แววตาของอวี่เหวินฮ่าวแสดงออกถึงความขุ่นเคือง “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีก เรื่องนี้เสด็จพ่อไม่ทรงติดตาม พระองค์จะต้องทรงถลำลึกไปเรื่อยๆ เจ้าคิดว่าข้างพระวรกายของเสด็จพ่อไม่มีสายลับคอยสืบข่าวหรืออย่างไร? เซียวเหยากงได้ยื่นจดหมายไปแล้ว พระองค์จะต้องทรงทราบ หลายวันมานี้เห็นเขาเป็นจิ้งจอกซ่อนหางทำตัวเรียบร้อย เดิมทีข้าก็เข้าใจว่าเมื่อเขาได้รับความดีความชอบแล้วจะรู้จักอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ไม่นึกเลยว่าจะเป็นด้วยสาเหตุนี้”
เมื่อเขาพูดจบ ก็มองมาที่หยวนชิงหลิงด้วยความรู้สึกเป็นกังวล “สิ่งเดียวที่ข้าเป็นห่วง ก็คือความปลอดภัยของเจ้า หากข้าประกาศศึกกับเขาแล้ว เจ้าก็จะตกเป็นเป้าหมายเล่นงานของเขาในทันที”
“ข้าไม่กลัว ก็แค่อย่าออกไปนอกจวนบ่อยๆ เขาคงไม่ถึงกับส่งคนร้ายบุกมาทำร้ายข้าถึงในจวนหรอกกระมัง!”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าการอดทนอดกลั้นต่อไปหาใช่วิธีแก้ปัญหา สักวันหนึ่งก็ต้องมีคนบุกมาเล่นงานอยู่ดี
อวี่เหวินฮ่าวพิจารณาสักพัก แล้วจึงเอ่ยว่า “ขอข้าไปวางแผนอย่างรอบด้านเสียก่อน”
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่วางใจ หยวนชิงหลิงและลูกคือเหยื่ออันโอชะของศัตรู
หยวนชิงหลิงมองตาเขา แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่แนะนำให้ท่านบุกไปเล่นงานเขา แต่หากเกิดเรื่องขึ้นมา พวกเราจะหลบหนีไม่ได้ ถึงอย่างไรก็หนีไปไม่พ้น ต่อให้พวกเราไม่โต้ตอบ คิดว่าเขาจะปล่อยเราไปง่ายๆงั้นหรือ? ไม่มีทาง มีแต่จะยิ่งย่ามใจ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าจะระวังตัวเองเป็นอย่างดี หากเกิดเหตุการณ์คับขันขึ้นมาจริงๆ ข้าก็ยังมีตัวเป่าและอาซื่อคอยอารักขาข้า
เมื่ออวี่เหวินฮ่าวได้เห็นแววตาอันมุ่งมั่นของนางแล้ว แม้เขาจะรู้สึกว่าอาซื่อและตัวเป่าอาจจะไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก แต่ความมุ่งมั่นของนางทำให้เขาค่อนข้างวางใจ เขาจูบหน้าผากของนาง และกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “มีภรรยาที่แสนดีเช่นเจ้า ข้ายังจะต้องการสิ่งใดอีก?”
