ฟีนิกซ์นิพพาน-ตำนานหยวนชิงหลิง - ตอนที่ 210 ข้ารับโทษแทนเจ้า
ฮองเฮาพูดขัดนางอย่างเย็นชา “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว หากเจ้าไม่มีความมั่นใจว่าจะช่วยโอรสของข้าได้ก็ปิดปากให้สนิทเถอะ”
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ออกคำสั่งเรียบๆ “เจ้าไปเถอะ ไปตรวจมาอีกหลายคน”
ฮองเฮามองจักรพรรดิหมิงหยวนตี้และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็จงไสหัวไป เจ้าเอาแต่บ่นๆๆ อยู่ที่นี่ ข้ารำคาญใจยิ่งนัก!” จักรพรรดิหมิงหยวนตี้บันดาลโทสะเอ่ยคำผรุสวาทฮองเฮาขึ้นมาทันที
“ฝ่าบาท!” ฮองเฮามองเขาอย่างตื่นตะลึง ตอนนี้โอรสของนางนอนอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย เขาไม่ได้ปลอบใจนางแม้สักประโยคแต่กลับด่าว่านางด้วยความโมโห
ในใจของฮองเฮาตระหนกเป็นอย่างมาก น้ำตาไหลรินเป็นสายและเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ฝ่าบาท ในใจหม่อมฉันจะไม่รู้สึกร้อนรนหรือเพคะ? ในใจหม่อมฉันจะไม่เจ็บปวดหรือ? แม้ช่างเอ๋อร์จะสมองไม่ดีนัก แต่อย่างไรหม่อมฉันก็อุ้มท้องเขามาสิบเดือนจึงจะคลอดออกมา”
ก่อนที่จักรพรรดิหมิงหยวนตี้จะบันดาลโทสะออกมาอีก หยวนชิงหลิงก็ให้หมอหลวงคอยดูอาการ นางออกไปบอกอวี่เหวินฮ่าวให้เขาพาองครักษ์เข้ามาตรวจเลือด ก่อนที่ชุดตรวจชุดสุดท้ายจะหมดลง นางก็หาคนที่เหมาะสมมาได้สามคน
นางเชิญพวกเขาเข้าไปพร้อมกัน จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ถามเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวพวกเขาอย่างละเอียดแล้วจึงอนุญาตให้พวกเขาให้เลือดได้ หลังจากให้เลือดเสร็จแล้ว สีหน้าขององค์ชายแปดก็ดูขึ้นเล็กน้อย ลมหายใจก็สม่ำเสมอ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาพ้นขีดอันตรายแล้ว
หวังว่ายาเม็ดจื่อจินจะสามารถห้ามเลือดภายในได้ เพียงแค่เลือดไม่ออกก็จะมีโอกาสกลับกลายเป็นดี องค์ชายเก้ายังมียาเม็ดจื่อจินอีกเม็ดหนึ่ง เขายื่นออกไปให้หมอหลวงอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วจึงวิ่งออกไป
แม้จะมียาเม็ดจื่อจินอีกหนึ่งเม็ด แต่ว่าเขาได้ใช้ไปแล้วหนึ่งเม็ด ในเวลาอันสั้นนี้จะไม่สามารถรับประทานได้อีก มิฉะนั้นจะไม่ได้ผล
ฟ้าสว่างแล้ว ทุกคนต่างก็กำลังรอคอย
ยังไม่มีใครไปบอกไทเฮาและไท่ซั่งหวง แต่ว่าคงไม่อาจปิดบังไท่ซั่งหวงได้ คงเพียงปิดบังไทเฮาได้เท่านั้น
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้สั่งให้อวี่เหวินฮ่าวไปสอบสวนกู้ซือ ฮองเฮาสีหน้าบึ้งตึง “เขานั่นแหละที่เป็นฆาตกร”
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้จ้องมองนางอย่างเย็นชา
หยวนชิงหลิงเดินออกไปพักอยู่ที่ตำหนักด้านข้าง ในตำหนักนั้นมีภาพวาดมากมาย ล้วนเป็นภาพวิวทิวทัศน์ หยวนชิงหลิงค่อยๆ ชมไปทีละภาพ นี่คงเป็นโลกในสายตาของเด็กคนนั้น ในกำแพงที่ล้อมรอบอยู่เต็มไปด้วยวิวทิวทัศน์อันตระการตา
หยวนชิงหลิงตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ภาพวาดเหล่านี้ดูเสมือนจริง ทั้งต้นไม้ใบหญ้าดูราวกับมีชีวิต เขาช่างเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์นัก
นางไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทำไมกู้ซือต้องลงมือทำร้ายเขา หรือว่าไม่ใช่กู้ซือ แต่เป็นคนอื่น
ในภาพทิวทัศน์มากมายเช่นนี้ มีภาพหนึ่งที่เป็นภาพเหมือนของตนเอง ด้านข้างมีอักษรโย้เย้เขียนเป็นคำว่าช่าง
รูปเหมือนนี้ช่างประหลาดนัก ใบหน้ายาวมาก ตาก็โต กินพื้นที่ไปถึงหนึ่งส่วนสามของใบหน้าทั้งหมด ตานั้นเป็นทรงกลม ลูกตาดำใช้หมึกดำแต่งแต้ม ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย
หยวนชิงหลิงจินตนาการว่าองค์ชายแปดเป็นคนเช่นไรกันแน่
ฉีอ๋องเดินเข้ามายืนข้างๆ นางและมองภาพนี้เช่นกัน
ฉีอ๋องกล่าวขึ้นด้วยความโศกเศร้า “ตาของเขาไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงบอกว่าเขาจะวาดตาให้ใหญ่ขึ้นหน่อย เช่นนี้จึงจะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น”
“ตาของเขาไม่ดีหรือ?”
