จวนเซียวเหยากงอยู่ไม่ไกลจากจวนอ๋องมากนัก รถม้าใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แม้จะเป็นการเดินทางอย่างช้าๆ หากรีบควบม้ามาล่ะก็คงใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบนาที
เนื่องจากวันนี้ได้ออกมาข้างนอกกับอวี่เหวินฮ่าว จึงไม่ได้พาอาซื่อมาด้วย นางพามาแค่เพียงลู่หยาและซวีอี 2 คน
จวนเซียวเหยากงได้รับจดหมายแจ้งการมาเยือนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เหลียงฮูหยินลูกสะใภ้ของเซียวเหยากงได้เตรียมการต้อนรับไว้พร้อมแล้ว เมื่อรถม้ามาถึง เหลียงฮูหยินก็ได้พาคนในครอบครัวออกไปต้อนรับ
“คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา!” เหลียงฮูหยินทำความเคารพและส่งยิ้ม คนอื่นๆที่มารอรับเสด็จ ก็ทำความเคารพพร้อมๆกัน
หยวนชิงหลิงมองดูเหลียงฮูหยิน วันนี้นางสวมใส่ชุดผ้าแพรสีแดงลายกลีบเมฆ ใช้ปิ่นปักผมสีม่วงที่ทำมาจากทองคำ บุคลิกของนางดูน่านับถือยิ่งนัก การแต่งกายเป็นคนละเรื่องกับวันที่ได้ไปเจอนางที่นอกเมือง แสดงว่านางให้ความสำคัญกับการแต่งตัวในวันนี้เป็นพิเศษ สื่อถึงความเคารพนับถือ
หยวนชิงหลิงยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านฮูหยินไม่ต้องมากพิธีนะ”
เหลียงฮูหยินเห็นอวี่เหวินฮ่าวสวมใส่เสื้อเกราะ ทำเอานางถึงกับอมยิ้ม “ท่านอ๋อง ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกกระมังเพคะ!”
อวี่เหวินฮ่าวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ระวังจะได้แล่นเรือนานนับหมื่นปี”
หยวนชิงหลิงมองเขาทั้งสอง มันหมายความว่าอะไรกันนะ?
เหลียงฮูหยินยิ้มและเชิญสามีภรรยาทั้งสองเข้าไปด้านใน จวนเซียวเหยากงกว้างใหญ่มาก เท่าที่คาดคะเนด้วยตาเปล่าอย่างน้อยๆก็คงมีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 4 ไร่ พื้นที่ส่วนหน้าเป็นสวนดอกไม้ที่ปลูกพืชพรรณเอาไว้มากมาย อากาศฤดูใบไม้ร่วงในตอนนี้หนาวเย็นราวกับฤดูหนาว ยังคงมีดอกไม้บางส่วนที่เบ่งบานอย่างสวยสดงดงาม ในจวนไม่ค่อยมีภูเขาจำแลงสำหรับตกแต่งหรือศาลาสำหรับนั่งเล่น สิ่งปลูกสร้างนอกจากตัวเรือนหลังใหญ่ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ก็แทบจะไม่มีสิ่งปลูกสร้างสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่โล่งสำหรับปลูกต้นไม้ดอกไม้และพืชผัก ตลอดทางที่เดินเข้ามา ก็เจอคนเพียงไม่กี่คน นานๆทีจึงจะเห็นคนสัก 2-3 คน พวกเขาล้วนเดินกันอย่างเร่งรีบ
“ท่านฮูหยิน จวนแห่งนี้โล่งตาดีเหลือเกิน” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าการออกแบบทำได้ดีมาก ดูเหมือนเป็นพื้นที่ที่ใช้ในการทำการเกษตรสักแห่ง
“ใช่แล้วเพคะ ท่านพ่อชอบของพวกนี้ ด้านหลังยังเลี้ยงหมู วัว ม้า แพะ ไก่ ลิง งู และอื่นๆอีกนะเพคะ” เหลียงฮูหยินกล่าว
