ฟีนิกซ์นิพพาน-ตำนานหยวนชิงหลิง - ตอนที่ 93 การพึ่งพาคืออะไร
หยวนชิงผิงกลับไปยังจวนโหว ก่อนหน้าที่นางจะกลับไป นางก็ได้เข้ามาสวมกอดหยวนชิงหลิง พร้อมทั้งพูดเบาๆว่า "ขอบคุณนะ พี่สาว"
คำว่าพี่สาว ทำเอาหยวนชิงหลิงอ่อนไหว นางครุ่นคิดอยู่นาน และรู้สึกว่ายังไม่สามารถทำตามคำพูดของอวี่เหวินฮ่าวได้ทั้งหมด
"ท่านอ๋องอยู่ที่จวนหรือเปล่า?" นางถามฉีมามา
"อยู่เพคะ ประทับอยู่ที่ห้องหนังสือ"
"ข้าจะไปหาเขา" หยวนชิงหลิงจัดแจงเสื้อผ้าแล้วจึงเดินออกไป
หมอกยามเย็นลงหนา ภายในเขตจวนถูกปกคลุมไปด้วยสีทึบ เป็นความรู้สึกที่สงบเงียบและละมุนละม่อม ที่ห้องเครื่องมีควันไฟลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ กลิ่นของดอกไม้ไฟอบอวลไปทั่วทุกมุมในจวน มองดูเสมือนจริงและเสมือนภาพลวงตาในขณะเดียวกัน
ช่วงเวลาในวันนี้ ทำให้หยวนชิงหลิงให้สัมผัสถึงความรู้สึกของการได้ใช้ชีวิตที่แท้จริงท่ามกลางยุคสมัยที่นางกำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่การมีชีวิตไปเรื่อยเปื่อย! เมื่อมาถึงห้องหนังสือ ก็ประจวบเหมาะมีสาวใช้นางหนึ่งกำลังยกสำรับเครื่องเสวยมาที่หน้าประตูพอดี หยวนชิงหลิงได้เอ่ยขึ้นเบาๆว่า "ข้าทำเอง!"
สาวใช้น้อมตัวลง "เพคะ!"
หยวนชิงหลิงยกสำรับเครื่องเสวยเข้าไป ภายในห้องจุดเทียนเอาไว้ 2 เล่ม แสงนั้นทั้งเรืองรองและรำไร
เขากำลังเขียนตัวอักษรอยู่บนโต๊ะ มีกระดาษที่ถูกทิ้งจำนวนไม่น้อยเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้น หยวนชิงหลิงเดินเหยียบ นางมองเห็นด้านหลังของกระดาษบนพื้นแต่ละใบมีอักษรคำว่า "อดกลั้น" แสดงให้เห็นรางๆ
เมื่อได้ยินเสียงคนเดินมา เขาก็เงยหน้าขึ้น ภายใต้แสงเทียนที่ส่องไสว นางมองเห็นใบหน้าของเขาได้เลือนราง หว่างคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน แลดูตึงเครียดและเคร่งขรึม รอยแผลจากหางตาถึงใบหูเสริมความพิฆาตให้กับใบหน้านั้นมากกว่าเดิม
"เจ้ามาทำอะไร?" อวี่เหวินฮ่าววางพู่กันลงและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
หยวนชิงหลิงวางสำรับลงบนโต๊ะแปดเซียน แล้วเดินเข้าไปหาเขา "ได้เวลาเสวยแล้วเพคะ"
"ไม่กิน เอาออกไปซะ!" อวี่เหวินฮ่าวขมวดคิ้ว
นางยืนอยู่บนกองกระดาษที่เขียนคำว่าอดกลั้น สองมือของนางไม่รู้จะเอาไปไว้ตรงไหนดี นางได้แต่ก้มหน้าก้มตา "พวกเรามาคุยกันหน่อยนะเพคะ"
