ณ พระราชวัง
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ทรงพระพิโรธตลอดทั้งวัน พระองค์กริ้วเสียจนเจ็บพระอุระ ความชั่วร้ายของตระกูลฉู่นั้นมากเกินกว่าที่พระองค์ทรงเคยจินตนาการเอาไว้ อำนาจของตระกูลฉู่ ตอนนี้ขึ้นมาค้ำคอพระราชอำนาจของพระองค์แล้ว ความเคารพยำเกรงในอดีตที่ฉู่โสวฝู่เคยมี มาวันนี้ ทุกคำพูดทำให้พระองค์ทรงทราบว่า ตระกูลฉู่ได้ถือเป็นภัยคุกคามขั้นร้ายแรงสำหรับอำนาจของราชสกุลอวี่เหวินไปเสียแล้ว
ฉู่โสวฝู่กล่าวโทษฮุ่ยติ่งโหวด้วยความเจ็บใจ โดยบอกว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตและอำนาจมากมาย แถมฮ่องเต้ก็ทรงเกรงพระทัย แต่ตระกูลฉู่กลับต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียงเพียงเพราะคนในปกครองเล็กๆได้ทำเรื่องเลวทรามชั่วช้าอย่างนั้นหรือ? แล้วชื่อเสียงของราชวงศ์ล่ะ?
พระองค์ทรงทราบดีว่าชายคนนี้ก็เพียงพลั้งปากพูดไป เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ย่อมอดไม่ได้ที่จะคิดหนัก นี่จึงแสดงให้เห็นว่า สำหรับชายคนนี้แล้ว ชื่อเสียงของตระกูลฉู่นั้นสำคัญยิ่งกว่าชื่อเสียงของราชวงศ์ ตระกูลฉู่ในตอนนี้ก็ผ่านเลยมาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว เป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลในวังหลวง คนในตระกูลที่ยังอายุน้อย ก็เริ่มฝึกหัดอย่างแข็งขันอยู่ในกรมทหาร อาศัยไต่เต้าด้วยเส้นทางการทหาร ส่วนเหล่าโอรสของพระองค์นั้นเล่า? มัวแต่คิดชิงดีชิงเด่นเพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท ใครจะไปใส่ใจเรื่องการคุกคามจากตระกูลฉู่กันหนอ?
คงจะมีเพียงเจ้าห้า เจ้าห้าไม่สนใจแม้กระทั่งชื่อเสียงของตนเองและพระชายา ซ้ำยังเพียรพยายามลากตัวฮุ่ยติ่งโหวมาได้สำเร็จ แสดงว่าเจ้าห้าเป็นคนมีหัวคิด เขาปฏิเสธการอภิเษกกับฉู่หมิงหยาง คงจะเล็งเห็นบ้างแล้วว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาและตระกูลฉู่ได้ผูกผลประโยชน์เข้าร่วมกัน ทุกอย่างจะดูหลอมรวมเข้ากันได้ แต่หาได้หลอมรวมเข้ากันไม่ มีแต่จะถูกมัดมือชก
พระองค์อยากจัดการกับฮุ่ยติ่งโหวมานานแล้ว แต่เนื่องจากพระองค์นั้นไม่อาจให้พระหัตถ์แปดเปื้อนโลหิตได้ มาวันนี้ เขารนหาที่ตายเอง ถึงกับบังอาจลักพาตัวสะใภ้เจ้าห้าด้วยความฮึกเหิม……
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ทรงหรี่พระเนตร สะใภ้ของเจ้าห้ามีศักดิ์เป็นพระชายา ตามกฎก็ไม่สมควรแต่งกายเป็นชายแล้วอยู่ตามลำพัง พระองค์ทรงนึกถึงคำพูดของจิ้งเหยียน ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะพระชายาทรงมีไหวพริบดี หาจังหวะบุกเข้ามาในช่วงเวลาที่คับขัน ไม่แน่ว่าท่านอ๋องเองอาจจะติดกับของฮุ่ยติ่งโหวไปนานแล้วก็เป็นได้
"เตรียมตัวไปตำหนักเฉียนคุน!" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ทรงสั่งการ
ชายชราเองก็คงจะทราบเรื่องนี้ แหล่งข่าวของเขามีมากมายนัก ไม่มีเรื่องใดในวังหลวงที่จะปิดบังเขาไว้ได้ และผู้ที่เข้าอกเข้าใจเจ้าห้าเป็นที่สุด ก็คือไท่ซั่งหวงนั่นเอง
วันนี้ชายชราดูแจ่มใส เขาออกไปเดินเล่นในเขตตำหนักถึง 2 รอบ แล้วจึงมาประทับบนเก้าอี้ในสวน ดื่มด่ำกับการอาบแดด เมื่อเขาเห็นจักรพรรดิหมิงหยวนตี้เสด็จมา เขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เขาเหลือกตามองบน "มาแล้วหรือ!"