“ใช่” หยวนชิงหลิงถาม
ฉีอ๋องส่ายหน้า “ใครจะรู้ได้? หมอหลวงเคยตรวจแล้ว ทุกอย่างปกติดี แต่เขาบอกว่ามีหลายอย่างที่เขามองไม่ชัด เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว”
โรคตาขี้เกียจหรือ? ในตำหนักหมิงหัว แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
อวี่เหวินฮ่าวกลับกรมไปสอบสวนกู้ซือแล้ว
กู้ซือสีหน้าเคร่งเครียดและไม่เอ่ยคำพูดสักคำ ทำให้อวี่เหวินฮ่าวโมโหจนต้องชกเขา “เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ เจ้าอยากตายหรือไง?”
กู้ซือมีเลือดไหลออกจากมุมปาก เขายื่นมือไปเช็ดออกแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองอย่างเคียดแค้น
“พูดออกมา ว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนทำ” อวี่เหวินฮ่าวดึงคอเสื้อเขาขึ้นมา หน้าของเขาก้มลงจนแทบชิดหน้าของกู้ซือ แต่กู้ซือก็ยังคงมองเขาอย่างเย็นชา
ฝู่เฉิงจึงเข้ามาไกล่เกลี่ย “ท่านอ๋อง ท่านใจเย็นลงหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ ค่อยๆ ถามเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เขาโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ นั่งลงและดื่มน้ำไปหนึ่งอึก จากนั้นก็จ้องมองกู้ซือพลางเอ่ยว่า “ทำร้ายองค์ชายจนบาดเจ็บสาหัส เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะมีจุดจบเช่นไร? เจ้ากับน้องแปดสนิทสนมกันดีเสมอมา เจ้าไม่มีทางทำร้ายเขา แท้จริงเป็นใครกันแน่? เจ้าต้องการปกป้องใคร?”
กู้ซือยังคงไม่พูด
ริ้วโทสะของอวี่เหวินฮ่าวพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เขาเขวี้ยงแก้วลงบนพื้น กู้ซือลุกขึ้นทันทีราวกับจะเข้ามาสู้กับเขาแต่กลับถูกฝู่เฉิงห้ามไว้ เขาพาอวี่เหวินฮ่าวไปอีกทางและเอ่ยเบาๆ “เฮ้อ เอาเถอะๆ ถามไปเช่นนี้ก็ไม่ได้อะไร ท่านอ๋อง ไม่สู้พวกเราออกไปก่อน ท่านค่อยๆ พูดกับกู้ซือก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนใต้เท้ากู้มีเรื่องที่ต้องการพูด เพียงแต่กังวลอะไรบางอย่าง”
อวี่เหวินฮ่าวได้ยินคำของฝู่เฉิงก็หันไปมองใบหน้าอันไม่พอใจและเต็มไปด้วยความโกรธของกู้ซือ เขาได้รับความอยุติธรรมอยู่ อีกทั้งยังมีความเคียดแค้นอยู่ด้วย
อวี่เหวินฮ่าวใจเย็นลงเล็กน้อยและกล่าวว่า “ตกลง พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
ฝู่เฉิงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ออกไปแล้วปิดประตูลง
อวี่เหวินฮ่าวหยิบโต๊ะและเก้าอี้ที่เขาทำล้มระเนระนาดเมื่อครู่ขึ้นมาแล้วนั่งลง มองกู้ซืออย่างจริงจัง “ตอนนี้ไม่มีคนอื่นแล้ว เจ้าว่ามา ว่าเจ้ากำลังปกป้องใคร? เจ้ากำลังรับโทษแทนใครอยู่”
กู้ซือมองเขา ในสายตามีประกายความโกรธ “เจ้ารู้อยู่แล้วจะถามทำไมอีก? รู้จักกันมานานถึงเพียงนี้ ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจะจอมปลอมเช่นนี้ ในเมื่อข้ารับผิดแทนเจ้า ข้าก็จะไม่พูดอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว เจ้าเพียงแค่บอกฝ่าบาทไปว่าข้าเป็นคนทำ จะตัดหัวก็ดี ใช้ห้าอาชาแยกร่างก็ได้ ถือว่าข้าตอบแทนมิตรภาพที่มีให้แก่กันมา ต่อไปหากได้พบกันอีกในยมโลก ก็ถือว่าพวกเราไม่รู้จักกัน”
อวี่เหวินฮ่าวนิ่งงัน ครู่ใหญ่จึงได้สติ “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน? ข้าต้องให้เจ้ามารับผิดแทนข้าเรื่องอะไร?”