“ท่านเซียวเหยากงช่างมีความสามารถหลากหลายยิ่งนัก” หยวนชิงหลิงออกปากชื่นชม
ในระหว่างที่กำลังสนทนาอยู่นั้น ก็ได้พบกับชายชรามีผ้าโพกศีรษะคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากประตูไม้ทางด้านหลัง เขารูปร่างสูงใหญ่ หน้าคล้ำอมแดง คิ้วหนาดกดำ เขากำลังเก็บสิ่งปฏิกูล บนบ่าของเขาดูเหมือนไม่มีของหนัก เขายังเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่วและ……นวยนาด
เขาไม่ได้เดินตรงเข้ามา แต่เดินอ้อมไปยังแปลงผักด้านหลัง
หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจ บ่าวไพร่ชราผู้นี้ดูจะอายุมากแล้ว แต่ยังดูแข็งแรงยิ่งนัก
นางมองอวี่เหวินฮ่าวและกำลังจะเอ่ยปากพูดบางสิ่งบางอย่าง แต่แล้วนางก็เห็นเขามองตามบ่าวไพร่คนนั้นไปด้วยสายตาราวกับเจอศัตรู นางจึงอดไม่ได้ที่จะถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่า!” อวี่เหวินฮ่าวจูงมือนางให้ไปเดินด้านหน้ากับเหลียงฮูหยิน “รีบๆเดิน มีอะไรก็รีบพูด เมื่อพูดจบแล้วเราจะรีบไปในทันที”
หยวนชิงหลิงเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด “ท่านจะรีบอะไรของท่านล่ะ?” นี่เพิ่งจะมาถึงเองนะ มาพูดว่าจะกลับเสียแล้ว
เหลียงฮูหยินและคนอื่นๆในครอบครัวพาพวกเขามาที่ห้องโถงใหญ่ ห้องโถงใหญ่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีฉากบังลมที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้ทำมาจากไม้ราคาแพงและไม่มีการแกะสลักลวดลาย มีเก้าอี้วางเรียงอยู่ 2 แถว ตรงกลางเป็นเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ดูน่าเกรงขาม ไม้สีดำดูๆไปก็น่าจะหลายปีแล้ว เก้าอี้ทุกตัวเคยผ่านการซ่อมบำรุง แต่ก็ซ่อมบำรุงกันอย่างมีเอกลักษณ์ บนผนังหลังเก้าอี้ตัวหลัก มีภาพวาดรูปก้อนศิลายักษ์ ศิลปินไม่ได้ลงชื่อไว้ เพียงแต่มีการเขียนตัวอักษรคำว่าศิลาเอาไว้ข้างๆ 2 ตัว ทุกอย่างช่างดูเรียบง่ายยิ่งนัก
เมื่อนั่งลงแล้ว เหลียงฮูหยินก็ได้สั่งคนไปยกน้ำชาเข้ามาให้ นางยิ้มและเอ่ยว่า “พระชายาโปรดรอสักครู่ ท่านพ่อกำลังยุ่ง “ได้ ข้าไม่รีบ ข้ามาเยี่ยมอย่างฉุกละหุก รบกวนท่านพ่อของท่าน ข้ารู้สึกแย่ยิ่งนัก” หยวนชิงหลิงพูดด้วยความเกรงใจ
เหลียงฮูหยินจึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ความจริงแล้ว ท่านพ่อเองก็พูดถึงพระชายาอยู่บ่อยๆ เขายังพูดอยู่เลยว่า เมื่อมีเวลาว่างจะเดินทางไปคารวะพระชายาด้วยเพคะ”
“เซียวเหยากงเกรงใจเกินไปแล้ว ควรจะให้ข้าที่เป็นผู้น้อยเดินทางมาเยี่ยมเซียวเหยากงจึงจะถูก” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าเหลียงฮูหยินกำลังพูดจาเอาอกเอาใจนาง เซียวเหยากงจะพูดถึงนางบ่อยๆได้อย่างไร? ทั้งนางและเขาต่างก็ยังไม่รู้จักกันเสียด้วยซ้ำ
