คุณหนูน้อยแห่งตระกูลหยวนลงมาถึงพื้นเป็นที่เรียบร้อย นางเก็บดาบเข้าฝัก แล้วยืนตรงเอามือแนบข้างลำตัว นางยิ้มเล็กน้อย ทรงผมของนางยังคงความเป็นระเบียบไม่ยุ่งเหยิง
ฉีมามาใจสลาย ฉากบังลมไม้แกะสลักที่ท่านอ๋องทรงรักมากที่สุด โอ้ ไม่นะ!
“ลองดูฝีมือค้อนดาวตกของข้าสิ!” คุณหนูน้อยอีกคนหนึ่งพลันเหาะออกมา นางหยิบค้อนดาวตกที่วางอยู่บนพื้นแล้วเหวี่ยงโซ่ไปมา มีเสียงลมพัดเฟี้ยวฟ้าว ดังเกรียวกราดราวสายฟ้าฟาด เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ค้อนดาวตกนั่นก็ทุบไปทางฝั่งตะวันออกทีหนึ่ง ฝั่งตะวันตกทีหนึ่ง ทำเอาหยวนชิงหลิงเองก็หลงคิดไปหลายทีว่าค้อนนั่นจะมาปะทะเข้ากับตนเอง ค้อนนั่นเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอยู่สักครู่ แล้วก็ถูกเก็บเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ
ฉีมามาเห็นพื้นห้องทั้งทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกล้วนเป็นรูโบ๋ ไม่รู้ว่าจะต้องเสียค่าซ่อมแซมไปกี่ตำลึง?
“ข้าด้วย!” คุณหนูวัย 13-14 ปีก้าวออกมา นางเลือกธนูคันยาว แล้วเหาะออกไปด้านนอก เพียงชั่วอึดใจ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางเสียแล้ว
ในขณะที่หยวนชิงหลิงกำลังตกตะลึง ก็ได้ยินเสียงดังขวับทะยานผ่านอากาศเข้ามา ยังไม่ทันที่จะได้เจอต้นตอของเสียง นางก็รู้สึกว่าหนังศีรษะนั้นเย็นชอบกล ราวกับมีลมพัดผ่านด้วยความเร็วสูง หลังจากนั้น ผมของนางก็ปล่อยสยายลงมา นางเอามือไปคลำดู ก็พบว่าปิ่นปักผมได้หายไปเสียแล้ว นางรีบหันหลังไปดู กลับพบว่าลูกศรธนูได้ปักเข้าไปที่ผนังหลังศีรษะนาง ปิ่นปักผมของนางก็ถูกยึดไว้กับผนังนั่นเอง
หยวนชิงหลิงนั่งปรบมือตัวแข็งทื่อ นางก็ไม่รู้ว่าสีหน้าของนางในตอนนี้เป็นสีอะไรแล้ว นางค่อยๆยืนอย่างไม่มั่นคงเท่าไรนัก จากนั้นจึงพยายามกล่าวกับฮูหยินอาวุโสอย่างสงบเสงี่ยมว่า “ท่านฮูหยิน ข้าต้องขอตัวสักพัก จะไปทำธุระส่วนตัวสักประเดี๋ยว”
ฮูหยินอาวุโสจึงยิ้มและตอบว่า “เชิญพระชายาตามสบายเถิดเพคะ คนท้องมักจะไปเข้าห้องน้ำบ่อยเช่นนี้เป็นธรรมดา”
หยวนชิงหลิงมองไปที่ลู่หยาและฉีโหลว “พวกเจ้าสองคนมาประคองข้าไปที ข้ารู้สึกแข้งขาอ่อนระทวย……ไม่สิ เหมือนจะเป็นเหน็บชา นั่งนานไปเลือดลมมันไม่ไหลเวียน”
ลู่หยาและฉีโหลวก้าวเท้าเข้ามาด้วยอาการงันงกเพื่อจะประคองหยวนชิงหลิงออกไป เมื่อหยวนชิงหลิงก้าวเท้าพ้นจากประตูได้แล้วก็เอามือเท้าผนัง อีกมือหนึ่งนำมาทาบไว้บนอกพร้อมกับหายใจอย่างเหนื่อยหอบ “ข้าตกใจ ข้าตกใจหมดเลย”
นางคิดว่าลูกศรของธนูนั่นจะปักเข้ากลางศีรษะของนางเสียอีก
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่า เพราะเหตุใดอวี่เหวินฮ่าวจึงพูดว่าฉู่หมิงฉุ่ยไม่อาจสู้กับหยวนหย่งอี้ได้ ใครหน้าไหนก็สู้นางไม่ได้ทั้งนั้น! ฉีอ๋องท่านซวยแน่ หากท่านกล้ารังแกหยวนหย่งอี้แล้วล่ะก็ ท่านคงจะรักษาชีวิตน้อยๆของท่านเอาไว้ได้ยากแน่!
เมื่อหยวนชิงหลิงทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ผมเผ้าของนางก็จัดแต่งใหม่อย่างเรียบร้อย คุณหนูหยวนผู้ที่เป็นคนยิงธนูไปเมื่อครู่นี้ก็ได้นำปิ่นปักผมเข้ามาคืนนาง “พระชายา นี่ปิ่นของท่าน”
หยวนชิงหลิงส่งยิ้มให้กับนาง “ข้าขอมอบให้เจ้านะ”
คุณหนูหยวนรู้สึกอึ้ง นางถามด้วยความลิงโลด “จริงหรือ?”
“จริงสิ ชอบหรือเปล่าล่ะ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม นางไม่อาจเก็บปิ่นนั้นเอาไว้ต่อไปได้อีก คงจะต้องฝันร้ายแน่นอน ศีรษะของนางเกือบจะหลุดออกไปแทนปิ่นนั่นเสียแล้ว
“ชอบ ชอบมากๆเลยเพคะ!” คุณหนูหยวนเก็บปิ่นเข้าไปด้านในเสื้อ นางดีใจจนแทบจะร้องไห้
หยวนชิงหลิงยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ กลุ่มสตรีที่มีฝีมือเชิงการต่อสู้เช่นนี้ เหตุใดจึงให้ความสำคัญกับพระชายาธรรมดาๆเช่นนางด้วย? ถึงกับยกกันมาทั้งบ้านเพื่อมาเยี่ยมนางเลยหรือนี่? แล้วดูศัสตราวุธแต่ละอย่าง ผู้ที่เชี่ยวชาญในการใช้อาวุธมักจะหวงแหนอาวุธเป็นอย่างมาก แต่พวกนางกลับมอบอาวุธที่ดีที่สุดมาให้นาง
ฮูหยินอาวุโสท่าทางสงบเสงี่ยม นางมองดูหยวนชิงหลิงและเอ่ยขึ้นมาว่า “พระชายา หม่อมฉันมีเรื่องบางอย่างที่จะบังอาจทูลขอเพคะ”
“ท่านยอดฝีมือ……ท่านฮูหยิน เชิญท่านพูดมาเถอะ” หยวนชิงหลิงเก็บซ่อนความรู้สึก แล้วเอ่ยถามออกไป
ฮูหยินอาวุโสหันไปทางคุณหนูนักธนูแล้วถอนหายใจออกมา แต่อุปนิสัยทั้งทโมนและแก่นแก้ว ไม่มีกิริยามารยาท หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องการออกเรือนของพวกนางมาหลายวันหลายคืนแล้วเพคะ เจ้าหยวนหย่งอี้ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไร จึงได้ออกเรือนไปตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่น้องๆของนาง หากอายุไม่ถึง 18 หรือ 20 เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดมาสนใจเสียแล้วล่ะเพคะ”
เมื่อหยวนชิงหลิงฟังจบก็ได้เอ่ยถามออกไปว่า “ท่านต้องการให้ข้าช่วยหาคู่ครองให้พวกนางใช่หรือไม่?”
ฮูหยินอาวุโสยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่เพคะ ไม่ใช่……” นางเงยหน้าไปมองหยวนฮูหยิน นัยน์ตาสื่อความหมายถึงความเคลือบแคลงใจ ก็ควรจะพูดเช่นนั้นมิใช่หรือ? นี่นางพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ?
