ระหว่างร่วมโต๊ะเสวยไม่มีการพูดคุยใดๆ จนกระทั่งรับประทานไปถึงจานสุดท้าย หยวนชิงหลิงนับดูแล้วรวมน้ำแกงตุ๋นเข้าด้วยมีอาหารทั้งหมดสิบอย่าง
เดิมนึกว่าฝ่าบาทจะเป็นคนมัธยัสถ์ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะฟุ่มเฟือยเช่นนี้ อาหารเก้าจานและน้ำแกงหนึ่งจานสำหรับสองคน ข้าวสวยเติมได้ตามใจ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
มู่หยูกงกงส่งผ้าเช็ดหน้าอุ่นให้ฝ่าบาทเช็ดมุมปาก
เมื่ออาหารที่เหลือถูกนำออกไปแล้ว หยวนชิงหลิงคิดว่าฝ่าบาทคงจะไม่ถามอะไรแล้ว ฮองเฮาไม่สบาย เขาคงจะไปเยี่ยมฮองเฮา
นางลุกขึ้นและยอบกายลง "หม่อมฉันไม่กล้าทำให้การไปเยี่ยมเสด็จแม่ของเสด็จพ่อล่าช้า หม่อมฉันทูลลาเพคะ"
"นั่งลง!" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้บีบมือ ใช้สายตาอันน่าเกรงขามกวาดมองนางเล็กน้อย จากนั้นจึงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้มู่หยูกงกงและข้ารับใช้ในตำหนักออกไป
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้กับหยวนชิงหลิงนั่งอยู่ตรงข้ามกัน มีระยะห่างขวางกั้นเพียงเอื้อมแขนเท่านั้น เมื่อคนในตำหนักออกไปกันหมดแล้ว บรรยากาศบีบคั้นก็ปกคลุมลงมาอีกครั้ง
แต่ทว่าเมื่อผ่านมื้ออาหารหนึ่งไปแล้ว นางก็ผ่อนคลายลงมาก
"เจ้ากับเจ้าห้านั่นเข้ากันได้ดีหรือไม่?"
หยวนชิงหลิงจัดระเบียบสีหน้า ในที่สุดก็เข้าสู่ประเด็นหลักแล้ว
ปัญหานี้ แม้ว่าจะอยู่เหนือความคาดหมายของนาง แต่ก็ตอบไม่ยากนัก ไม่มีอะไรมากไปกว่าสี่คำนี้ ทะเลาะตบตี
นางยิ้มบางๆ และตอบว่า "ให้เกียรติซึ่งกันและกันเพคะ!"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้มองนางด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง "เจ้ารู้สึกว่าเขานิสัยเป็นอย่างไร?"
"ท่านอ๋องเป็นผู้มีคุณธรรมเพคะ!" หยวนชิงหลิงฝืนเก็บมโนธรรมไว้ในใจแล้วยิ้มบางๆ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่าบาทต้องการจะรู้ เขาไม่มีเวลามาสนใจว่าระหว่างพวกนางสามีภรรยาจะปรองดองดีหรือไม่หรอก
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้กลับหัวเราะขึ้น
ราวกับเขาได้ยินเรื่องที่ขบขันยิ่งนัก
หยวนชิงหลิงพยายามรักษารอยยิ้มไว้
"แต่งงานมาหนึ่งปีแล้วกระมัง? ท้องของเจ้ายังไม่มีความเคลื่อนไหวหรือ ที่ว่าเคารพให้เกียรติกันและกันก็เป็นเพียงเช่นนี้เอง" เมื่อจักรพรรดิหมิงหยวนตี้หัวเราะเสร็จแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
ความเรียบง่ายหยาบคายและตรงไปตรงมาเช่นนี้ หยวนชิงหลิงยังคงรับบทสนทนาต่อไปได้ "ยังคงพยายามอยู่เพคะ เชื่อว่าอีกไม่นานต้องเพิ่มหลานให้ฝ่าบาทได้อย่างแน่นอน"
สายตาของจักรพรรดิหมิงหยวนตี้ฉายแววประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง ยามปกติแล้วหากสะใภ้ได้ยินผู้ใหญ่ในครอบครัวกล่าวเช่นนี้ไม่ควรมีท่าทีอึดอัดไม่สบายใจหรือว่าก้มหน้าลงอย่างละอายขายหน้าหรอกหรือ?
นางกลับบอกว่ากำลังพยายามอยู่? ไม่รักษาหน้าเสียหน่อยหรือ?
หยวนชิงหลิงกลับคิดว่าที่นางพูดไปไม่มีปัญหาใดๆ บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอย่างเหมาะสมประดับอยู่
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้กล่าวอย่างราบเรียบ "เช่นนั้นก็ดี ข้าจะรออุ้มหลานก็แล้วกัน"
หยวนชิงหลิงยิ้มบางๆ "เพคะ หม่อมฉันจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวังแน่เพคะ"
ช่างไร้ยางอายเสียจริง!
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ชะงักไปเล็กน้อย "เจ้าห้าอาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?"
