ แล้วปล่อยมันไป
ตัวเป่าลากร่างอันเกียจคร้านของมันและเดินจากไปอย่างเชื่องช้า
ซุนอ๋องหันมามองนาง "น้องห้าไม่ได้บอกเจ้าหรือ? น้องหกแย่แล้ว"
น้องหก? จากนั้นหยวนชิงหลิงจึงก็นึกถึงหวายอ๋องที่น่าสงสาร อวี่เหวินหวาย
เขาและอวี่เหวินฮ่าวเกิดในปีเดียวกัน แต่อวี่เหวินฮ่าวแก่เดือนกว่าเขา ผู้ให้กำเนิดเขาคือพระสนมหลู่ เขาล้มป่วยเมื่อสองปีก่อน หลังจากที่ได้รับพระราชทานจวนแล้วก็ไม่เคยก้าวออกจากประตูจวนของเขาเลย
"เขา…เป็นโรคอะไรกันแน่?" หยวนชิงหลิงถาม "วัณโรค!"
"วัณโรค? วัณโรคปอดหรือ?"
"ใช่!"
หยวนชิงหลิงหัวเราะ "วัณโรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ ไม่ถึงขนาดฆ่าคนได้ ทำไมจะไม่ไหวแล้วล่ะ?"
ซุนอ๋องชำเลืองมองนาง "เจ้าเก่งนักนี่ แม้แต่วัณโรคก็รักษาได้ แม้แต่หมอหลวงก็ยังไม่มีความสามารถเช่นนี้เลย"
หยวนชิงหลิงตกใจและจำได้ว่าก่อนที่จะมียาปฏิชีวนะจะปรากฏ วัณโรคปอดเป็นโรคที่ไร้ทางรักษาและทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น
"อาการรุนแรงมากหรือ?" หยวนชิงหลิงถาม
ซุนอ๋องกล่าวอย่างไม่มีความสุข "เสด็จพ่อได้สั่งให้คนเตรียมงานศพของเขาแล้ว ข้าเห็นในจวนโลงศพก็เตรียมไว้แล้ว ต้นปีนี้เสด็จพ่อก็ส่งคนไปที่สุสานเพื่อทำหลุมฝังศพให้น้องหก ตอนนี้ก็คงทำเสร็จแล้ว ต่อไปเขาก็คงอาศัยอยู่ในสุสาน พี่น้องก็จะถูกแยกจากกันหลายร้อยลี้"
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าหวายอ๋องช่างน่าสงสารจริงๆ เขายังมีชีวิตอยู่แต่กลับมีคนจัดการสุสานให้เขาเสียแล้ว เช่นนั้นในหลายเดือนมานี้ เขาคงอาศัยอยู่ในเงาแห่งความตายมาตลอดมิใช่หรือ?
เมื่อเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของเขา หยวนชิงหลิงจึงกล่าวปลอบใจ "อย่าเศร้าเกินไปเลย ไม่ช้าก็เร็วเหล่าพี่น้องก็สามารถพบกันได้อีกบนสวรรค์"
"…" ซุนอ๋องมองนาง "เจ้าพูดอะไรดีๆ ไม่เป็นหรือไง?"
