ทังหยางสั่งให้ลู่หยาไปนำยามา หลังปลอบฉีมามาอีกสองสามคำก็หมุนตัวจากไป
ฉีมามาคอยเฝ้าอยู่ เมื่อค่ำลงก็เริ่มรู้สึกกลัว
ลู่หยาก็มาอยู่เป็นเพื่อนนางด้วย ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดจากัน กลั้นหายใจมองไปที่หั่วเกอ กลัวว่าเขาจะหายใจไม่ออก
อย่างไรก็ตามหัวเกอเพียงหลับสนิท จนใกล้ยามจื่อจึงตื่นขึ้นมา เขาลืมตามองไปที่ฉีมามา "ท่านย่า ข้าหิว!"
ฉีมามาแทบจะกระโดดขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็กินอะไรไม่ลง แม้แต่นมแพะที่นางหามาอย่างลำบากเขาก็กินไม่ลง
นางเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเขา มันไม่ร้อนอีกต่อไป
"ยาของหมอได้ผลแล้ว!" ฉีมามาพูดกับลู่หยาอย่างดีใจ
"ใช่แล้ว ยาของหมอได้ผล!" ลู่หยาก็ดีใจมากเช่นกัน
หมอลี่ถูกเชิญมาที่จวนฉู่อ๋องอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
เมื่อได้ยินว่าเด็กยังไม่ตาย หมอลี่ก็รู้สึกทึ่งมาก "เด็กคนนี้ช่างโชคดีจริงๆ เกือบจะไปแล้วแท้ๆ"
ฉีมามาคุกเข่าลงและโขกศีรษะคำนับ "ท่านหมอ ท่านจ่ายยาอีกตำรับเพื่อช่วยหลานชายของข้าด้วยเถอะ"
หมอลี่ผงะ ยาที่เขาจ่ายไปเมื่อวานไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้เลย อย่างดีที่สุดก็แค่เพียงเพื่อบรรเทาอาการปวดและระงับประสาทเท่านั้น ไม่มีผลอะไรนักกับอาการบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตามอาจเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้คิดให้รอบคอบ
เขาได้ตรวจชีพจรของหั่วเกอแล้ว มันดีขึ้นกว่าเมื่อวานจริงๆและร่างกายของเขาก็ไม่ได้ร้อนมากแล้ว
ดังนั้นเขาจึงสั่งยาใหม่ "ให้สาวใช้ตามข้ากลับไปเอายา ยานี้กินสองวันติดกัน แล้วยังมียาผงใช้โรยที่แผล หากดีขึ้นก็ค่อยมาเอายาเพิ่ม"
"ขอบคุณเจ้าค่ะ!"
"ค่าหมอค่ายาใครจะเป็นคนจ่าย?" หมอลี่ถาม
ทังหยางเป็นผู้ออกค่าหมอให้เมื่อวาน แต่ค่าหมอและค่ายาของวันนี้ฉีมามาจะต้องเป็นคนจ่าย
ฉีมามามองมือของหมอและถามอย่างไม่แน่ใจ "ห้าสิบเหวิน?"