นี่เป็นคำชมและการสร้างความมั่นใจที่ดีที่สุดสำหรับหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงและเขาจับมือกันแน่น ความรู้สึกแรก สามีภรรยาจะต้องมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน
อวี่เหวินฮ่าวจะเริ่มลงมือจากคนเฝ้าประตูห้องของจี้อ๋อง
จวนจี้อ๋อง มีการประกาศความรุ่งโรจน์อย่างเต็มที่ หลายวันมานี้ แม้เรื่องการได้รับความดีความชอบจะซาลงบ้างแล้ว แต่ว่า อวี่เหวินฮ่าวก็ได้เตรียมแผนรับมือเอาไว้ล่วงหน้า ทั้งส่งทังหยางไปทำการสำรวจติดตามพวกเขา คอยปรึกษาหารือกับทังหยาง หากจะเล่นงานจี้อ๋อง ก็จะต้องตัดกำลังทุนทรัพย์ของเขาก่อน หลายปีมานี้จี้อ๋องมีการใช้จ่ายทรัพย์สินออกไปเป็นจำนวนมาก โดยใช้เพื่อหว่านล้อมเหล่าขุนนาง หลายปีมานี้ ก็ต้องพึ่งพาอาศัยทรัพย์สินจากตระกูลพระชายาจี้อ๋องด้วยอีกแรง แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงไม่เพียงพออยู่ดี ดังนั้น ลู่ทางที่เขาจะได้เงินมา จึงหนีไม่พ้นสินบนที่ได้รับจากเหล่าขุนนาง
เหล่าขุนนางตามหัวเมืองต่างๆ อยู่ห่างไกลสายพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ จะต้องคอยทำการตรวจสอบ ซึ่งฮ่องเต้มิอาจลงมาตรวจสอบด้วยพระองค์เองได้ ดังนั้นทุกๆปี สำนักพระราชวังจึงต้องส่งคนมาคอยสำรวจท้องที่ต่างๆ ส่วนจี้อ๋องนั้น ในแต่ละปีเขาจะพยายามกอบโกยผลประโยชน์ที่ได้มาจากงานนี้ ทั้งจากคดีความเท็จ การเก็บภาษี การสร้างฝายน้ำ หากมีการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนขึ้นมาจริงๆก็จะต้องพบปัญหาเป็นแน่ ดังนั้น เหล่าขุนนางท้องถิ่นจึงต้องมอบเงินสินบนให้กับผู้มีอำนาจในการตรวจสอบที่มาจากเมืองหลวง รายได้ของจี้อ๋อง ส่วนใหญ่จึงมาจากทางนี้
อวี่เหวินฮ่าวดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมการพระนคร หากจะฟาดแส้ลงบนหลังจี้อ๋อง ก็จะต้องลงมือโดยใช้คดีทุจริตมาเป็นข้ออ้าง แต่เรื่องนี้ หากจะตรวจสอบสุ่มสี่สุ่มห้า จะต้องรอให้กรมอาญาเป็นผู้สั่งการ อำนาจการจัดการของกรมการพระนครมีจำกัดแค่เพียงในเมืองหลวง หากต้องการตรวจสอบการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาจี้อ๋องแล้ว จะต้องได้ร้บอนุญาตจากผู้ว่าการเมืองหลวงเสียก่อน
วันต่อมา ทังหยางก็ได้ออกเดินทาง เขาไปที่เมืองถิงเจียง จี้อ๋องสามารถปราบปรามโจรผู้ร้ายได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน แสดงว่าเมืองถิงเจียงเป็นขอบเขตอำนาจการปกครองของเขา เดิมทีเขาอยากจะเสนอให้อวี่เหวินฮ่าวไปปราบโจรที่เมืองถิงเจียง หากไม่ใช่เพราะอวี่เหวินฮ่าวจะได้ครอบครองทุกอย่างในเมืองถิงเจียง เขาคงจะเสนออวี่เหวินฮ่าวให้ไปจัดการแล้ว และตระกูลจือแห่งเมืองถิงเจียง ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระชายาจี้อ๋องอีกด้วย
