อวี่เหวินฮ่าวเดินมากล่าวคำทักทายฮูหยินอาวุโส เขาเพียงพูดคุยกับนางเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
อาซื่อเดินตามออกมาเพื่อหยิบสัมภาระของตนเองที่รถม้า เมื่อหยวนชิงหลิงเห็นนางสะพายย่ามก็ถึงกับหัวเราะออกมาในทันที “นี่ข้าหลงกลเข้าแล้วหรือนี่?”
อาซื่อตอบอย่างร่าเริง “พระชายา หากท่านไม่รับเลี้ยงหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะรออยู่ด้านนอกจนกว่าท่านจะยินยอมเลยล่ะเพคะ”
หยวนชิงหลิงยิ้ม นางยืนมองรถม้าเคลื่อนตัวจากไป แล้วหันมาพูดกับอวี่เหวินฮ่าว “วันนี้ทำไมกลับเร็วล่ะ?”
อวี่เหวินฮ่าวจูงมือนางปลีกตัวไปอีกทาง แล้วกระซิบข้างๆหูของนางว่า “คิดถึงเจ้า”
หยวนชิงหลิงยิ้มเล็กยิ้มน้อย คนบ้าคนนี้ นับวันยิ่งรู้จักใช้คำพูด
อวี่เหวินฮ่าวหันไปมองอาซื่อ พลางเย้าแหย่นางว่า “ตระกูลหยวนแวะมาเยี่ยมแค่ครั้งเดียว นี่เจ้ายังรับเด็กชายตัวเล็กๆคนนี้มาดูแลด้วยหรือนี่?”
“ฮูหยินอาวุโสบอกให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนข้า มามาเองก็เห็นชอบด้วย” หยวนชิงหลิงกล่าว
อวี่เหวินฮ่าวพยักหน้า “ฮูหยินอาวุโสช่างมีน้ำใจในการเสียสละครั้งนี้ยิ่งนัก”
หยวนชิงหลิงถึงกับตะลึง นางไตร่ตรองคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ และแล้วนางก็ได้เข้าใจว่า การที่ฮูหยินอาวุโสมอบอาซื่อให้กับนางมิใช่เพื่อให้อาซื่อได้มาเล่าเรียนกับนาง หากแต่เป็นการส่งอาซื่อมาปกป้องนาง ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง นางสั่งให้ลู่หยาพาอาซื่อไปเก็บข้าวเก็บของ
หยวนชิงหลิงรินน้ำให้อวี่เหวินฮ่าว แล้วจึงเอ่ยถามด้วยความข้องใจ “จริงๆแล้วข้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ข้ากับหยวนฮูหยินเพียงเคยพบกันแค่ครั้งเดียว ทำไมทั้งตระกูลของพวกนางจึงมอบความสนิทชิดเชื้อให้ข้าได้มากถึงเพียงนี้?”
อวี่เหวินฮ่าวจึงได้อธิบายว่า “ฮูหยินอาวุโสเกิดที่อู่หลิน บรรดาลูกสะใภ้ของนางส่วนมากก็มาจากอู่หลิน คนที่นั่นเป็นคนที่ยึดถือคุณธรรมเป็นอย่างมาก ตอนที่เจ้าไปอยู่นอกเมือง เจ้าไม่ยึดถือยศตำแหน่ง ไม่รังเกียจความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ไม่กลัวอันตราย เจ้าช่วยเหลือผู้คนไปเป็นจำนวนมาก พวกนางจึงเทิดทูนเจ้ามากอย่างไรล่ะ”
“แค่นี้ก็ถึงกับเทิดทูนกันเลยหรือนี่?” หยวนชิงหลิงแปลกใจ การเทิดทูนเช่นนี้จะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ? คนทำดีบนโลกใบนี้ยังมีอีกตั้งมากมาย
“พวกนางมองคนออก ผู้ใดมีหรือไม่มีจิตใจอันบริสุทธิ์ พวกนางสามารถดูออก สิ่งที่เจ้าได้ทำลงไปทั้งหมดในวันนั้น เจ้าทำเพื่อช่วยคน เจ้าจิตใจบริสุทธิ์ ไม่มุ่งหวังผลประโยชน์ตอบแทน สมควรจะได้รับการเทิดทูน”
หยวนชิงหลิงหรี่ตา “คำพูดเหล่านี้ท่านคาดเดาไปเองหรือว่าเป็นความคิดที่ท่านคิดต่อข้ากันแน่?”