"ห้าตำลึง!" หมอลี่กล่าวอย่างไม่พอใจ
เขาไม่ใช่หมอยาเร่ร่อน ไม่สั่งยาเพียงราคาไม่กี่เหวิน
ดวงตาของฉีมามาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
เงินห้าตำลึง? นั่นเป็นเงินเดือนของนางถึงครึ่งปีเชียวนะ
นี่เป็นเพียงยาสองมื้อเท่านั้น
แต่ชีวิตของหลานชายนั้นมีค่ากว่าเงินทอง นางจึงกัดฟันและหยิบเงินห้าตำลึงยื่นให้หมอไป
ลู่หยาตามหมอลี่ไปเอายา เมื่อนางกลับมาก็เห็นฉีมามาก้มหน้าร้องไห้ นางจึงปลอบใจ "ป้าอย่าเสียใจไปเลย หั่วเกอจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน"
ฉีมามาพูดอย่างเกลียดชัง "ทำไมถึงได้มีคนที่โหดร้ายขนาดนั้นได้นะ? ข้านึกถึงตอนที่พังประตูเข้ามาข้าเห็นนางถือมีดกรีดตาของหั่วเกอ ข้าล่ะอยากจะฆ่านางนัก หากหั่วเกอเป็นอะไรไป ข้าก็จะไม่ขออยู่อีกต่อไป แม้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะฆ่านางให้ได้"
ลู่หยาปลอบใจ "อย่าโมโหไปเลย ไม่คุ้มที่จะโกรธจนเสียสุขภาพ ท่านอ๋องมีคำสั่งแล้วว่าให้ปล่อยนางไปตามยถากรรม นางถูกโบยจนเจ็บหนักขนากนั้นแล้ว ข้าเองก็จะไม่เอาอาหารไปส่งให้นางอีก ให้นางป่วยตายก็ดี อดตายก็ดีถือว่าเป็นการแก้แค้น"
ภายในหอเฟิ่งอี๋
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่านางหมดสติไปนานเท่าใด นางค่อยๆตื่นขึ้นมา ในห้องนั้นมืดสนิท
นางผิดหวังที่ไม่ได้ฝันว่ากลับไปที่ห้องทดลอง
นางลุกขึ้นคลำทางไปที่โต๊ะ จำได้ว่ามีน้ำชาและหมั่นโถววางอยู่บนโต๊ะ
นางต้องการดื่มน้ำและกินอาหาร
ในกล่องยาไม่มีน้ำตาลกลูโคส ดังนั้นจึงไม่สามารถให้น้ำเกลือแก่ตัวเองได้
ระยะเพียงไม่กี่ก้าว นางคลานอยู่นานกว่าจะไปถึง นางพยายามลุกขึ้นอย่างช้าๆแต่ไม่สามารถทรงตัวได้จึงทรุดตัวลงคุกเข่าอีกครั้งดังฟุ่บ แต่นางคว้าหมั่นโถวไว้ได้หนึ่งชิ้น นางก็นอนลงบนพื้นและค่อยๆกินคำเล็กๆ
นางรู้ว่านางมีไข้จึงไม่กล้ากินมากนัก เพื่อที่จะได้ไม่ไปเพิ่มภาระให้กระเพาะอาหาร
หลังจากกินซาลาเปาเกือบหมดแล้ว นางก็รู้สึกว่ามีแรงฟื้นคืนมาบ้างและพยายามลุกขึ้นไปนอนบนโต๊ะ ใช้ร่างกายท่อนบนพยุงตัวทำให้นางไม่สามารถรินน้ำได้ จึงได้แต่ดื่มน้ำที่เหลืออยู่ในแก้วเท่านั้น
เมื่อรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย นางก็ค่อยๆพยายามขยับขาและปล่อยให้ตัวเองนอนลง นางไม่มีแรงเลยจึงยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้น บาดแผลที่หลังก็ยังปวดอยู่เป็นพักๆ
นางกัดฟันทนแล้วจึงใช้ข้อศอกดันและคลายไปหากล่องยา แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่นางก็จำได้ว่ายาแก้อักเสบและยาแก้ไข้อยู่ตรงไหน
นางไม่สามารถฉีดยาได้จึงกินยาในปริมาณที่มากกว่าเดิมเท่านั้น
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง นางก็คลำเอาวิตามินซีออกมากินหลายเม็ด ไม่มีน้ำให้กลืนจึงเปรี้ยวเสียจนอยากทุบดิน
กินยาแล้วนางก็นอนขดตัวและหอบอยู่กับพื้น ตั้งแต่ออกจากท้องแม่มานางไม่เคยทรมานขนาดนี้มาก่อนเลย การถูกโบยครั้งนี้ทำให้นางตระหนักได้ว่ายุคนี้แตกต่างอย่างมากกับยุคปัจจุบันของนาง ผู้มีอำนาจ ในมือมีอำนาจตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้
และชีวิตของนางก็ถูกบีบอยู่ในมือของฉู่อ๋อง
นางต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตที่โหดร้ายนี้
ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง แม้ว่าหนองที่แผลจะถูกทำความสะอาดแล้ว แต่หากใช้ยาก็ไม่สามารถหายได้
ณ ลานกว้าง
หลังจากที่หั่วเกอกินยาแล้วก็มีไข้สูงอีกครั้ง
ฉีมามาร้อนใจจนแทบคลั่ง ตอนกลางวันเห็นได้ชัดว่าเขาอาการดีขึ้นมาก ทำไมพอตกกลางคืนเขาถึงเริ่มมีไข้สูงอีกครั้ง?