"เป็นมนุษย์ก็ย่อมต้องตาย" หยวนชิงพูดอย่างเนิบนาบ นางเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง
ซุนอ๋องลุกขึ้น "คุยกันไม่ถูกคอ ช่างเถอะ ข้า… กินข้าวเสียก่อนดีกว่า ไปบอกพ่อครัวหลวงว่าข้าต้องการกินเนื้อและดื่มสุรา"
"ไม่ได้เพิ่งบอกว่ากินไม่ลงหรือ?" หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองเขา
"กินไม่ได้ก็ต้องกิน อย่างที่เจ้าบอกว่าเป็นมนุษย์ก็ย่อมต้องตาย แต่มนุษย์ก็ต้องกินอาหารด้วยเช่นกัน ในเมื่อความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การกินอาหารก็เลี่ยงไม่ได้เช่นกัน"
หยวนชิงหลิงอดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ เขาสามารถเชื่อมโยงทุกอย่างเข้ากับการกิน แต่ทว่านี่ก็เป็นธรรมชาติของคนจีน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ต้องกิน เกิด พระจันทร์เต็มดวง วันเกิด สอบติดมหาวิทยาลัย แต่งงานและตาย ล้วนก็ต้องกินสักมื้อ ไม่เพียงตัวเองกินเท่านั้น แต่ยังต้องเรียกครอบครัวและเพื่อนๆ มาทานอาหารร่วมกัน
"หมอหลวงว่าอย่างไร?" หยวนชิงหลิงถาม
"หมอหลวง? ตอนที่สำคัญกลับไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย เสด็จพ่อก็บอกแล้วว่าหากรักษาไม่หายจะตัดหัว"
หยวนชิงหลิงตกใจ "ตัดหัวหรือ?"
"ช่วยทีละคน อย่าตัดการรักษา มีประโยชน์อะไร?
"แต่ละคนไร้ประโยชน์ทั้งนั้น จะเก็บไว้ทำไม?"
"หมอไม่ใช่เทวดาสักหน่อย ไม่ใช่ว่าโรคอะไรก็รักษาได้หมด ตอนแรกโรคของไท่ซั่งหวง หมอหลวงก็ไม่มีวิธีไม่ใช่หรือ"
"โชคดีที่ไท่ซั่งหวงไม่เป็นไร มิฉะนั้นคงได้มีคนหัวหลุดหลายคน"
หยวนชิงหลิงตกใจอย่างสุดขีด การรักษาให้คนในราชวงศ์ช่างเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงจริงๆ! ซุนอ๋องเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ พลางพึมพำว่า "น้องห้าก็คงจะไม่รู้สึกดีนัก ในบรรดาเหล่าองค์ชายเขาสนิทกับหวายอ๋องที่สุด"
อวี่เหวินฮ่าวไปที่จวนของหวายอ๋องในตอนพลบค่ำ เมื่อกลับมาแล้วก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือไม่ยอมออกมา แม้แต่มื้อเย็นก็ไม่กิน หยวนชิงหลิงก็ไม่ได้กินเช่นกัน ตอนบ่ายนางรับประทานอาหารเป็นเพื่อนซุนอ๋อง ตอนนี้ยังอิ่มอยู่ ระยะนี้นางท้องไส้ไม่ค่อยดีนัก อาหารโบราณเลี่ยนง่าย
อวี่เหวินฮ่าวอยู่ในห้องหนังสือ นางหลบอยู่ในห้อง เปิดกล่องยาจัดยาที่อยู่ในนั้น สเตรปโตมัยซิน ไรแฟมพิซิน อีแทมบูทอล ไพราซินาไมด์ ยาทั้งสี่เป็นยาที่เพิ่มมาใหม่ ในใจนางจึงเกิดความลังเล