อวี่เหวินฮ่าวจ้องมองนางแล้วถอนหายใจ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก้มลง “คนอื่นน่ะตาบอด คิดว่ามองเจ้าออก แต่มีเพียงข้าที่รู้ว่า เจ้าน่ะเป็นคนใจแคบ ขี้อิจฉา ดุร้าย เป็นผู้หญิงที่มีแต่ข้อเสีย แต่ผู้หญิงแบบนี้ ข้ากลับมองเป็นดั่งอัญมณี เจ้าคิดว่าในชาติก่อนข้าคงจะทำกรรมเอาไว้เยอะเลยใช่หรือเปล่า”
หยวนชิงหลิงมองค้อนเขา “หากไม่มีสองประโยคส่วนหลัง วันนี้ข้ากับท่านถึงไหนถึงกันแน่นอน”
อวี่เหวินฮ่าวหัวเราะ เขาดื่มน้ำ แล้วพูดจาพึมพำ “จริงๆแล้วเจ้าเป็นคนดีมากๆ”
หยวนชิงหลิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน “ท่านว่าอะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าอาหารที่กินที่กรมในวันนี้ดีมากๆ” อวี่เหวินฮ่าวตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หยวนชิงหลิงตีเขาเบาๆไป 1 ที นางหัวเราะและถามว่า “ท่านจะชมข้าสักหน่อยไม่ได้เลยใช่ไหม? ผู้หญิงน่ะเขาก็ชอบฟังคำพูดดีๆทั้งนั้นแหละ”
“นั่นมันเป็นเรื่องเปลือกนอก!” อวี่เหวินฮ่าวไม่อยากพูดจาเอาอกเอาใจ
“แต่ว่าข้าชอบฟัง!” หยวนชิงหลิงไม่ยอม
อวี่เหวินฮ่าวมองหน้านาง เขาไม่รู้จะสรรหาคำพูดดีๆจากไหนได้เลย เขาพูดอย่างฝืนใจว่า “เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ เจ้ารูปงามยิ่งนัก นิสัยก็ดีเลิศ ทำร้ายใครก็ไม่ทำให้เขาเจ็บปวด ตอนเจ้าหึงช่างน่ารักเป็นที่สุด”
หยวนชิงหลิงมองหน้าเขาอย่างฉุนเฉียว “พอเถอะ ท่านไม่ต้องชมข้ายังจะดีกว่าอีก ยิ่งฟังก็ยิ่งขนลุก”
“ข้าเน้นที่การกระทำมาโดยตลอด การที่ข้ารักคนๆหนึ่งจะต้องพูดออกจากปากด้วยงั้นหรือ?”
“ท่านเน้นการกระทำตรงไหน?” หยวนชิงหลิงมองเขาอย่างไม่พอใจ เขาลูบไล้ไปตามเส้นผมของนาง จ้องมองนางด้วยความเสน่หา แล้วจึงประกบปากนางในทันที……
“ปัง” เสียงประตูเปิดออก อวี่เหวินฮ่าวสงสัยว่าจะถูกถีบออกเสียด้วยซ้ำ
อาซื่อกระโดดโลดเต้นเข้ามาข้างใน นางกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “พระชายา หม่อมฉันจัดวางข้าวของเสร็จแล้ว ท่านมีสิ่งใดจะเรียกใช้หรือไม่?”
อวี่เหวินฮ่าวหันไปมองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ซวีอีเป็นพี่ชายเจ้าหรือ? เจ้าเป็นญาติพี่น้องกับซวีอีหรือไง?”
อาซื่องุนงงเล็กน้อย “ซวีอีคือใคร? เปล่านะเพคะ”
เจ้าจะเข้ามาทำไมไม่เคาะประตูเสียก่อน?”