เมื่อส่งทังหยางออกไปแล้ว อวี่เหวินฮ่าวก็เริ่มแจกแจงแผนงาน ในวันเดียวกันนั้น เที่ยงคืนแล้วเขาจึงได้กลับจวน หยวนชิงหลิงเข้านอนไปก่อนหน้านั้นแล้ว หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จก็รีบเข้านอน เห็นท่านอนที่น่าเอ็นดูของหยวนชิงหลิงแล้ว เขาอดทนที่จะไม่จูบนางอย่างรุนแรง เพียงแต่เอนกายลงข้างๆนางเท่านั้น
เขานอนไม่หลับ ในใจรู้สึกฟุ้งซ่าน การกระทำของเสด็จพ่อ ทำให้เขารู้สึกทนทุกข์ เขาไม่สนใจตำแหน่งรัชทายาท แม้ว่าเขาจะไม่พูดมาก แต่เขากลับถูกใส่ความว่าจัดฉากทำร้ายตัวเอง ตอนนี้เซียวเหยากงก็หาหลักฐานได้แล้ว แต่เสด็จพ่อกลับทรงเพิกเฉย หลายปีมานี้ ในใจของเขาคิดถึงแต่เพียงราชวงศ์และเสด็จพ่อ เขาไม่คิดชิงดีชิงเด่น คิดแต่จะสร้างประโยชน์ให้กับราชวงศ์ แบ่งเบาภาระเสด็จพ่อ แต่ผลลัพธ์ในวันนี้ เขาแทบจะแบกรับไว้ไม่ไหว ในใจนอกจากความฟุ้งซ่านแล้ว ก็มีความทุกข์ทรมานเข้ามาก่อกวน
การตามล่าหาความผิดของจี้อ๋องในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะว่าเขานั้นไม่อาจทนต่อความอยุติธรรมนี้ต่อไปได้อีกแล้ว
เขามองดูหยวนชิงหลิงที่กำลังหลับสนิทและถอนหายใจภายในใจ บางทีการที่เสด็จพ่อทรงทำเช่นนี้ก็อาจจะมีเหตุผลของพระองค์เอง แต่หากตนเองปล่อยไปโดยไม่ลุกขึ้นมาสู้ พวกเขาสองแม่ลูกต่อไปคงต้องอยู่อย่างลำบาก ในใจของเขา พลันมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิม
เช้าวันต่อมา ก่อนที่หยวนชิงหลิงจะตื่นนอน เขาก็ได้ออกไปข้างนอกแล้ว
วันนี้หยวนชิงหลิงจะเข้าไปในวัง ดังนั้น หลังจากที่อวี่เหวินฮ่าวออกไปได้ไม่นาน ซีมามาก็มาปลุกนาง
หยวนชิงหลิงคลำดูผ้าห่มข้างๆที่หนาวเย็น “เมื่อวานท่านอ๋องไม่ได้เสด็จกลับมาหรือ?”
ซีมามาประคองนางลุกขึ้นและช่วยนางจัดแจงเรื่องเสื้อผ้า “เสด็จกลับมาเมื่อตอนดึก แล้วเสด็จออกไปอีกตั้งแต่รุ่งเช้าแล้วเพคะ”
“เช้าขนาดนั้นเลยเชียว” จริงๆแล้วเมื่อคืนนี้หยวนชิงหลิงก็อยากจะอยู่รอเขา แต่นางง่วงมาก อยากจะพักสายตาสักประเดี๋ยว แต่กลับหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
“ใช่แล้วเพคะ ดูเหมือนว่าสองวันมานี้ท่านอ๋องจะทรงยุ่งมาก” ซีมามาเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้นาง จากนั้นลู่หยาก็ได้ยกน้ำร้อนเข้ามา
เมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว หยวนชิงหลิงก็รับประทานมื้อเช้า อาซื่อสั่งคนเตรียมรถม้ามาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมให้นางออกเดินทางได้ทุกเวลา หยวนชิงหลิงอารมณ์ไม่ค่อยดี นางเป็นกังวลเรื่องสามีของนาง
จริงๆนางก็นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะทรงทำเช่นนี้ ต่างก็เป็นลูกชายเหมือนกัน แต่พระองค์กลับลำเอียงเกินไป สิ่งที่นางไม่เข้าใจเลยก็คือ จี้อ๋องได้เปิดเผยด้านที่ร้ายกาจออกมาแล้ว ฮ่องเต้ทรงปราดเปรื่อง ไยจึงมองไม่เห็น?