"หากเป็นเรื่องเมื่อครู่นี้แล้วล่ะก็ ไม่มีอะไรจะต้องพูดแล้ว ข้าตัดสินใจไปแล้ว" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไปใกล้เขาอย่างช้าๆ แล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ นางมองหน้าเขาและพูดออกมาด้วยความจริงใจ "อดกลั้น คงไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ หลายๆเรื่องเราควรจะอดกลั้น แต่การอดกลั้นก็มีขีดจำกัดของมัน หากถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจอดกลั้นต่อไปได้อีก ก็จะส่งผลต่อการกระทำต่างๆ หม่อมฉันไม่สนใจว่าใครต่อใครจะพูดอย่างไร หม่อมฉันสนใจแค่เพียงว่าธรรมะและอธรรมจะได้รับการตอบแทนที่สาสมหรือไม่ต่างหากล่ะเพคะ"
"เจ้าไม่สนใจงั้นหรือ? ปากก็บอกว่าได้ แต่หากคำพูดที่ไม่ดีได้ย้อนกลับมาทำร้ายเข้าจริงๆ ใครเล่าจะเพิกเฉยได้?" เขาเป็นผู้ช่ำชองและรู้ดี ตลอด 1 ปีมานี้ได้พบเจอกับคำพูดโจมตีมากมายสารพัด และคำพูดเหล่านั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ภายในหู
"ทำได้เพคะ หม่อมฉันไม่สนใจจริงๆ เพราะว่าในใจของหม่อมฉันมีสิ่งที่หม่อมฉันใส่ใจมากยิ่งกว่า"
"สิ่งที่ใส่ใจมากยิ่งกว่า?" อวี่เหวินฮ่าวเงยหน้าจ้องมองนาง "อะไรหรือ?"
"ความเชื่อมั่นเพคะ!"
"ความเชื่อมั่นคืออะไร?" อวี่เหวินฮ่าวเอ่ยถามอย่างแปลกใจ คำพูดเช่นนี้ ไม่เหมือนคำพูดที่หยวนชิงหลิงจะเป็นคนพูดออกมา
"ความเชื่อมั่นในการเกิดมาเป็นคน ไม่ยอมให้อธรรมเป็นตัวกำหนดในการทำลายล้างโลกใบนี้ ฮุ่ยติ่งโหวทารุณผู้หญิงมามาก เขาเป็นสัญลักษณ์ของอธรรมเพคะ" หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างผู้มีคุณธรรม แต่คำพูดนี้ นางไม่ได้พูดให้อวี่เหวินฮ่าวฟัง หากแต่ต้องการให้อวี่เหวินฮ่าวได้นำคำพูดนี้ไปกราบทูลต่อให้กับฮ่องเต้
"พูดจาธรรมดาๆหน่อยสิ" อวี่เหวินฮ่าวมองดูนางพลางขมวดคิ้ว
สายตาของหยวนชิงหลิงเยือกเย็น "แก้แค้น เขาเกือบทำให้หม่อมฉันต้องเสื่อมเสีย และจะฆ่าหม่อมฉันด้วย หากแค้นนี้ไม่ชำระ หม่อมฉันหยวนชิงหลิงคงทำใจยอมรับได้ยาก คงไม่สามารถอดทนอดกลั้นมองดูคนเลวได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขบนโลกใบนี้ได้หรอกเพคะ"
อวี่เหวินฮ่าวมีท่าทีที่อ่อนลง "ทำตามที่ข้าบอกก็แล้วกัน เขาคงโลดแล่นต่อไปได้ไม่นาน ข้าได้บอกเรื่องนี้ต่อจิ้งเหยียนไปแล้ว เขาจะแอบกราบทูลเสด็จพ่อในเวลาที่เหมาะสม"
"ไม่เพคะ ท่านอ๋อง ไม่จำเป็นต้องแอบกราบทูล ในเมื่อฮ่องเต้ทรงส่งท่านไปเป็นเจ้ากรมการพระนคร คงจะมีพระประสงค์ให้ท่านได้ทำงานอย่างแข็งขัน หากท่านไม่กราบทูล ให้แต่……จิ้งเหยียนอะไรนั่นไปแอบกราบทูล ฮ่องเต้คงจะทรงมองว่าท่านกลัวนั่นกลัวนี่ ขึ้นทำงานตำแหน่งใหญ่ๆลำบาก"
อวี่เหวินฮ่าวจ้องมองนาง "ใครเป็นคนสอนเจ้าให้พูดจาเช่นนี้?"