ฮูหยินอาวุโสจึงได้กล่าวต่อไปว่า “พระชายาเองทรงเป็นสตรี แต่มีความสามารถทางด้านการแพทย์ติดตัว หม่อมฉันนับถือยิ่งนัก ไม่ทราบว่าพระชายาจะทรงยินยอมรับเอาอาซื่อไปดูแลหรือไม่เพคะ ให้นางได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรจากท่านบ้าง? ต่อให้เรียนรู้แค่เพียงตัวอักษรก็ยังดีเพคะ”
หยวนชิงหลิงแปลกใจ “พวกนางอ่านตัวอักษรไม่ได้เลยหรือ?”
“ก็พอรู้จักบ้างเพคะ แต่ว่าเขียนไม่ค่อยจะได้” ในขณะที่ฮูหยินอาวุโสพูดประโยคนี้ขึ้นมา ทำเอานางรู้สึกขายหน้ายิ่งนัก นางเองก็เป็นดังนั้นเช่นเดียวกัน
“แล้วเหตุใดจึงไม่เชิญอาจารย์มาสอนล่ะ?” หยวนชิงหลิงกล่าว
“เคยเชิญมาแล้วเพคะ เคยเชิญมาแล้ว……” ฮูหยินอาวุโสพลันเงียบไป สีหน้าของนางดูรันทดใจ “เคยเชิญอาจารย์มาเป็นร้อยๆท่านแล้วเพคะ แต่ว่า พวกเขาก็อยู่ได้ไม่นาน เรื่องค่าตอบแทนพวกเราก็จ่ายให้พวกเขาไม่อั้น หม่อมฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆเลยเพคะ!”
หยวนหย่งอี้จึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ก็เพราะพวกเขาสอนต่อไปไม่ไหวน่ะสิ หากไม่มือขาด ก็คงต้องขาขาด”
“หุบปาก เจ้านี่พูดมากจริงๆเลย!” ฮูหยินอาวุโสตำหนิหยวนหย่งอี้ ความรู้สึกขายหน้าของนางมีมากขึ้นจนแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเคือง
หยวนหย่งอี้โดนท่านย่าดุ นางจึงก้าวเท้าถอยหลังอย่างไม่เต็มใจพลางบ่นพึมพำ “ยังจะไม่ให้ข้าพูดอีก ข้าไม่ได้ตีสักหน่อย ส่วนใหญ่ก็ท่านย่านั่นแหละที่ตี”
หยวนชิงหลิงรู้สึกสมองชาราวกับมีมดจำนวนหลายร้อยล้านตัวไต่ไปไต่มาอยู่ระหว่างเส้นผม
คุณหนูหยวนซื่อผู้ที่ยิงธนูไปเมื่อครู่นี้จึงคุกเข่าข้างเดียวลงที่พื้น “ขอพระชายาโปรดให้การอุปการะหม่อมฉันไว้ข้างกายด้วยเถิด อาซื่อจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระชายา และจะปกป้องคุ้มครองพระชายาด้วยเพคะ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกหวั่นไหว ถึงแม้ว่าตอนนี้อวี่เหวินฮ่าวจะให้ซวีอีมาคอยอารักขานาง แต่ซวีอีนั้นเป็นผู้ชาย สถานที่บางแห่งที่นางไปได้ แต่เขาไม่อาจไปได้ อย่างเช่นงานสมาคมของสมาชิกครอบครัวที่เป็นสตรี เขาทำได้เพียงคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก แต่อาซื่อไม่เหมือนกัน นางสามารถพาอาซื่อเข้าออกได้ทุกที่ แต่ว่า อาซื่อเป็นเด็กสาวจากตระกูลหยวน จะมีจุดประสงค์แอบแฝงในการให้นางมาอาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้หรือเปล่านะ? คนภายนอกก็ยิ่งเล่าลือกันอย่างหนาหูอยู่มิใช่หรือ?