"เสด็จพ่อ!" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ก้าวไปข้างหน้า 1 ก้าว แล้วทำความเคารพ
ฉางกงกงยกเก้าอี้เข้ามา "ฮ่องเต้ เชิญประทับพ่ะย่ะค่ะ"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้นั่งลง และตรัสออกมาอย่างร้อนใจ "เรื่องของฮุ่ยติ่งโหว เสด็จพ่อทรงทราบทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
"ก็รู้น่ะสิ!" ไท่ซั่งหวงใช้นิ้วอันเรียวบางมาเคาะหัวเข่า 2-3 ครั้ง ท่าทางสบายอารมณ์ "เจ้าอ๋องห้ามีชัยชนะที่สวยงามจริงๆ ที่ผ่านมาฮุ่ยติ่งโหวสบประมาทเจ้าอ๋องห้าเอาไว้มากมาย มาวันนี้ เขาได้พ่ายแพ้ให้กับเจ้าอ๋องห้าแล้ว นับว่าที่ผ่านมาเขามีตาหามีแววไม่"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ตรัสว่า "หากจะพูดว่าสวยงาม ก็ไม่นับว่าสวยงามเท่าไรนัก อย่างน้อย ก็มีชื่อเสียงของสะใภ้เจ้าห้าเข้ามาพัวพันด้วย"
"บางทีเจ้าตัวเขาอาจจะยินยอมก็ได้นะ?" ไท่ซั่งหวงทอดพระเนตรจักรพรรดิหมิงหยวนตี้
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ทรงถามหยั่งเชิงดูว่า "เสด็จพ่อทรงคิดเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
ไท่ซั่งหวงยิ้ม "ฮ่องเต้คงต้องการจะถามว่า แท้ที่จริงแล้ว เรื่องนี้เป็นความบังเอิญหรือเป็นแผนการที่เจ้าห้าวางไว้กันแน่ใช่ไหมล่ะ?"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ถูกมองออกเสียแล้ว พระองค์ทรงไปไม่เป็น "เรื่องนี้ ลูกไม่คิดว่าเจ้าห้าจะเก่งกล้าสามารถถึงเพียงนั้น"
"สามีภรรยาน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หลอมรวมกันเป็นพลังอันยิ่งใหญ่" ไท่ซั่งหวงส่ายพระเศียรไปมา แล้วตรัสคำคมออกมาเบาๆ
ดูเหมือนว่าจักรพรรดิหมิงหยวนตี้จะทรงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ไท่ซั่งหวงทรงชำเลืองมององค์จักรพรรดิ "เจ้ามีเรื่องอะไร จะไปพูดกับลูกโดยตรงไม่ได้เลยหรือไง? จะต้องมาคอยถามหยั่งเชิงข้าอยู่เรื่อยเลย สิ่งที่ข้ารู้ ก็คือสิ่งที่เจ้ารู้ สิ่งที่ข้าไม่รู้ เจ้าอาจจะรู้ก็เป็นได้ ลูกน่ะ เจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดเขา เรื่องเล็กๆน้อยๆ เจ้าจะไม่รู้เลยเชียวหรือ?"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ตรัสกลับไปว่า "เจ้าห้าถือได้ว่ามีความโดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อย ฉายแววของกระหม่อมเมื่อครั้งที่อายุเท่าเขา"
"ตอนนั้นเจ้าไม่เอาไหนกว่าเขาเยอะ!" ชายชราพูดจาไม่ไว้หน้า
"เสด็จพ่อ ไยจึงมองลูกชายของตนเช่นนั้นเสียเล่า?" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ยกพระหัตถ์ขึ้นมาคัดค้าน
"แล้วเจ้ามองลูกชายของเจ้าอย่างไรล่ะ? ที่ผ่านมาเจ้าและพี่น้องของเจ้า ต่อให้เก่งกล้าสามารถเพียงใด ในสายตาของข้า มันก็ยังคงไม่เพียงพอ จะต้องให้ดียิ่งๆขึ้นไปอีก ตอนนี้เจ้าก็คงจะมีทัศนคติเช่นเดียวกับข้าในตอนนั้น"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ทอดพระเนตรไท่ซั่งหวงอย่างระแวดระวัง "แล้วตอนนี้เสด็จพ่อยังทรงคิดเช่นนั้นอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
พระองค์หาได้เคยคำนึงถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน นั่นก็คือการเป็นฮ่องเต้ของพระองค์ เสด็จพ่อจะพอพระทัยหรือไม่นะ?