"เป็นสิ่งที่หม่อมฉันคิด ก็หม่อมฉันคิด จึงพูดออกมาเพคะ"
"เป็นไปไม่ได้ สมองของเจ้าไม่ได้รู้จักคิดถึงเพียงนี้"
"นี่เป็นการโจมตีคนคนหนึ่ง ขอท่านอ๋องทรงมีพระเมตตาด้วยเพคะ" หยวนชิงหลิงกล่าว
อวี่เหวินฮ่าวยื่นมือออกไป ในใจคิดจะผลักศีรษะของนางดังเช่นที่เคยทำ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าศีรษะส่วนหลังของนางนั้นยังเจ็บอยู่ เขาจึงเอามือไปตบไหล่ของนางเบาๆ "กินข้าว"
หยวนชิงหลิงก็ได้เอ่ยขึ้นว่า "ท่านต้องทรงรับปากกับหม่อมฉันก่อนนะเพคะ"
"อย่าพูดมากน่า กินข้าวได้แล้ว!" เขาคว้าข้อมือของนางแล้วจูงมาที่โต๊ะ "กินเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยนะ"
"หม่อมฉันทานแล้วเพคะ และทานน้ำแกงไปด้วย"
"เช่นนั้นก็คอยเฝ้าข้ากินก็แล้วกัน"
"ทราบแล้วเพคะ!" หยวนชิงหลิงกลอกตา
ท่าทางของเขาดูเหมือนจะหิวมาก เครื่องเสวยมื้อนี้ เขาทานจนหมดไม่เหลือแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว
"ทรงหิวขนาดนั้นเลยหรือเพคะ? จะให้คนทำมาเพิ่มให้ท่านอีกหน่อยหรือไม่?" นางจำได้ว่าเขามักจะควบคุมปริมาณอาหารทุกครั้งที่ทานข้าว การรับประทานอย่างรีบด่วนเช่นนี้ แสดงว่าเขาคงรู้สึกหิวเหลือเกิน
"ไม่ต้อง รอช่วยข้าเปลี่ยนชุดด้วย ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้"
หยวนชิงหลิงกระตือรือร้นขึ้นมา นางตอบอย่างอารมณ์ดี "เพคะ!"
ทั้งสองกลับมายังหอเซียวเยว่ หยวนชิงหลิงเปิดดูตู้เสื้อผ้า นางเห็นฉลองพระองค์มากมายพับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ จึงหันหน้ามาถามเขาว่า "จะทรงสวมใส่ตัวไหนดีเพคะ?"
"ชุดประจำตำแหน่ง!" เขาเอ่ยอย่างเย็นชา
"อ๋อ!" นางปิดประตูตู้เสื้อผ้า แล้วเดินมาหยิบชุดประจำตำแหน่งที่เขาได้ถอดแขวนไว้หลังจากที่กลับมายังจวนในวันนี้ นางสัมผัสผืนผ้าที่มีการเย็บปักอย่างประณีต นี่คือสัญลักษณ์แห่งพลัง! ฉลองพระองค์สีม่วงที่เอวเข้ารูป ที่ห้อยหยกที่เรียงตัวงดงาม สวมหมวกประจำตำแหน่ง เขาดูราวกับเป็นคมของอาวุธ ดูภูมิฐานและหนักแน่นขึ้นมาในทันที
หยวนชิงหลิงช่วยดูแลเรื่องการจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขาเป็นครั้งแรก แม้การอยู่ดูแลรับใช้คนจะเป็นเรื่องจุกจิก แต่ในวันนี้นางกลับรู้สึกเต็มใจ คำพูดคำจาก็อ่อนโยนลงมาก "ท่านอ๋องทรงดูดีจริงๆเลยเพคะ"
"ออกไปได้แล้ว!" เขาจ้องมองนาง
"เพคะ ประเดี๋ยวก็ค่อยออกไปเพคะ" นางเย้าแหย่เขากลับ จะยอมเขาง่ายๆได้อย่างไร