หยวนชิงหลิงตอบอย่างลื่นไหลไม่ติดขัด "คงที่ชั่วคราวเพคะ"
"ไปเถอะ กลับไปดูแลเขาเถอะ!" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้โบกมือ
หยวนชิงหลิงอึ้งไปเล็กน้อย แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วหรือ? เมื่อครู่เพิ่งจะเข้าประเด็นเองมิใช่หรือ
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ลุกขึ้นยืนและเดินออกไป มู่หยูกงกงได้จัดเตรียมขบวนเสด็จไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อขานว่าฝ่าบาทเสด็จแล้วเขาก็จากไป
หยวนชิงหลิงยังคงอึ้งอยู่ ไม่ถามนางเรื่องอวี่เหวินฮ่าวสักนิดเลยหรือ? อ้อ เหมือนจะถามเรื่องอาการบาดเจ็บไปแล้ว แต่ว่านางเตรียมคำพูดมาเยอะแยะเลยเชียวนะ
ภายในวังจงเซิน ฉู่หมิงฉุ่ยรออยู่ก็พบเพียงหมอหลวง
หมอหลวงตรวจชีพจรให้ฮองเฮาแล้วก็เพียงแต่บอกว่าลมปราณตับของนางติดขัด ไม่มีปัญหาใหญ่ใดๆ เพียงเขียนตำรับยาแล้วจึงจากไป
เมื่อหมอหลวงจากไปแล้วจึงได้ยินคนจากด้านนอกขานว่า "ฝ่าบาทเสด็จ!"
ฉู่หมิงฉุ่ยยืนขึ้น ตอนนี้ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้วฝ่าบาทจึงจะเสด็จมา เกรงว่าคงจะเสวยเสร็จเรียบร้อยแล้วกระมัง?
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ก้าวเท้ายาวเข้ามาในตำหนัก ฉู่หมิงฉุ่ยรีบย่อกายคำนับ "ถวายพระพรเพคะเสด็จพ่อ!"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้เหลือบมองนางแวบหนึ่งและเอ่ยว่า "พระชายาฉีอ๋องก็อยู่ด้วยหรือ? ช่างกตัญญูยิ่งนัก"
"เป็นเรื่องที่หม่อมฉันสมควรทำเพคะ" ฉู่หมิงฉุ่ยยิ้มบางๆ
ฉู่ฮองเฮายันกายขึ้นด้วยท่าทางกะปลกกะเปลี้ยเพลียแรง "ฝ่าบาทมาได้อย่างไรเพคะ? หม่อมฉันไม่เป็นอะไรมาก"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้นั่งลงข้างเตียงและมองหน้าฮองเฮา "ไม่ใช่ว่าเจ้าส่งคนไปเชิญเจิ้นมาหรือ?"
ฉู่ฮองเฮารู้สึกอับอายเล็กน้อยพลางเหลือบมองฉู่หมิงฉุ่ย
ฉู่หมิงฉุ่ยจึงรีบกล่าวว่า "เสด็จพ่อ เป็นหม่อมฉันเองเพคะที่ส่งคนไป หม่อมฉันเห็นเสด็จแม่หมดสติไปก็ว้าวุ่น ท่านอ๋องก็ไม่อยู่…"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้กล่าวว่า "เดิมเจ้าก็เป็นคนมีความคิด เหตุใดวันนี้จึงไม่มีความคิดไปเสียได้?"
ในใจฉู่หมิงฉุ่ยกระตุกวาบ เหตุใดคำพูดในวันนี้ของฝ่าบาทดูจะมีแววประชดประชันแอบซ่อนอยู่?
ต้องเป็นเพราะหยวนชิงหลิงพูดให้ร้ายหน้าต่อหน้าฝ่าบาทแน่
นางเห็นว่าจักรพรรดิหมิงหยวนตี้ยังมองนางอยู่จึงตอบอย่างเขินอายเล็กน้อย "หม่อมฉันกังวลเสด็จแม่เพคะ"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้หันไปมองฮองเฮา "หมอหลวงว่าอย่างไร?"
ฮองเฮากล่าวอย่างนุ่มนวล "หมอหลวงบอกว่าเลือดลมพร่องบกกับลมปราณตับติดขัดจึงได้เป็นลมไปเพคะ พักสักระยะหนึ่งก็คงไม่เป็นอะไรแล้วเพคะ"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ห่มผ้าให้นางและพูดอย่างอ่อนโยน "อืม เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนให้ดีเถิด ทางด้านไท่ซั่งหวงนั้นเจ้าก็ไม่ต้องไปแล้ว"
ฮองเฮาตะลึงงันและรีบพูดว่า "หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ"
"เจิ้นรู้ว่าเจ้ากตัญญู" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ยิ้มบางๆ สายตาของเขาอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นจึงมองดูฉู่หมิงฉุ่ย "เจ้าดูแลฮองเฮาให้ดี ทางด้านไท่ซั่งหวงนั้นให้พระชายาฉู่อ๋องดูแลเฝ้าไข้ไปก็พอ"
ฉู่หมิงฉุ่ยหน้าซีดเผือดลงทันที คำพูดนี้ของฝ่าบาทเป็นการไม่อนุญาตให้นางไปปรากฏตัวหน้าพระพักตร์ของไท่ซั่งหวงอย่างชัดเจน
ให้พระชายาฉู่อ๋องดูแลไปก็พองั้นหรือ? นางสำคัญเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน?
