จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ทรงกำลังตรวจตราข้อราชการ ก่อนหน้าที่พระองค์จะเสด็จมา ท่านบัณฑิตซุนเพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน ท่านบัณฑิตซุนขึ้นชื่อเรื่องปากสว่าง หากเขาได้เห็นอวี่เหวินฮ่าวมาทำความสะอาดในห้องทรงพระอักษรแล้วล่ะก็ ไม่ถึง 1 วัน เรื่องนี้คงได้แพร่งพรายออกไปตามฝ่ายต่างๆเป็นแน่
"เงยหน้าขึ้น!" พระสุรเสียงของจักรพรรดิหมิงหยวนตี้ดังมาจากฝั่งซ้ายของเขา
อวี่เหวินฮ่าวหยิบผ้า แล้วจึงค่อยๆหันมาพร้อมกับส่งยิ้มด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน "เสด็จพ่อ!"
มุมพระโอษฐ์ของจักรพรรดิหมิงหยวนตี้กระตุกแย้มขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงไม่นาน พระองค์ก็สามารถอดกลั้นรอยแย้มพระสรวลลงไปได้ พระองค์ตรัสอย่างเยือกเย็นว่า "คนอัปลักษณ์มักทำเรื่องแผลงๆเพื่อให้ผู้อื่นเดือดร้อน"
อวี่เหวินฮ่าวยืนทำตัวไม่ถูก คำว่าคนอัปลักษณ์มักทำเรื่องแผลงๆเพื่อให้ผู้อื่นเดือดร้อนมาเกี่ยวอะไรด้วยเล่า?
"มู่หยู นำยาขับพิษมาทาให้เขาหน่อย!" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ทรงมีพระราชบัญชา
"ยาขับพิษงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?" มู่หยูกงกงตะลึงงัน "นั่นมี……"
"ยังจะพูดมากอยู่อีก?" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ทรงตวาด
มู่หยูกงกงน้อมรับพระราชบัญชา เขาหยิบกล่องกระดองเต่าออกมาจากตู้ แล้วเดินมาตรงหน้าอวี่เหวินฮ่าว เขายิ้มและเอ่ยขึ้นว่า "ท่านอ๋องทรงอดทนหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ ยาขับพิษเมื่อทาลงไปแล้วจะแสบเล็กน้อย"
"ไม่เป็นไร ข้าไม่กลัวเจ็บ" อวี่เหวินฮ่าวรู้สึกซาบซึ้งในความเป็นห่วงเป็นใยจากเสด็จพ่อ
แต่ว่า เหตุใดสายตาของมู่หยูกงกงจึงดูเวทนาขึ้นมาเล่า? ทันใดนั้น เขาก็ไม่ต้องครุ่นคิดอะไรแล้ว ยาขับพิษที่ทาลงไป มันแสบเล็กน้อยเสียเมื่อไร? มันเป็นความเจ็บปวดที่สุดแสนจะพรรณนา ราวกับมีเข็มมาทิ่มแทงลงบนผิวหนัง เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด "เบาๆหน่อยสิ เบาๆหน่อย!"
"ความเจ็บแค่นี้ก็ยังทนไม่ได้ แล้วเจ้าจะไปทำอะไรสำเร็จได้?" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ตรัสด้วยความกริ้ว
อวี่เหวินฮ่าวกล้ำกลืนความเจ็บปวดลงไป แต่ทว่า ก็มันเจ็บจริงๆนี่นา ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสายตาของมู่หยูกงกงจึงดูเวทนาขึ้นมาเช่นนั้น หลังจากที่ทายาไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่าส่วนที่อยู่เหนือลำคอขึ้นมาไม่ได้เป็นของร่างกายเขาแล้ว เขาเจ็บจนชาไปหมด ไหนจะหนังตาที่บ่วมเป่งอีก เมื่อครู่ก็ยังพอจะลืมตาได้ครึ่งหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับลืมตาได้เพียงแค่นิดเดียว เขามองเห็นแค่เพียงเลือนลาง
"ไปเถอะ!" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้พระราชทานอภัยโทษ ยกเลิกโทษการกวาดพื้นของเขาแล้ว
"พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา!" อวี่เหวินฮ่าวยกมือขึ้นมาประสานกันเพื่อคารวะแล้วเดินจากไป เนื่องจากเขามองเห็นไม่ชัด จึงไม่ทันได้มองประตูทางเข้าดีๆ เขาดึงวัตถุทองแดงข้างประตูอย่างเต็มแรง
มู่หยูกงกงเปิดประตูให้พร้อมกับหัวเราะ "ท่านอ๋อง ทางนี้พ่ะย่ะค่ะ!"
