หยวนชิงหลิงแววตาเป็นประกาย "ได้เพคะ แล้วอีกอย่าง เมื่อทานไปแล้วก็ไม่ค่อยรู้สึกวิงเวียนแล้ว สิ่งนั้นคืออะไรหรือเพคะ? หม่อมฉันเห็นว่ามีรังนกและน้ำมะพร้าว"
ฉางกงกงยิ้มและตอบไปว่า "ท่านไม่ต้องใส่พระทัยหรอกว่านั่นคืออะไร รู้แค่เป็นของดีก็พอแล้ว เสวยแล้วจะช่วยขจัดอาการวิงเวียน และยังเป็นประโยชน์ต่อพระครรภ์อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่ออวี่เหวินฮ่าวได้ฟังก็รีบทูลถามถึงสูตรอาหาร "เสด็จปู่ สูตรอาหารนั่นจะมอบให้กระหม่อมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมจะให้คนคอยทำให้นางทาน ช่วงนี้นางแทบทานอะไรเข้าไปไม่ได้เลย"
"ไม่จำเป็น ของอย่างนี้กินมากเกินไปก็ไม่ดี เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะให้คนนำมาให้เอง" ไท่ซั่งหวงกล่าวพลางยกมือขึ้นมาปราม
แล้วเขาก็ค่อยๆลุกขึ้น "นี่ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ข้าจะต้องแวะไปที่จวนพี่สามของเจ้าด้วย"
หยวนชิงหลิงรู้สึกผิดหวัง "จะเสด็จแล้วหรือเพคะ? ไม่อยู่พูดคุยกันต่ออีกสักประเดี๋ยวหรอกหรือ?"
เมื่อเขาเสด็จกลับไปแล้ว แน่นอนว่า นางจะต้องถูกหามเข้ามานอนบนเตียงตามเดิม
ไท่ซั่งหวงทอดพระเนตรใบหน้าของนาง "เจ้ารักษาตัวให้ดีๆ สำหรับตัวเจ้าเองแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องให้ความสำคัญ เข้าใจหรือเปล่า?"
หยวนชิงหลิงเห็นท่าทีที่ดูจริงจังของเขา จึงพูดออกมาโดยแทบจะไม่รู้ตัว "เข้าใจแล้วเพคะ"
อวี่เหวินฮ่าวออกไปส่งเสด็จไท่ซั่งหวง ไท่ซั่งหวงทรงกำชับเรื่องราวต่างๆกับเขามากมาย หยวนชิงหลิงมองออกไปก็เห็นว่าเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เขากำลังเป็นกังวลอยู่นั่นเอง
หยวนชิงหลิงรู้สึกอยากจะร้องไห้ แต่นางก็พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาเล็กน้อย ช่วงนี้นางช่างเปราะบางจริงๆ แค่เพียงเรื่องเล็กๆก็ต้องเสียน้ำตาเสียแล้ว
อวี่เหวินฮ่าวกลับมาเห็นนางกำลังปาดน้ำตาเข้าพอดี เขานึกว่าด้วยคำพูดของไท่ซั่งหวงเมื่อครู่นี้ ทำให้นางรู้สึกเสียใจ
เขาเช็ดน้ำตาให้นาง และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "ที่เสด็จปู่รับสั่งไปเช่นนั้น พระองค์ทรงเป็นห่วงเจ้ามาก การเสด็จออกนอกวังในครั้งนี้ พระองค์ต้องเสด็จไปเยี่ยมเยียนจวนอ๋องหลายๆจวนจึงเหนื่อยเป็นพิเศษ พระองค์เสด็จออกนอกวังมาเพื่อเจ้าเลยเชียวนะ"
หยวนชิงหลิงจ้องมองเขาทั้งๆที่ยังมีหยาดน้ำตาเอ่อล้น "ข้ารู้ ข้าก็เลยร้องไห้อย่างไรล่ะ"
อวี่เหวินฮ่าวยิ้ม เขากุมมือนางแล้วพานางลุกขึ้น "อยากจะเดินเสียหน่อยใช่หรือไม่? ข้าจะพาเจ้าเดินเอง แต่ให้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ กลับไปแล้วจะต้องนอนพักผ่อนตามเดิม นอกเสียจากหมอหลวงจะบอกให้เจ้าเดินได้"
หยวนชิงหลิงยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาในทันที "รับทราบ!"