เมื่อหยวนชิงหลิงเข้ามาในวังแล้ว นางได้เข้าไปถวายพระพรไทเฮาก่อน ไทเฮาก็ได้ถามไถ่นางสารพัด หยวนชิงหลิงก็ได้ยืนกรานว่านางนั้นปลอดภัยดี ไทเฮาจึงได้วางพระทัย
เมื่อออกมาจากที่ประทับไทเฮาแล้ว หยวนชิงหลิงก็ตรงไปที่ตำหนักเฉียนคุน นางได้กลิ่นควันลอยมาตั้งแต่ไกล
กลิ่นควันนั่นช่างชวนสำลักยิ่งนัก เมื่อนางเข้าไปในเขตพระตำหนัก ก็ได้พบกับคน 3 คนกำลังนั่งอยู่บนขั้นบันได ชายคนหนึ่งกำลังสูบยาสูบแล้วพ่นควันออกมาโขมงใหญ่
ที่ทำเอาหยวนชิงหลิงตกใจเป็นอย่างมาก ก็คือท่ามกลางทั้งสามคนนี้ก็มีไท่ซั่งหวงนั่งอยู่ตรงกลางด้วย ข้างๆคือเซียวเหยากงและฉู่โสวฝู่ ท่านั่งของทั้งสามคนล้วน……ไม่น่ามองเลย บางคนนั่งกระดิกขา ทำตัวราวกับอันธพาลตามตลาด และนอกเหนือจากควันยาสูบ ก็ยังมีกลิ่นสุราเหม็นคละคลุ้ง นี่มันยังเช้าอยู่เลย เริ่มดื่มกันแล้วหรือนี่?
นี่มันอะไรกัน? เป็นตาแก่หรือว่าขาโจ๋แห่งตำหนักเฉียนคุนกันแน่นี่?
ฉางกงกงเห็นนางเดินมาก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พระชายา ท่านเสด็จมาแล้ว ตรงนี้เขาสูบยาสูบกันอยู่ ท่านรีบเสด็จเข้าไปนั่งพักด้านในตำหนักก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงรับคำ แต่นางก็แวะไปทำความเคารพเสียก่อน “ถวายบังคมไท่ซั่งหวง!”
แล้วนางก็ทำความเคารพฉู่โสวฝู่และเซียวเหยากงตามความเหมาะสม
ไท่ซั่งหวงวางยาสูบลงแล้วหันไปตรัสกับฉู่โสวฝู่และเซียวเหยากงว่า “สูบต่อไม่ได้ สูบต่อไม่ได้แล้ว ควันจะทำร้ายเหลนของข้า”
ชายแก่ทั้งสองวางยาสูบลง แล้วเรียกฉางกงกงมาเก็บไปทิ้ง
ไท่ซั่งหวงตรัสกับหยวนชิงหลิงว่า “นั่งลงสิ!”
หยวนชิงหลิงมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นมีเก้าอี้สักตัว จะให้นั่งตรงไหนล่ะ? แต่ว่า ฉางกงกงก็ได้ยกเก้าอี้เข้ามาให้ แต่ตำแหน่งที่เขาวางเก้าอี้ลงนั้น หากนางนั่งลงก็จะสูงกว่าไท่ซั่งหวง นางรํู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะนั่งดีหรือไม่
นางรู้สึกแปลกใจ พวกเขาสามคนมารวมตัวกันเพราะเหตุใดหนอ?
ฉู่โสวฝู่ลุกขึ้นและทูลลา เขาเดินเซเล็กน้อย ตอนที่เขากำลังเดินก็มองเห็นซีมามาแล้ว แต่ก็ยังเดินไปชนซีมามาเข้าอย่างจัง เขาเอ่ยคำขอโทษ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หยวนชิงหลิงแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
นางขยี้ตาเพราะเกรงว่าตัวเองจะดูผิด ผู้ที่ทำตัวสํามะเลเทเมาเมื่อครู่นี้คือฉู่โสวฝู่จริงๆหรือ? เป็นคนหน้าคล้ายเขาหรือเปล่า? หรือจะเป็นพี่น้องของเขา? ฉู่โสวฝู่ที่นางเคยเห็นทั้งสุขุม หนักแน่น และเด็ดขาด ดูๆไปก็เหมือนจะดุเสียด้วยซ้ำ หยวนชิงหลิงรู้สึกผิดคาด นางระมัดระวังตัวกับผู้นำสูงสุดของตระกูลฉู่มาโดยตลอด แต่นี่เขากลับทำเรื่องไร้เดียงสาเช่นนี้ออกมาได้
นางหันไปมองซีมามา ซีมามาได้แต่ก้มหน้า ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แต่แก้มของซีมามากลับแดงระเรื่อ ดูงดงามตามวัยของนาง
MANGA DISCUSSION