แสงสว่างพอจะเล็ดลอดเข้ามาบ้างแล้ว อวี่เหวินฮ่าวจึงมองเห็น เขารีบจ้ำอ้าวออกไป แต่ดันไปชนกับประตูเข้าอย่างจัง เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บอย่างไรแล้ว เขาเดินออกไปอย่างทุลักทุเล
มู่หยูกงกงกลั้นหัวเราะไม่ได้จริงๆ แต่เมื่อหันมาเห็นสีพระพักตร์อันเคร่งขรึมของจักรพรรดิหมิงหยวนตี้แล้วเขาก็รีบหุบยิ้ม แล้วจึงพูดกลบเกลื่อนไปว่า "อาการบวมของท่านอ๋องรุนแรงจริงๆพ่ะย่ะค่ะ"
ด้านนอก มีเสียงวัตถุบางอย่างกลิ้งลงไปตามขั้นบันไดหิน จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ตรัสอย่างไร้ความรู้สึก "สมน้ำหน้า"
มู่หยูกงกงรีบออกไปดู เป็นท่านอ๋องกำลังกลิ้งตกบันไดอยู่นั่นเอง กู้ซือมาประคองเขาเดินอย่างทุลักทุเล ช่างน่าสงสารเสียจริง!
"ฮ่องเต้ ที่นี่ก็มียาไป่ฮวา เหตุใดจึงต้องทายาขับพิษให้ท่านอ๋องด้วยล่ะพ่ะย่ะค่ะ? นั่นเป็นยาที่ปวดแสบปวดร้อนมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ" มู่หยูกงกงเคยใช้ยาขับพิษ ความเจ็บปวดนั้นหาใช่ความเจ็บปวดธรรมดาไม่ แล้วอีกอย่าง ยาขับพิษใช้ได้กับผิวหนังที่บวมเท่านั้น หากมีรอยแผล จะยิ่งทำให้บวมหนักขึ้นกว่าเดิม
"ไม่เจ็บแล้วจะได้บทเรียนได้อย่างไร?" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ทำสีพระพัตร์เคร่งขรึม "เอาล่ะ นำยาไป่ฮวาส่งไปให้เขาด้วย"
อวี่เหวินฮ่าวเจ็บปวดเป็นที่สุด เขาถูกกู้ซือประคองกลับมานั่งพักที่หอซีนวลบริเวณตำหนักเฉียนคุน
หยวนชิงหลิงกำลังเก็บกวาดอยู่นอกหอซีนวล เมื่อนางเห็นใบหน้าของเขาบวมเป่งมากขึ้นกว่าเก่า แถมตาก็ยังลืมไม่ขึ้นแล้ว นางจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า "นี่ท่านทายาอะไรไปหรือเพคะ? เหตุใดรอยแผลจึงดูบวมขึ้นกว่าเดิมอีก?"