ฮองเฮากล่าวว่า "เจตนาของพระชายาฉู่อ๋องยังไม่ชัดเจน ฝ่าบาทจะให้นางไปคอยรับใช้ดูแลที่ตำหนักเฉียนคุนไม่ได้นะเพคะ นางรักษาให้ไท่ซั่งหวงโดยพลการนับเป็นการทำความผิดร้ายแรง ฝ่าบาทเห็นใจฉู่อ๋องจึงไม่ลงโทษ แต่ก็ต้องคิดถึงพระพลานามัยของไท่ซั่งหวงเป็นสำคัญนะเพคะ"
ฉู่หมิงฉุ่ยก็เอ่ยเสริมว่า "เสด็จพ่อ หม่อมฉันคิดว่าที่เสด็จแม่กล่าวมามีเหตุผลเพคะ พระพลานามัยของไท่ซั่งหวงนั้นสำคัญที่สุด จะให้พระชายาฉู่อ๋องใช้วิธีแปลกๆ ในการรักษาได้อย่างไร? แล้วหมอหลวงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเล่าเพคะ?"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้เงยหน้าขึ้นมองฉู่หมิงฉุ่ย "เจิ้นคิดว่าจะลองวิธีพิสดารเสียหน่อยก็ไม่เสียหาย อย่างไรที่ไท่ซั่งหวงก็อาการดีขึ้นนั้นล้วนอาศัยวิธีของพระชายาฉู่อ๋อง"
เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนตี้ก็มีบุคลิกเคร่งขรึมจริงจัง ยามนี้เมื่อเขาพูดกับฉู่หมิงฉุ่ยอย่างอ่อนโยน ในใจของนางกลับร้อนรนขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ สติสัมปชัญญะของนางบอกนางว่าไม่อาจพูดอะไรต่อได้อีกแล้ว แต่ทว่านางกลับไม่เต็มใจเล็กน้อยและเอ่ยว่า "เสด็จพ่อ เรื่องที่ไท่ซั่งหวงต้องพิษนั้นตรวจสอบชัดเจนแล้วหรือเพคะว่าไม่ใช่ฝีมือของพระชายาฉู่อ๋อง?"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้มองฮองเฮาและเอ่ยอย่างราบเรียบ "เรื่องที่ไท่ซั่งหวงถูกพิษนั้น เจิ้นออกราชโองการให้เก็บเป็นความลับ เหตุใดพระชายาฉีอ๋องจึงรู้ได้?"
ฮองเฮาตอบว่า "หม่อมฉันบอกนางเองเพคะ เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก หม่อมฉันจึงปรึกษากับชุ่ยเอ๋อร์ ฝ่าบาทเห็นว่ามีอะไรไม่ได้หรือเพคะ?"
เดิมในใจนางก็รู้สึกไม่พอใจที่ฝ่าบาทให้หยวนชิงหลิงร่วมโต๊ะเสวยเป็นการส่วนตัว ยามนี้เมื่อฝ่าบาทมาหานาง ไม่กังวลเรื่องร่างกายของนางแต่กลับเอาแต่ยกย่องชมเชยความดีของหยวนชิงหลิง ริ้วโทสะของนางจึงได้พุ่งขึ้นมาอีก
"ปรึกษา?" สายตาของหยวนชิงหลิงเย็นเยียบ "เรื่องของไท่ซั่งหวงต้องให้ฮองเฮากับพระชายาฉีอ๋องลอบปรึกษากันตั้งแต่เมื่อไหร่? ดูแล้วในวังจงเซินแห่งนี้มีผู้มากความสามารถอยู่มากมายนัก"
ฮองเฮาขอบตาแดง "ฝ่าบาทพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ? รังเกียจที่หม่อมฉันกับชุ่ยเอ๋อร์ยุ่งไม่เข้าเรื่องหรือเพคะ? หม่อมฉันปกครองวังหลังมาหลายปี ไม่เคยกลัวความลำบาก เรื่องต่างๆ ในวังก็กังวลจนเป็นนิสัย ตั้งแต่ที่ไท่ซั่งหวงล้มป่วยลง หม่อมฉันก็วิตกกังวลร้อนอกร้อนใจและไม่อาจวางใจลงได้ พระชายาฉีอ๋องเป็นผู้เฉลียวฉลาด หม่อมฉันปรึกษานางได้ทุกเรื่อง มีอะไรที่ไม่ได้หรือเพคะ? แต่กลับเป็นฝ่าบาทที่ไม่ลงโทษพระชายาฉู่อ๋อง นางมีความผิดแต่กลับไม่ต้องรับโทษ เมื่อฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้แล้วต่อไปหม่อมฉันจะปกครองวังหลังอย่างไร? ความน่าเกรงขามของราชวงศ์มิสูญสิ้นไปหมดหรือเพคะ?"
…
MANGA DISCUSSION