ไท่ซั่งหวงมองดูเขา พลันหัวเราะออกมาเสียงดัง ดังเสียจนจักรพรรดิหมิงหยวนตี้ขนลุก
ไท่ซั่งหวงค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วตบบ่าองค์จักรพรรดิ "ความไม่เชื่อมั่นของเจ้าในตอนนี้ ก็คือความไม่เชื่อมั่นในใจของลูกๆเจ้าด้วย"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ลุกขึ้นยืน "เสด็จพ่อ แล้วเรื่องนี้สรุปแล้วมัน……"
ไท่ซั่งหวงหันหลังกลับไป "ใครจะไปรู้เล่า? แต่ข้าได้ยินมาว่าเดิมทีจิ้งโหววางแผนจะยกลูกสาวคนรองให้แต่งงานกับฮุ่ยติ่งโหว จิ้งโหวผู้นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าอ่านสถานการณ์ในวังหลวงได้ไม่ชัดเจน ก็ให้มองดูคนอย่างจิ้งโหว หางของเขากระดิกไปหาใคร คนคนนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ชิงชังจิ้งโหวผู้นี้ยิ่งนัก ได้มาเป็นทองแผ่นเดียวกันกับคนประเภทนี้ ถือเป็นการหมิ่นเกียรติเป็นที่สุด จักรพรรดิหมิงหยวนตี้น้อมตัวคารวะและเดินจากไป การมาที่นี่ในครานี้ ทำให้เข้าพระทัยแล้วว่า พระองค์ทรงประเมินค่าเจ้าห้าต่ำไป
จิ้งโหวต้องการจะยกลูกสาวให้กับฮุ่ยติ่งโหว พระชายากับพี่สาวน้องสาวรักใคร่กลมเกลียวกัน ให้นางออกตัวโดยไม่ลังเล เจ้าห้าจึงฉวยโอกาสนี้หักแขนคนตระกูลฉู่ การคิดเช่นนี้ เพลิงแค้นก็มอดไหม้ลงไปแล้วเกินครึ่ง ถึงขั้นรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจที่สุดที่ได้ทำในช่วงนี้ จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ทรงดีพระทัย แล้วทรงถ่ายทอดคำสั่งให้พระราชทานอาหารชั้นเลิศและอัญมณีอันมีค่าจำนวนมากให้กับพระชายาฉู่อ๋อง เพื่อให้พระกรุณาธิคุณเป็นเครื่องยืนยันว่าแม้ว่านางจะเคยตกอยู่ในอันตรายภายใต้เงื้อมมือของฮุ่ยติ่งโหว นางก็ยังคงเป็นผู้ปราศจากมลทินดังเดิม
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้พระราชทานรางวัลให้กับพระชายาฉู่อ๋อง จวนฉู่อ๋องจึงมีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาแวะเวียนเป็นเรื่องธรรมดา คนนั้นคนนี้เข้ามาถามไถ่ ถวายความเคารพ ส่งของกำนัลเพื่อแสดงความยินดี พร้อมทั้งประณามการกระทำอันชั่วช้าของฮุ่ยติ่งโหว
หยวนชิงหลิงพยายามฝืนยิ้มเพื่อให้ใครต่อใครได้เห็นว่าตนไม่เป็นอะไร ยิ้มอยู่นานสองนาน จนนางรู้สึกเหงือกแห้ง ได้แต่พยายามหายใจทางปากเลียบแบบตัวเป่า เพียงแต่นางมิได้ห้อยลิ้นลงมาเหมือนตัวเป่าเท่านั้นเอง
ไม่ง่ายเลยจริงๆ พระอาทิตย์ตกดินแล้ว จึงถือว่าภารกิจเสร็จสิ้น นางนั่งเก้าอี้จนเมื่อยก้น นางดื่มน้ำชาไป 1 ถ้วย และกำลังนึกอยากจะเอนกายพักผ่อน
แต่กลับได้ยินเสียงลู่หยาวิ่งมาอย่างรีบร้อน "พระชายา ซุนอ๋องเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ"
หยวนชิงหลิงนั่งแช่บนเก้าอี้ นางไม่มีเรี่ยวแรงจะยกมือขึ้นมาโบก "ไม่เจอจะได้ไหม?"