อาซื่อตกใจ “นี่มันกลางวันแสกๆ ต้องเคาะประตูด้วยหรือ? ใช่แล้ว กลางวันแสกๆจะปิดประตูทำไมกัน? เปิดประตูไว้ไม่ดีหรอกหรือ? ห้องสว่างดีนะเพคะ”
อวี่เหวินฮ่าวโกรธมาก “ใช่ เปิดประตูสิ เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับพระชายา” ง่ายไหมล่ะ? ง่ายไหมล่ะ? อาศัยจังหวะช่วงพักเที่ยงรีบบึ่งกลับจวนมาจู๋จี๋กับพระชายาของตัวเองสักประเดี๋ยวก็ยังไม่ได้ ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายหรือไม่ล่ะ?
อาซื่อมองหน้าหยวนชิงหลิง แล้วจึงหันมามองอวี่เหวินฮ่าวด้วยสายตาตักเตือน “พระชายา หากมีคนรังแกท่าน ให้ท่านร้องเรียกหม่อมฉันได้เลยนะเพคะ หม่อมฉันอยู่ด้านนอกตรงนี้เอง”
หยวนชิงหลิงยิ้ม “ได้สิ เจ้าออกไปเถอะ”
คนตระกูลหยวนจะว่าดีก็ดีอยู่ ทว่าดูเหมือนจะบ๊องๆไปเสียหน่อย เหมือนกับสุนัขฮัสกี
หยวนชิงหลิงยังคงอยากไปเยี่ยมเยียนเซียวเหยากง ดังนั้น เมื่ออาซื่อเดินออกไปแล้ว นางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เรามาหาวันว่างๆ ไปเยี่ยมเซียวเหยากงเสียหน่อยดีไหม?”
อวี่เหวินฮ่าวต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด “ไม่!”
“ข้าไม่เข้าใจเลย คนดีๆอย่างเซียวเหยากง ทำไมท่านต้องจงเกลียดจงชังเขาด้วยล่ะ?”
อวี่เหวินฮ่าวตอบอย่างหงุดหงิด “ใครบอกว่าข้าเกลียดเขา? ข้าก็แค่ไม่อยากไปเจอหน้าเขาก็เท่านั้น”
“ก็แล้วทำไมล่ะ?” หยวนชิงหลิงรู้สึกข้องใจ
“ทำไมเจ้าจะต้องไปพบเขาให้ได้ด้วยล่ะ?” อวี่เหวินฮ่าวก็ข้องใจเช่นกัน คนแก่ๆคนหนึ่ง จะมีอะไรดีให้นางอยากไปพบ?
หยวนชิงหลิงจึงตอบไปว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะถามเขาเสียหน่อย สำคัญมาก”
“จำเป็นจะต้องถามงั้นหรือ?”
ประเด็นที่ว่าเป็นคนบ้านเดียวกันหรือไม่นั้น นางจะต้องถามให้ได้ ดังนั้น หยวนชิงหลิงจึงพยักหน้าอย่างเต็มแรง
อวี่เหวินฮ่าวจึงกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ได้ พรุ่งนี้ข้าลางาน ข้าจะให้คนถือจดหมายไปแจ้งเซียวเหยากง”
หยวนชิงหลิงทั้งกอดทั้งหอมเขาแล้วยิ้มอย่างดีอกดีใจ “ขอบพระทัยนะเพคะ!” อวี่เหวินฮ่าวพลันรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
เช้าวันต่อมา อวี่เหวินฮ่าวก็ลุกขึ้นมาเตรียมตัว
เขาให้ซวีอีไปหาเสื้อเกราะมาให้เขา เสื้อเกราะตัวนั้นถูกเก็บไว้ในตู้หลังแรก ซวีอีเช็ดถูอยู่บ่อยๆ เขาจะใส่ก็ต่อเมื่อเข้าไปในค่ายทหาร แต่หลังจากที่เขาได้มารับตำแหน่งที่กรมการพระนคร ก็แทบจะไม่ได้สวมใส่มันอีกเลย
หยวนชิงหลิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “แค่ไปจวนเซียวเหยากงแต่งชุดลำลองไปก็ได้ ทำไมต้องใส่เสื้อเกราะด้วยล่ะ”
“หลังจากนั้นข้าจะแวะไปที่ค่ายทหารเสียหน่อย จะได้ไม่ต้องกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างไรล่ะ ใส่ไปตั้งแต่ตอนนี้นี่แหละ” อวี่เหวินฮ่าวอธิบาย
“ท่านจะไปทำอะไรที่ค่ายทหาร? วันนี้ท่านลางานไม่ใช่หรือ?”