วัณโรคระยะแรกคือระยะสามถึงหกเดือน ไม่รู้ว่าหวายอ๋องป่วยมานานแค่ไหนแล้ว ไม่รู้ว่าที่ส่วนอื่นที่ติดเชื้อวัณโรคอีกหรือไม่ ยาที่อยู่ในกล่องยาใช้ได้สิบวัน แต่เมื่อใช้ยาปฏิชีวนะแล้วจะหยุดกลางคันไม่ได้ หากหยุดยากลางคันเชื้อจะเกิดการดื้อยา ถึงแม้จะรักษาอีกครั้ง ความเป็นไปได้ที่จะรักษาหายก็ไม่สูงนัก นางไม่อาจรับรองได้ว่ากล่องยาจะมียารักษาวัณโรคมาเพิ่มตลอด เพราะกล่องยานั้นเอาแต่ใจยิ่งนักและไม่ใช่ว่าสิ่งที่นางจะสามารถควบคุมได้ ถ้าหยุดยา หวายอ๋องก็คงไร้ทางเยียวยาเหมือนเดิมและที่สำคัญไม่รู้ว่าเขามีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ หรือเปล่า
ถ้าหวายอ๋องไม่ได้รับการรักษา เขาก็คงเดินไปทีละขั้นตามเส้นทางชีวิตของเขาจนถึงจุดจบและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง อย่างมากที่สุดก็แค่ให้ชิ้นไหมทองถวายเครื่องหอมต่อหน้าป้ายวิญญาณและร้องไห้ให้เขาเล็กน้อย แต่หากนางแทรกแซงการรักษาและสุดท้ายหวายอ๋องก็สิ้นพระชนม์ เช่นนั้น…
เรื่องของราชวงศ์จะเข้าไปยุ่มย่ามไม่ง่ายนัก หากรักษาไม่หาย หมอหลวงคงถูกตัดหัว ถึงแม้ว่านางจะไม่ถูกประหารก็คงจบไม่สวย เมื่อคิดถึงยามที่รักษาให้ไท่ซั่งหวงในตอนแรกนั้นช่างหุนหันพลันแล่นของเด็กน้อยจริงๆ แต่ถ้าปล่อยไปก็เท่ากับเห็นความตายแต่ไม่ช่วย มโนธรรมของนางจะทนไหวหรือ? หยวนชิงหลิงกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะเตี้ยข้างเตียงพร้อมกับอุ้มตัวเป่าไว้ "เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรดี?"
บาดแผลของตัวเป่าตกสะเก็ดแล้ว แต่ขนรอบๆ แผลก็เริ่มร่วงเหมือนกับเป็นกลากเกลื้อน เผยให้เห็นรอยแผลเป็น
"โฮ่งๆๆ!" ตัวเป่าใช้จมูกดุนฝ่ามือของนาง
"ทำในสิ่งที่ต้องการงั้นหรือ? ช่างเถอะ ไม่ถามเจ้าเสียดีกว่า สุนัขอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร?"
"โฮ่งๆๆ!" ตัวเป่าประท้วง อย่าลืมว่าใครเป็นคนช่วยเจ้าออกมาจากจวนฮุ่ยติ่งโหว
หยวนชิงหลิงยิ้มและลูบหัวของตัวเป่า "เอาเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้เจ้ากินไก่น่องใหญ่"
ตัวเป่าเดินวนอย่างมีความสุข
อาการบาดเจ็บของหยวนชิงหลิงเกือบจะหายแล้ว พ่อครัวหลวงก็กลับวังไปแล้ว
ซุนอ๋องไม่รู้ เขายังคงมาในวันรุ่งขึ้น หยวนชิงหลิงบอกเขาว่าพ่อครัวหลวงกลับวังไปแล้ว เขาอึ้งไปครู่หนึ่งและเกือบจะร้อง "แง" ออกมา รู้อย่างนี้เมื่อวานกินมากเสียหน่อยก็คงดี
"อาหารในวัง ตอนที่องค์ชายยังเด็กก็ไม่ได้กินน้อยเสียหน่อย ทำไมจึงได้เสียดายอะไรเช่นนั้น?" หยวนชิงหลิงถาม
ซุนอ๋องเสียใจมาก "ตอนที่ข้ายังเด็กข้าไม่เห็นค่า คิดไปว่าอาหารทั้งหมดในโลกนี้ก็เหมือนกัน หลังจากได้รับพระราชทานจวนของตนเองแล้วจึงได้รู้ว่าเสด็จพ่อเก็บพ่อครัวที่ดีที่สุดไว้วังหมดแล้ว"
เขาโบกมือ "ลืมมันไปเสียเถอะ ข้าไปเยี่ยมน้องหกเสียหน่อยดีกว่า"
หยวนชิงหลิงใจสั่น "ท่านอ๋องพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?"