จากห้องโถงใหญ่เดินกลับมายังห้องบรรทมหาใช่ระยะทางสั้นๆ ทั้งสองค่อยๆเดิน พวกเขาเดินอย่างช้าๆ ด้านหลังมีคนจำนวนหนึ่งคอยเดินตาม หมอหลวงเฉาที่ได้ทราบว่าพระชายาจะลองเดิน จึงรีบตามมาเพื่อคอยสังเกตพระอาการ เขาเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
"ทานเครื่องเสวยที่เสด็จปู่พระราชทานมาให้แล้วรู้สึกดีขึ้นจริงๆหรือ?" อวี่เหวินฮ่าวเอ่ยถาม
"อือ ไม่วิงเวียนเหมือนที่แล้วมา แถมทานเข้าไปแล้วไม่ชวนให้อาเจียนอีกด้วย ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ อีกอย่าง ตอนนี้ก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ไม่รู้ว่าไปเอามะพร้าวมาจากไหน"
ตอนเหนือของเมืองหลวง เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะค่อนข้างหนาวเย็น มะพร้าวเป็นพืชผลทางการเกษตรจากทางตอนใต้ แม้จะเก็บรักษาได้ระยะหนึ่ง แต่ว่า ในเวลาเช่นนี้แล้ว ใครเขาจะเก็บมะพร้าวเอาไว้อยู่อีกล่ะ?
อวี่เหวินฮ่าวกล่าวว่า "ในวังจะมีของหรือไม่? ถ้าหากว่าไม่มี เพียงให้คนจากตอนใต้ส่งมาให้ก็ได้แล้ว สุดยอดสายลับของไท่ซั่งหวงเก่งกาจเสียยิ่งกว่าอะไร"
"สุดยอดสายลับ?"
"ใช่ สุดยอดสายลับคนนี้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงครองราชย์ เขาเคยเป็นที่เคารพยำเกรงอยู่ช่วงหนึ่ง คอยสอดแนมข่าวคราวจากผู้คนมากมาย ต่อมา เมื่อเสด็จพ่อได้ขึ้นครองราชย์แล้ว เขาจึงผันตัวมาเป็นคนสนิทของไท่ซั่งหวง
หยวนชิงหลิงก็เพิ่งจะเคยได้ยิน นางจำได้ว่าเคยเห็นองครักษ์ชุดดำที่ตำหนักเฉียนคุน ไม่รู้ว่าใช่สุดยอดสายลับหรือเปล่า
"เปลือกนอกคงจะเป็นแค่คนสนิททั่วๆไปกระมัง? ข้าเห็นว่าไท่ซั่งหวงรอบรู้ไปเสียทุกเรื่อง สุดยอดสายลับเหล่านี้คงจะคอยสืบข่าวมาให้เขาเช่นเคย" หยวนชิงหลิงกล่าว
อวี่เหวินฮ่าวจึงพูดขึ้นมาว่า "ก็ไม่แปลกนี่ เพราะในวังก็ไม่มีเรื่องไหนที่จะปิดบังไท่ซั่งหวงได้เลย"
คำพูดนี้ หยวนชิงหลิงเคยฟังซีมามาพูดมาก่อน ซีมามาเป็นข้าราชบริพารที่อยู่รับใช้ไท่ซั่งหวงมานาน นางคงจะรู้ดีถึงความเก่งกาจของสุดยอดสายลับ
อวี่เหวินฮ่าวจ้องมองนาง "มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ข้าปิดบังเจ้าเอาไว้"
หยวนชิงหลิงจึงเอ่ยว่า "วันนี้ข้าอารมณ์ดี นอกเหนือจากเรื่องการรับพระชายารอง หรือเรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิงอื่น ข้ายกโทษให้ท่านได้ทุกเรื่อง"
อวี่เหวินฮ่าวหัวเราะ "รับพระชายารองอะไรกัน? แต่ว่าก็ยังคงเกี่ยวกับผู้หญิงอยู่ดี"
"ฉู่หมิงฉุ่ย?" หยวนชิงหลิงมองหน้าเขาอย่างหยั่งเชิง
อวี่เหวินฮ่าวทำทีเป็นตกใจ "ฉู่หมิงฉุ่ยคือใครหรือ? ไม่เห็นรู้จักเลย"
หยวนชิงหลิงหยิกแขนของเขา "ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดช่างมีมากมายเหลือเกิน"
อวี่เหวินฮ่าวหัวเราะชอบใจ "เจ้าหมายถึงพระชายาฉีอ๋องน่ะหรือ? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางหรอก เป็นเรื่องพระชายาจี้อ๋องต่างหากล่ะ"
"นางทำไมหรือ?" หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
"วันก่อนนางให้คนนำรูปปั้นองค์กวนอิมมาให้ใช่ไหมล่ะ?"
"ใช่ นางมอบองค์กวนอิมมาให้ วิจิตรงดงามมากๆ แต่ว่าซีมามานำไปเก็บไว้ เห็นบอกว่าไม่อยากนำของที่นางมอบให้ออกมาตั้ง" หยวนชิงหลิงจำเรื่องนี้ได้
"องค์กวนอิมนั่นมีรอยร้าวอยู่ที่ด้านหลัง" อวี่เหวินฮ่าวนึกถึงทีไรก็ยิ่งแค้นใจไม่หาย
หยวนชิงหลิงเข้าใจแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะผิดหวัง "มีรอยร้าวหรือ? น่าเสียดายจริงๆ"
"เจ้าไม่โกรธหรอกหรือ?" อวี่เหวินฮ่าวรู้สึกประหลาดใจ คนจู้จี้เช่นนาง เรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้กลับไม่รู้สึกโมโห?