อวี่เหวินฮ่าวบรรจุเพลิงแค้นไปทั่วสรรพางค์กาย เขาไม่อยากจะใส่ใจนาง จึงพูดกับกู้ซือทั้งๆที่ตาหรี่เล็กไปว่า "พาข้าเข้าไปข้างใน ข้าไม่อยากเห็นคนที่ข้าเบื่อหน่าย"
หยวนชิงหลิงไม่เคยพบไม่เคยเห็นคนใจน้อยเช่นนี้เลยจริงๆ เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าเดิมทีเขาต่างหากที่คิดจะทำร้ายนาง จึงต้องถูกฝูงต่อรุมต่อย ตอนนี้กลับมาทำราวกับว่านางนั้นเป็นคนบาป นางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "ตรัสราวกับว่าท่านทอดพระเนตรเห็น ไม่ดูตัวเองเลยนะเพคะว่าพระเนตรทั้งสองบวมราวกับก้นลิง อย่าให้ต้องพูดเลยเพคะว่าน่าเกลียดแค่ไหน"
"หยวนชิงหลิง!" อวี่เหวินฮ่าวโกรธจนอกแทบจะระเบิด "หุบปากเดี๋ยวนี้นะ"
หยวนชิงหลิงพาดไม้กวาดลงไปบนไหล่ "เหตุใดหม่อมฉันจะต้องหุบปากด้วยล่ะเพคะ? หม่อมฉันกำลังจะไปแล้ว ฉางกงกงบอกว่าได้เตรียมน้ำถั่วเขียวต้มเอาไว้ หม่อมฉันจะไปดื่มน้ำถั่วเขียวต้ม เชิญท่านบ้าของท่านไปคนเดียวก็แล้วกันนะเพคะ"
พวกเขาไม่ลงรอยกันเลยจริงๆ ก่อนหน้านี้แค่ดูใสซื่อไปหน่อย
อวี่เหวินฮ่าวถูกกู้ซือประคองเข้าไปข้างใน เมื่อได้นั่งลงแล้วก็พร่ำบ่นไม่ยอมหยุดปาก
กู้ซือทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ "ท่านอ๋อง นี่ท่านทรงเป็นอะไรไปหรือ? เหตุใดจึงไม่ทรงลงรอยกับพระชายาเอาเสียเลยล่ะพ่ะย่ะค่ะ?"
"กู้ซือ" อวี่เหวินฮ่าวโกรธจนทุบขอบเตียง "เจ้าไม่ได้ฟังฝีปากอันร้ายกาจของนางเลยงั้นหรือ? นางบอกว่าตาทั้งสองของข้าเหมือนก้นลิง"
"กระหม่อมขอทูลถามท่านอ๋อง พระชายาในสมัยก่อนร้ายกาจหรือพระชายาในตอนนี้ร้ายกาจพ่ะย่ะค่ะ?" กู้ซือเอ่ยถาม
อวี่เหวินฮ่าวตอบโดยไม่ต้องคิด "ร้ายกาจเหมือนๆกัน"
"ตอนที่ทรงมีปากเสียงกันเมื่อครั้งก่อน นางก็ใส่พระทัยท่าน แต่ท่านกลับไม่ใส่พระทัยนางเลย แล้วเหตุใดตอนนี้ นางตรัสเพียงไม่กี่คำ ท่านก็ดูเป็นเดือดเป็นร้อนถึงเพียงนี้ได้? นางทรงเปลี่ยนไป หรือว่าท่านทรงเปลี่ยนไปกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?" กู้ซือถามกลับ
อวี่เหวินฮ่าวถึงกับอึ้งไป! ใช่แล้ว เหตุใดจึงต้องเก็บคำพูดของนางมาใส่ใจได้มากถึงเพียงนี้? เรื่องที่นางก่อขึ้นในสมัยก่อนไม่ร้ายกาจหรืออย่างไร? ไม่น่าเกลียดเลยงั้นหรือ? มันน่าชิงชังและน่ารังเกียจที่สุด แล้วตอนนี้ล่ะ?
เขาสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วนึกทบทวนสิ่งที่นางได้กระทำลงไปในช่วงที่ผ่านมา บางครั้งก็ร้ายกาจ บางครั้งก็เข้าท่า บางครั้งก็ดูน่ารักเสียด้วยซ้ำ อย่างเช่นตอนที่นางจับมีดแล้วพูดพล่ามตอนเมา เขายอมรับว่า เพียงแค่รำพึงรำพันคำว่าหยวนชิงหลิงสามพยางค์นี้ออกมา ก็ทำให้เขาต้องหายใจถี่และสมองก็แทบจะระเบิด แต่ว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ?