นางมองไปยังอวี่เหวินฮ่าว ท่าทางของเขาเหมือนกำลังไม่สบายใจ สายตาเหม่อลอยออกไปด้านนอก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คงจะมิใช่ว่าเคยก่อเรื่องไว้ที่จวนเซียวเหยากงหรอกกระมัง? ในขณะที่กำลังคิด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วขึ้นมา ฟังดูเหมือนคนไม่ได้ใส่รองเท้า เสียงฝ่าเท้ากระทบลงกับพื้นโดยตรง
เมื่อเปิดประตูออกมา พลันปรากฏร่างของชายชราคนหนึ่ง
หยวนชิงหลิงเพ่งมองดูดีๆ นั่นคือบ่าวไพร่ชราเมื่อครู่นี้นี่นา
เหลียงฮูหยินลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อคะ ท่านอ๋องและพระชายาเสด็จมาแล้ว”
เมื่อหยวนชิงหลิงได้ฟังก็ต้องตกใจ บ่าวไพร่ชราคนเมื่อครู่นี้ก็คือเซียวเหยากง? นางรีบลุกขึ้น แล้วโค้งคำนับ “คารวะเซียวเหยากง”
เซียวเหยากงมองหน้านางอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วยิ้มออกมา “ท่านทรงเป็นถึงพระชายาแต่กลับโค้งคำนับให้กระหม่อม นี่ไม่ถูกจารีตเลย รีบนั่งลงเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างอ่อนน้อม “ท่านเป็นผู้อาวุโส ก็ต้องให้ข้าทำความเคารพก่อนจึงจะถูกต้อง” พระชายาก็ไม่ได้สูงส่งเท่าใดนัก ก็แค่เป็นยศตำแหน่งที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาก็เท่านั้น จะว่าไปแล้ว ผู้คนที่คอยรังแกนางก็มีอยู่มากมาย ต่อหน้าชายชราผู้ปราดเปรื่องผู้นี้ นางจะประมาทเลินเล่อไม่ได้
“ท่านช่างวางตัวได้น่านับถือยิ่งนัก” เซียวเหยากงกล่าวชม สายตาของเขาจ้องมองไปยังอวี่เหวินฮ่าวพลางยิ้ม “องค์ชายห้า ท่านไม่ได้เสด็จมาเสียนานเลยนะ หรือว่าจะยังกลัวกระหม่อมดีดกูกูของท่านอยู่ล่ะ?”
อวี่เหวินฮ่าวสีหน้าวางเฉย “ท่านผู้อาวุโสโปรดทำตัวเป็นแบบอย่างให้ผู้น้อยได้นับถือเถอะ โปรดอย่าคิดว่าตนเองอายุมากแล้วจะสามารถพูดไปเรื่อยจนผู้อื่นต้องรู้สึกเคือง”
เซียวเหยากงนั่งลง เขาวางเท้าไว้บนเก้าอี้เตี้ยๆ เข่าของเขาเต็มไปด้วยโคลน บ่งบอกถึงความสมบุกสมบัน “พูดให้รู้สึกเคืองงั้นหรือ? ไท่ซั่งหวงพร้อมแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ลังเล หากท่านจะว่าท่านก็ต้องว่าเสด็จปู่ของท่านก่อน”
อวี่เหวินฮ่าวมิบังอาจ แม้ว่าเขาอยากจะพูดบางอย่าง แต่เห็นว่าแต่ไหนแต่ไรมาเสด็จปู่ก็ให้ท้ายชายชราผู้นี้มาตลอดจนเขาเป็นคนเหิมเกริม
ความจริงแล้ว หยวนชิงหลิงอยากจะพูดคุยกับเซียวเหยากงเป็นการส่วนตัวสัก 2-3 คำ แต่เห็นว่าไม่มีโอกาสเหมาะเสียที เพราะถึงอย่างไรเซียวเหยากงก็ดูจะสนอกสนใจอวี่เหวินฮ่าวเสียมากกว่า
เมื่อพูดคุยไปได้สักพัก เซียวเหยากงก็ลุกขึ้นยืน “องค์ชายห้า เชิญเสด็จตามข้ามาในห้องสักครู่”
อวี่เหวินฮ่าวครุ่นคิด แล้วค่อยๆลุกขึ้น เขาเดินตามเซียวเหยากงไป
หยวนชิงหลิงเห็นท่าทางเหมือนกำลังเดินไปลานประหารของเขาก็หัวเราะ เซียวเหยากงเป็นกันเองขนาดนี้ ทำไมจะต้องกลัวเขาด้วยล่ะ?