ซีมามายิ้มและพูดขึ้นมาว่า “พระชายา ท่านกำลังทรงพระครรภ์อยู่ โปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วนด้วยเพคะ ท่านควรจะมีเด็กสาวที่ร่าเริงแจ่มใสเอาไว้เป็นเพื่อนข้างๆพระวรกาย หากท่านทรงโปรดอาซื่อจริงๆ ก็ให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนท่านหลายๆเดือนดีไหมเพคะ?”
เมื่อได้ฟังคำพูดจากซีมามาแล้ว หยวนชิงหลิงก็รู้ได้ว่าซีมามาเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ นางจึงส่งยิ้มให้กับอาซื่อและเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็มาอยู่กับข้า มาคุยเล่นเป็นเพื่อนข้า ช่วยให้ข้าหายเบื่อก็แล้วกันนะ”
อาซื่อตอบอย่างดีอกดีใจ “เพคะ ขอบพระทัยเพคะพระชายา!”
อาซื่อถูกสายตาของบรรดาพี่ๆน้องๆมองมาด้วยความอิจฉา นางหลบไปยืนข้างๆด้วยท่าทางลำพอง
หยวนหย่งอี้รู้สึกหงุดหงิด หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกนางก็คงจะไม่รีบแต่งงาน
ทุกคนนั่งคุยกันต่อสักพัก เนื่องจากคนนั้นก็พูดคนนี้ก็พูด กาลเวลาจึงล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็เป็นเวลารับประทานอาหารมื้อเที่ยง
เดิมทีหยวนชิงหลิงนึกว่างานเลี้ยงรับการมาเยี่ยมเยียนในครั้งนี้จะน่าเบื่อ แต่ว่า เมื่อได้รับฟังเรื่องราวสนุกๆของผู้คนในยุคสมัยนี้แล้ว กลับรู้สึกเพลิดเพลินใจยิ่งนัก การสนทนาเป็นไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา ในตอนสุดท้ายทำเอานางรู้สึกอิจฉาพวกนางยิ่งนัก คนเหล่านี้เมื่อได้รวมตัวกัน ไม่มีการเน้นมารยาทและข้อปฏิบัติจนวุ่นวาย ช่างสุขใจดีจริงๆ
ความรู้สึกที่พวกนางมอบให้หยวนชิงหลิง เป็นความรู้สึกเสมือนว่านางได้กลับมายังบ้านในยุคปัจจุบัน เวลาฉลองปีใหม่ในยุคปัจจุบัน ญาติๆจากหลายๆบ้านก็จะมารวมตัวกัน เป็นบรรยากาศที่ครื้นเครงยิ่งนัก
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ในขณะที่ฮูหยินอาวุโสกำลังนำสมาชิกในครอบครัวกล่าวคำอำลา หยวนชิงหลิงพลันรู้สึกใจหายเหมือนไม่อยากให้พวกนางกลับไป นางไปส่งพวกนางด้วยตนเองที่ประตูจวน นางจับมือฮูหยินอาวุโสไว้ น้ำตาแทบจะเอ่อล้นออกมา “ท่านจะต้องหมั่นมาที่นี่บ่อยๆนะ!”
ฮูหยินอาวุโสซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก นึกไม่ถึงว่าพระชายาจะทรงใส่พระทัยได้มากถึงเพียงนี้ นางมองหยวนชิงหลิงด้วยสายตาที่ตื้นตัน “เพคะ เพคะ อีกสองวันหากหม่อมฉันว่างจะมาเยี่ยมอีกนะเพคะ ขอพระชายาโปรดถนอมพระวรกายด้วย”
รถม้าของอวี่เหวินฮ่าวกลับมาพอดี เมื่อเห็นคนจำนวนมากเดินออกมาจากประตู เขาถึงกับตะลึงงัน
หยวนชิงหลิงเห็นหยวนหย่งอี้รีบไปหลบซ่อนตัวบนรถม้า ทำเอานางถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ที่แท้นางก็กลัวอวี่เหวินฮ่าวมากๆเช่นนี้นี่เอง
MANGA DISCUSSION