กู้ซือเอ่ยขึ้น "ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองดูเถิด" เมื่อพูดจบ ก็หันหลังจากไป
อวี่เหวินฮ่าววางสองมือบนหลังศีรษะ เขาหรี่ตาอย่างรู้ตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา ไม่ต้องหรี่ตาแล้ว มองอะไรไม่เห็นแล้ว ที่ผ่านมา เขาทำเรื่องงี่เง่าเช่นนั้นลงไปจริงๆหรือ? มองเห็นรังต่อ ก็คิดจะเล่นงานผู้หญิงที่น่าเกลียดคนนั้น เรื่องเช่นนี้ หลังจากที่เขาอายุเกิน 10 ขวบก็เลิกทำไปนานแล้ว เหตุใดในตอนนี้ เขาจึงต้องทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองในตำหนักเฉียนคุน? เพียงเพราะต้องการยั่วโมโหหยวนชิงหลิงเท่านั้นเองหรือ? เห็นที คงต้องอยู่ให้ห่างผู้หญิงคนนี้เอาไว้เสียแล้ว มิฉะนั้น ไม่รู้ว่าต่อไปตัวเองจะทำเรื่องงี่เง่าอะไรขึ้นมาอีก
หยวนชิงหลิงกลับมายังตำหนักเฉียนคุน นางยังคงรู้สึกแย่อยู่เล็กน้อย
ไท่ซั่งหวงทอดพระเนตรมาที่นาง "เวลาที่เจ้ากินอาหารอย่าส่งเสียงได้ไหม? ไม่น่าฟังเลยจริงๆ"
หยวนชิงหลิงวางช้อนลง "หม่อมฉันไม่ทานแล้วเพคะ"
"โกรธงั้นหรือ?" ไท่ซั่งหวงเอ่ยถาม
"ไม่โกรธเพคะ" หยวนชิงหลิงครุ่นคิด นางเห็นว่าไม่จำเป็นจะต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ นางจึงพูดอย่างขุ่นเคืองใจว่า "ไม่โกรธก็แปลกแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่เคยพบไม่เคยเห็นผู้ชายใจร้ายเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ หม่อมฉันก็หลงคิดว่าเขาจะใจดีช่วยหม่อมฉันทำความสะอาดห้องทรงพระอักษร ยังรู้สึกซาบซึ้งในใจอยู่เลย ใครจะไปรู้ว่าเขาตั้งใจวางแผนให้ฝูงต่อมาทำร้ายหม่อมฉัน"
"สุดท้ายแล้วเขาก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองมิใช่หรือ?" ไท่ซั่งหวงถามนาง
"ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอกเพคะ หม่อมฉันแค่รู้สึกแปลกใจ เดิมทีหม่อมฉันก็คิดที่จะญาติดีกับเขา ตอนที่เข้าวังมาในวันนี้ พวกเราเพิ่งจะได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันมา พระองค์ทรงคิดดูสิเพคะ คนคนนี้จะหยุดบ้างไม่ได้เลยหรืออย่างไร? หม่อมฉันดูน่ารังแกนักหรือเพคะ? เขาจะต้องคิดหาหนทางมาทำร้ายหม่อมฉันจึงจะสาแก่ใจของเขาได้ใช่หรือไม่เพคะ?"
หยวนชิงหลิงยิ่งคิดก็ยิ่งเคือง
ไท่ซั่งหวงส่ายพระพักตร์ "ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะทำเช่นนี้ เจ้าเข้าใจเขาผิดแล้ว"
"มิได้เข้าใจผิดหรอกเพคะ เขาเองก็ยอมรับแล้ว" หยวนชิงหลิงตอบอย่างไม่สบอารมณ์
"เขาเป็นคนหนักแน่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พ่อของเขาเพิ่งจะให้เขาไปรับงานที่กรมการพระนคร เขาจะมาก่อเรื่องในวังได้อย่างไรกัน?" ไท่ซั่งหวงไม่ทรงเชื่อ แต่ว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง หลานชายคนนี้ก็น่าจะได้รับการช่วยเหลือ อย่างน้อยๆ จะได้เป็นที่รู้จักของใครต่อใครขึ้นมาบ้าง
MANGA DISCUSSION