กู้ซือมองเขาอย่างเย็นชา “หากไม่ใช่เพราะพระชายากำลังตั้งครรภ์ ข้ากลัวว่านางจะได้รับความกระทบกระเทือนจนเป็นอะไรไปทั้งคู่ ไม่เช่นนั้นข้าจะยอมออกหน้ารับโทษแทนคนสารเลวอย่างเจ้าได้อย่างไร?”
เขาเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของอวี่เหวินฮ่าวแล้วดึงเขาเข้ามา กระอักเลือดใส่หน้าเขา แล้วจึงพูดออกมาอย่างเกลียดชัง “ถุ๊ย อวี่เหวินฮ่าว เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เจ้าทนไม่ไหวแล้วก็ไม่คิดสักนิดว่าซูผินเป็นผู้หญิงของฝ่าบาท เจ้าคิดว่าเจ้ามีหัวให้ตัดกี่หัวกัน? เจ้าเสียใจมาก องค์ชายแปดไปเห็นเรื่องชั่วช้าของพวกเจ้าเข้า เจ้าจึงได้ฆ่าเขา เขาเป็นถึงน้องชายของเจ้า เจ้ามันบ้าไปแล้วหรือ?”
อวี่เหวินฮ่าวเอามือปิดปากเขาเอาไว้ กู้ซือกัดมือเขา อวี่เหวินฮ่าวโมโหจนสวนกลับไปหนึ่งหมัด กู้ซือก็ต่อยกลับมา อวี่เหวินฮ่าวยกโต๊ะจะทุ่มใส่เขา เมื่อเห็นว่าหน้าของกู้ซือเต็มไปด้วยเลือดแล้วก็ใจอ่อนไม่ลงมือ แต่ยกขึ้นมาเช่นนี้แล้วหากวางลงไปเฉยๆ ก็น่าขายหน้าไปเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงทุ่มโต๊ะลงกับพื้นอย่างแรง โต๊ะกระเด็นขึ้นมากระแทกหัวของเขาเอง เจ็บจนเขาต้องเอามือกุมหัวลงไปนั่งยองๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็กล้ำกลืนน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาลงไปได้
กู้ซือกล่าวอย่างเย็นชา “สมน้ำหน้า!”
อวี่เหวินฮ่าวลูบหัวป้อยๆ แล้วยืนขึ้นมองเขาตาขวาง “เจ้ารู้จักข้ามานานเท่าใดแล้ว?”
“ตั้งแต่เจ้ายังไม่ใส่กางเกงก็รู้จักแล้ว” กู้ซือตอบเสียงเย็น
“ดังนั้นในสายตา ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ?” อวี่เหวินฮ่าวแทบจะคลั่งไปแล้ว
“แต่ก่อนไม่ใช่ แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะถูกกามารมณ์บังตาจนมืดบอดหรือไม่?” กู้ซือแค่นเสียง
“ในเมื่อข้าเป็นคนเช่นนั้น แล้วเจ้าจะรับโทษแทนข้าไปทำไม?” อวี่เหวินฮ่าวขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ในใจเขาอ่อนยวบ จ้องมองคนไร้สมองตรงหน้าที่โง่เขลาเอาการ
กู้ซือโวยวายขึ้น “ไม่ใช่เพราะข้าเห็นแก่พี่สะใภ้หรอกหรือ? หากนางเป็นอะไรไป แก้วตาดวงใจของข้าจะไม่ร้องไห้ตายไปด้วยหรือ?”
“แก้วตาดวงใจบ้าบออะไรของเจ้า?” อวี่เหวินฮ่าวขมวดคิ้ว
“เจ้าต่างหากที่บ้าบอ” กู้ซือเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
อวี่เหวินฮ่าวนั่งลงบนม้านั่ง “เจ้าเห็นข้าลงมือกับน้องแปดกับตาหรือ?”
“เห็นเจ้าทำพู่กระบี่ตกตอนที่พาซูผินหนี” กูซือกล่าว