เซียวเหยากงและอวี่เหวินฮ่าวเดินเข้าไปพูดคุยกันด้านในแค่เพียงไม่กี่นาทีก็เดินออกมา เมื่อเดินออกมาแล้ว อวี่เหวินฮ่าวก็บอกว่าจะต้องไปทำธุระ แล้วจูงหยวนชิงหลิงเดินออกไปอย่างรีบเร่ง
กว่าหยวนชิงหลิงจะมาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยังไม่ทันที่จะเอ่ยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ก็ต้องกลับไปเช่นนี้เสียแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
แต่ว่า เซียวเหยากงกลับมองมาที่นางและกล่าวว่า “อีก 2 วันกระหม่อมจะเข้าวังไปถวายบังคมไท่ซั่งหวง หากพระชายาทรงมีเวลาว่าง ก็ไปพร้อมกันได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงรีบตอบกลับไปทันทีว่า “ได้ค่ะ ได้ค่ะ ข้าว่าง ข้าว่าง”
พูดจบ จึงเดินออกไปกับอวี่เหวินฮ่าวอย่างสบายใจ
เมื่อขึ้นมาบนรถม้าแล้ว อวี่เหวินฮ่าวดูเงียบขรึมไป สีหน้าของเขาดูกลัดกลุ้ม
หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม “ดีดกูกูคืออะไรหรือ?”
อวี่เหวินฮ่าวมองหน้านาง “ดีดหน้าผาก เมื่อก่อนเขาชื่นชอบการดีดหน้าผากของข้าเป็นที่สุด”
“อ๋อ เขาแข็งแรงเช่นนี้ เวลาดีดคงจะแรงเยอะน่าดู” หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขายังมีท่าทีกลัดกลุ้ม จึงเอ่ยถามเขาว่า “เป็นอะไรไปหรือ?”
อวี่เหวินฮ่าวตอบเบาๆ “คนที่ปองร้ายลอบสังหารข้า เซียวเหยากงหาตัวเจอแล้ว”
“หาเจอแล้ว? แล้วทำไมไม่ส่งตัวไปที่กรมจะมาบอกท่านทำไมกัน? หรือว่าจะกราบทูลให้เสด็จพ่อทรงทราบก็ได้นี่นา” หยวนชิงหลิงถามอย่างแปลกใจ
“เขาได้ส่งจดหมายไปแล้ว แต่เสด็จพ่อมิได้ทรงออกความคิดเห็นแต่ประการใด” อวี่เหวินฮ่าวขมวดคิ้ว “แม้จะเรียกเขาเข้าไปไต่ถาม ก็มิได้ทรงกระทำด้วยซ้ำ”
“เป็นจี้อ๋องหรือ?”
“ใช่!” อวี่เหวินฮ่าวพยักหน้า “เป็นเขานั่นแหละ ข้ารู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ว่าไม่มีหลักฐาน ตอนนี้เซียวเหยากงหาหลักฐานได้แล้ว แต่เสด็จพ่อกลับไม่ใส่พระทัย มันหมายความว่าอย่างไร?”
น้ำเสียงของเขาทั้งโกรธเคืองและผิดหวัง หยวนชิงหลิงกุมมือเขาเอาไว้ และกล่าวเบาๆว่า “เขาสร้างผลงานเอาไว้ ตอนนี้ก็กำลังจะรับเอาหญิงสาวจากตระกูลฉู่เข้ามาเป็นพระชายารอง เขากำลังเจริญรุ่งเรือง ไม่แน่ว่า เสด็จพ่อคงจะทรงตั้งพระทัยให้เขาได้เป็นองค์รัชทายาท”
คนอำมหิตที่แสนจะร้ายกาจเช่นนั้น เหตุใดฮ่องเต้จึงทรงเลือกเขาล่ะ? หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจ
อวี่เหวินฮ่าวพูดอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อเสด็จพ่อทรงต้องการจะปกป้องเขา ข้าก็จะต้องกระชากหน้ากากของเขาออกมาให้ทุกคนได้เห็น ไม่ว่าใครจะได้เป็นรัชทายาท คนๆนั้นจะต้องไม่ใช่เขา”
หยวนชิงหลิงรู้สึกเป็นกังวล “หากเสด็จพ่อทรงตั้งพระทัยให้เขาได้เป็นองค์รัชทายาท การที่ท่านแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของเสด็จพ่อ ข้ากลัวว่า……”
MANGA DISCUSSION