"เสด็จมาถึงหอเฟิ่งอี๋แล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ"
"มาที่นี่น่ะหรือ? ไม่ดี ไม่เอา" หยวนชิงหลิงลุกขึ้นยืน "เช่นนั้นไปที่ห้องโถงข้างๆก็แล้วกัน พระชายาซุนอ๋องก็เสด็จมาด้วยใช่ไหม?"
"มีแค่ซุนอ๋องพระองค์เดียวพ่ะย่ะค่ะ"
หยวนชิงหลิงตกใจเล็กน้อย การมาเยี่ยมไข้ใครๆก็พาภรรยามาด้วยทั้งนั้น เหตุใดเขาจึงมาแค่คนเดียว? นางกับซุนอ๋องสนิทสนมกันถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? นางรีบเดินออกไป แล้วสั่งคนให้นำเสด็จซุนอ๋องไปที่ห้องโถงด้านข้าง ซุนอ๋องประสานมือเดินเข้ามา ท่าทางเหมือนชายแก่เงอะงะที่มองซ้ายมองขวาก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
"น้องสะใภ้อาการดีขึ้นหรือยัง?" เขาเอ่ยถามธรรมดาทั่วไป
"ขอบพระทัยท่านพี่รองที่ทรงห่วงใย อาการดีขึ้นมากแล้วเพคะ" หยวนชิงหลิงน้อมตัวตอบ
ซุนอ๋องนั่งลง "อืม เช่นนั้นก็ดีแล้ว"
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ได้แต่เพียงเอ่ยถามเก้ๆกังๆ "เหตุใดพี่สะใภ้รองจึงไม่เสด็จมาพร้อมกับท่านพี่รองล่ะเพคะ?"
"นางไม่รู้ว่าข้ามาที่นี่"
"อ๋อ!"
ลู่หยายกน้ำชาเข้ามา "เชิญท่านอ๋องรับน้ำชาพ่ะย่ะค่ะ"
ซุนอ๋องถอนหายใจ "น้ำชานี่เสียดท้อง ท้องว่างดื่มน้ำชาไม่ได้ มีเครื่องเคียงไหม?"
"เครื่องเคียง?" ลู่หยางุนงง
"ก็พวกติ่มซำอะไรอย่างนี้ไงเล่า" ซุนอ๋องไม่สบอารมณ์
"มี มีพ่ะย่ะค่ะ!" ลู่หยารีบโค้งตัว "ขอท่านอ๋องโปรดรอสักครู่ กระหม่อมจะไปเตรียมมาเดี๋ยวนี้"
"เป็นของที่พ่อครัวจากในวังทำให้หรือเปล่า?" ซุนอ๋องเอามือออกมาจากใต้แขนเสื้อ มือป้อมๆนั่นดูเหมือนกล้วยผลสั้นอันอวบอ้วน แต่แฝงไปด้วยความเป็นผู้ใหญ่
"เอ่อ……ก็มีเช่นกัน มีขอรับ" ลู่หยาตอบ
"ในเมื่อมีติ่มซำ เช่นนั้นก็ทำอาหารเพิ่มมาสัก 2 อย่าง ตั้งแต่มื้อเช้าข้ายังไม่ได้ทานอะไรมาเลย"
"ท่านพี่รองยังไม่ได้เสวยมื้อเช้ามาเลยหรือเพคะ?" นี่ก็จวนจะถึงเวลาของมื้อเย็นอยู่แล้ว
"ลดความอ้วน จะกินเยอะไม่ได้" ซุนอ๋องตอบ
MANGA DISCUSSION