อวี่เหวินฮ่าวจูงมือนางไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “ก็ใช่น่ะสิ ถือจังหวะที่ข้าได้ลางาน ไปเยี่ยนเยียนพี่น้องเหล่าทหารเสียหน่อย”
ภายในคันฉ่อง ใบหน้าของนางหมดจด เขายืนอยู่ด้านหลัง ทั้งรูปงามและองอาจ รูปงามจนทำให้คนมองต้องหวั่นไหว
“พวกเราช่างเป็นคู่สร้างคู่สมจริงๆนะ” อวี่เหวินฮ่าวกล่าวพลางยิ้ม
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ใช่หรือ? ข้าไม่ใช่หญิงอัปลักษณ์หรอกหรือ?”
“ก็อัปลักษณ์นั่นแหละ แต่เป็นความอัปลักษณ์ที่แหวกแนว!”
หยวนชิงหลิงหยิบหวีขึ้นมาตีเขา นางต่อว่าเขาทั้งๆที่ยังหุบยิ้มไม่ได้ “พวกเราเป็นคู่สร้างคู่สม ท่านบอกว่าข้าอัปลักษณ์ แสดงว่าท่านก็ต้องอัปลักษณ์เช่นกัน? มิเช่นนั้นจะมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไรล่ะ?”
อวี่เหวินฮ่าวถอนหายใจ “แต่ไหนแต่ไรมาชายรูปงามก็มักจะคู่กับหญิงหน้าตาอัปลักษณ์ ผู้ชายที่รูปงามเข้าหน่อยมักจะไม่ได้เคียงคู่กับหญิงงามหรอกนะ มันเป็นเช่นนี้มานานแล้ว”
“ออกไปเลยนะ!” หยวนชิงหลิงผลักเขาเบาๆพลางหัวเราะ “อย่ามายืนขวางทางลู่หยา นางจะได้หวีผมให้ข้า”
ลู่หยาที่ยืนอยู่ข้างๆก็แอบหัวเราะ เมื่อได้ยินหยวนชิงหลิงเรียก นางก็รีบเดินเข้าไปหา “ความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องและพระชายาในตอนนี้ช่างดีงามจริงๆเลยเพคะ”
“เมื่อก่อนก็ดีงามนี่นา!” อวี่เหวินฮ่าวกล่าวอย่างเยือกเย็น
หยวนชิงหลิงโต้ตอบ “เมื่อก่อนดีงามงั้นหรือ? ในแต่ละวันเราตบตีกันวันละหลายๆรอบแบบนั้นน่ะหรือที่เรียกว่าดีงาม?”
“ตบตีแปลว่ารักอย่างไรล่ะ” อวี่เหวินฮ่าวยืนมองใบหน้าของนางอยู่ข้างๆ จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ที่นางตั้งครรภ์ นางก็ดูงามขึ้นมาก แต่ก็ช่างเถอะ ต่อให้นางจะอัปลักษณ์ ถึงอย่างไรนางก็คือพระชายาของเขา
ฉีมามาเตรียมมื้อเช้าไว้พร้อมแล้ว รอให้หยวนชิงหลิงมารับประทานหลังจากที่ทำผมเสร็จ
เมื่อได้ทานยาคลายความกังวลเข้าไปแล้ว หยวนชิงหลิงก็รู้สึกดีขึ้นมาก นางรับประทานโจ๊กได้เกินครึ่งถ้วยแล้ว
สำหรับผู้ที่ทำงานด้านการผลิตยา ยาคลายความกังวลนี้สมควรที่จะนำไปทำการศึกษาเชิงลึกต่อไป น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเสียแล้ว จะต้องรอแม่ทัพจิ้งถิงคนนั้นเป็นคนนำมาให้
MANGA DISCUSSION