อวี่เหวินฮ่าวแอบอมยิ้มพลางชำเลืองมองดูหยวนชิงหลิง
หัวใจของหยวนชิงหลิงเต้นตุบๆ นางยืนมองเขาอย่างแน่นิ่ง
"เหม่ออะไรของเจ้า?" เขามิได้ต้องการให้นางมาคอยเปลี่ยนรองเท้าให้ เขานั่งลงและหยิบรองเท้ามาสวมใส่ด้วยตัวเอง
หยวนชิงหลิงได้สติกลับมา "เปล่าเพคะ หม่อมฉันกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้รอยแผลของท่านอ๋องจางลงได้เพคะ"
"ไม่จำเป็น ข้าไม่ได้รักสวยรักงามสักหน่อย" อวี่เหวินฮ่าวลุกขึ้นยืน เขาตัวสูงเลยศีรษะของหยวนชิงหลิงขึ้นไป หยวนชิงหลิงคิดว่าตนเองน่าจะสูงประมาณ 165 เซนติเมตร วัดเหนือระดับศีรษะขึ้นไป 22 เซนติเมตร นางคำนวณด้วยสายตาว่าเขาน่าจะสูงประมาณ 185 เซนติเมตร ไม่เกิน 187 เซนติเมตรแน่นอน ความต่างของส่วนสูงค่อนข้างเห็นได้ชัด ที่นี่ก็ไม่มีรองเท้าส้นสูงเสียด้วย การเดินข้างเขาทำให้นางดูเตี้ยลงไปถนัดตาจริงๆ
เฮ่อ อยู่ที่นี่จะไปเอาอะไรกับส่วนสูง? เอาชีวิตรอดก่อนจะดีกว่า
เมื่อส่งอวี่เหวินฮ่าวออกไปเรียบร้อยแล้ว หยวนชิงหลิงก็ค่อยๆก้าวเดินกลับมาข้างในห้อง นางคิดที่จะตามเข้าไปในวังด้วย แต่ว่า ในเวลานี้นางควรจะพักฟื้นอยู่ในจวนด้วยท่าทีหวาดกลัว ตื่นตกใจ และมีร่องรอยการบาดเจ็บ เช่นนี้จึงจะดูน่าสงสาร แต่สภาพจิตใจของนางกลับไม่อาจสงบนิ่งลงได้ เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์หัวใจเต้นแรงเมื่อครู่ที่ผ่านมา มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าพุ่งขึ้นมาจากฝ่าเท้ามุ่งตรงขึ้นมาที่ทรวงอก แล้วจึงแผ่ซ่านไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย
แต่นี่ช่างไร้ตรรกะสิ้นดี
อวี่เหวินฮ่าวเป็นผู้ชายโลเล ป่าเถื่อน พูดจาไม่น่าฟัง จะยอมใจอ่อน และล้มเลิกการแก้แค้นเพราะความใจดีของเขาเพียงแค่ครั้งเดียวนี้ไม่ได้เด็ดขาด
หยวนชิงหลิง เธอจะทำตัวด้อยค่าไร้ราคาเช่นนี้ไม่ได้นะ ความจริงใจของคนคนหนึ่งจะทุ่มเทพร่ำเพรื่อไม่ได้ นางจะต้องเป็นโรคสต็อกโฮล์มซินโดรมแน่ๆ อาการที่เด่นชัดของโรคชนิดนี้ก็คือผู้ป่วยจะเกิดสภาวะเสพติดการพึ่งพาและมีความเชื่อมั่นในตัวผู้ที่เคยทำร้ายตนเองมาก่อน โรคชนิดนี้จะต้องรีบทำการรักษา ส่วนวิธีรักษา คือการสร้างทัศนคติที่ดี ไม่ยึดติดอะไรง่ายเกินไป ทำความเข้าใจจุดอ่อนของผู้ที่เคยทำร้ายตนเองมาก่อนเพื่อเสริมสร้างทักษะการป้องกันตนเอง จำกัดขอบเขตไม่ให้คนร้ายได้เข้ามาทำร้ายได้ หญิงสาวที่เคยแข็งแกร่ง ตอนนี้กลับอ่อนลงมา นางไม่อยากต่อกรกับเขาอีกต่อไปแล้ว จะทำเช่นไรดีนะ?