ลู่หยาก็ร้อนใจเช่นกันและพูดว่า "หรือว่าให้ข้าไปตามหมอลี่อีกครั้งเถอะ"
ฉีมามามองไปยังหลานชายของนางที่นอนหมดสติ แม้กระทั่งหายใจยังลำบาก และนึกถึงยาห้าตำลึงของหมอลี่ ตอนนี้นางไม่เหลือเงินแล้วจริงๆ นางพูดอย่างหมดหวัง "ไม่ต้อง ไม่ต้องแล้ว"
ลู่หยาร้องไห้อย่างกังวล "งั้นจะทำยังไงดี? หรือว่าจะให้มองหั่วเกอ… ต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรเลย" นางทนไม่ได้ที่จะพูดคำนั้นออกมา
ฉีมามากัดฟันแน่น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าและความโกรธ "ถ้าหั่วเกอเป็นอะไรไป แม้ต้องตายข้าก็จะฆ่านังนั่นให้ได้"
นางมีหั่วเกอเป็นหลานชายเพียงคนเดียว หากหลายชายของนางเสียไป นางมีชีวิตต่อไปก็ไร้ประโยชน์
ผู้หญิงคนนั้นคือพระชายาและยังเป็นลูกสาวของจิ้งโหว หากฆ่านาง ฉีมามาก็มีชีวิตต่อไม่ได้เช่นกัน แต่ว่านางไม่สนใจชีวิตแก่ๆของนางแล้ว
หั่วเกอได้ยินดังนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
เขาลืมตาขึ้นมา ตัวมีไข้จนใบหน้าแดงก่ำ เด็กตัวเล็กๆที่แสนรู้ความพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า "ท่านย่า ข้าสบายดี"
ฉีมามาน้ำตาร่วง มือหยาบของนางลูบหน้าหลานชายของนาง แล้วกัดฟันพูดอย่างเคียดแค้น "ไม่ต้องห่วง ย่าจะช่วยแก้แค้นให้เจ้า จะไม่ให้นางหยวนได้อยู่ดีกินดีแน่"
หั่วเกอถึงกับผงะ เขาพยุงตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อสูดหายใจและกล่าวว่า "พระชายา… มารักษาให้ข้า พระชายาเป็นคนดี"
ลู่หยาอึ้งไป "หั่วเกอตัวร้อนจนสับสนหรือไม่? ทำไมถึงได้พูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้?"
หั่วเกอกล่าวอย่างร้อนใจ "พระชายาขูดหนองออกให้ข้า นางบอกว่าเอาหนองออกแล้วกินยาก็จะหาย พระชายายังลูบหัวข้าแล้วบอกว่าข้าจะไม่เป็นไร"
หลังพูดจบเขาก็ทรุดตัวลงบนเตียงหายใจหอบหนัก
ฉีมามายืนขึ้นและมองหั่วเกออย่างตกใจ "จริงเหรอ? นางไม่ได้ทำร้ายเจ้าเหรอ?"
"ไม่ได้ทำร้ายข้า… " ตาที่เหลืออยู่ข้างเดียวของหั่วเกอดูมัวลงเล็กน้อย เขายื่นมือออกมา "ท่านย่า ข้าหนาวมาก"
เขาตัวสั่นไปหมดและหายใจด้วยปากของเขา แต่มีเพียงลมหายใจออกเท่านั้นไม่มีลมหายใจเข้า
"ลู่หยา เจ้าดูหั่วเกอไว้ ข้าจะไปเชิญพระชายามา" ฉีมามาถือตะเกียงวิ่งออกไปทันที
ฉีมามารีบพุ่งไปที่หอเฟิ่งอี๋ ผลักประตูเข้าไป ตะเกียงส่องแสงสว่าง นางมองหยวนชิงหลิงที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าละอาย
บนพื้นมีของระเกะระกะ ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีใครเข้ามาทำความสะอาดหอเฟิ่งอี๋เลย
MANGA DISCUSSION