หยวนชิงหลิงมองหน้าเขา "จะต้องโกรธด้วยหรือ? ก็แค่ของนั้นให้มาเสียเที่ยว พอมีรอยร้าวก็ไม่ต้องรับเอาไว้ ข้าก็ไม่ได้อยากได้ของของนาง แต่แค่รู้สึกว่าองค์กวนอิมที่สวยงามเช่นนั้น ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก"
เมื่ออัญมณีมีรอยร้าวก็ย่อมถูกลดมูลค่าลงไปมหาศาล ความจริงควรจะนำไปทิ้งเสียด้วยซ้ำ ยกเว้นว่าจะตัดแบ่งออกมาทำเป็นของเล่น
อวี่เหวินฮ่าวกุมมือที่เย็นเฉียบของนางไว้ "เจ้ากำลังตั้งครรภ์ การที่นางมอบองค์กวนอิมประทานบุตรมาให้ เจ้าคิดว่ามันสื่อถึงอะไร?"
"คำสาปแช่งที่น่าเบื่อหน่าย? การกลั่นแกล้งที่ไร้หัวคิด?"
อวี่เหวินฮ่าวมองนางด้วยท่าทางเศร้าสร้อย เห็นนางไม่โกรธเคือง ไม่ใส่ใจ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าพระชายาจี้อ๋องทำเกินไปอยู่ดี เขาถึงกับบุกไปเล่นงานพระชายาจี้อ๋องถึงที่ก็เพื่อนาง เมื่อกลับมาแล้วยังกลัวนางจะโกรธจนไม่กล้าเอ่ยปากบอกนางไป
หยวนชิงหลิงหัวเราะ "หากท่านไม่อยากเห็นองค์กวนอิมนั่นอีกก็แค่ส่งกลับคืนไปให้นางก็ได้แล้ว"
"ช่างเถอะ นางเองก็ได้รับการสั่งสอนที่สาสมแล้วล่ะ" อวี่เหวินฮ่าวครุ่นคิด ถึงอย่างไรการสั่งสอนพระชายาจี้อ๋องให้รู้สำนึกก็เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ ต่อให้ไม่ใช่การทำเพื่อน้องหยวน ก็ถือเป็นการทำเพื่อความรู้สึกของตัวเขาเอง
หยวนชิงหลิงจ้องมองเขา "สั่งสอนนาง หมายความว่าอย่างไร?"
อวี่เหวินฮ่าวจึงได้เล่าเหตุการณ์ที่บุกไปจวนจี้อ๋องในวันนั้นให้นางฟัง รวมถึงการลงโทษมามาคนสนิทของพระชายาจี้อ๋อง แต่ว่าเขากลับปิดบังเรื่องคำพูดที่พระชายาจี้อ๋องได้บอกเขาในตอนท้าย เขารู้สึกไม่วางใจ และได้แต่กำชับว่า "หากพระชายาจี้อ๋องหรือคนอื่นๆมาพูดจากระทบกระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างเรา เจ้าอย่าไปเชื่อเด็ดขาด"
หยวนชิงหลิงยิ้ม "ข้าก็ไม่ได้โง่เสียหน่อย นี่เห็นข้าแยกแยะถูกผิดไม่ออกเลยหรือไง?"
ลึกๆแล้ว อวี่เหวินฮ่าวก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี เขากับนางอยู่กันอย่างผาสุก ก็หลังจากที่นางรักษาอาการป่วยของไท่ซั่งหวงสำเร็จแล้ว นางเองจะคิดเหมือนกันหรือไม่นะ หรือว่ามีเพียงเขาที่คิดไปเองฝ่ายเดียว? เพราะความกังวลใจนี้ ทำเอาอวี่เหวินฮ่าวรู้สึกหมดพลัง เขาอยากจะฟังความในใจของหยวนชิงหลิง แต่ก็กลัวว่าจะเก็บอาการของตนเองเอาไว้ไม่อยู่
เครื่องเสวยที่ไท่ซั่งหวงส่งมาให้ ทำให้หยวนชิงหลิงใช้ชีวิตราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์มาได้ถึง 2 วันแล้ว
ไม่อาเจียน และยังรับอาหารได้มากขึ้น แม้จะคลื่นไส้ในบางครั้ง แต่ก็ดีกว่าที่ผ่านมา อีกอย่าง เมื่อหมอหลวงวินิจฉัยพระอาการแล้ว นางสามารถลงจากเตียงมาเดินเหินได้ตามปกติ จะไปเดินเล่นในสวนก็ได้ เพียงแต่ถ้าหากว่าข้างหลังไม่มีคนคอยเดินตาม นางจะรู้สึกอิสระได้มากกว่านี้
อวี่เหวินฮ่าวรู้สึกเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนออกจากจวน เขาก็ได้กำชับแล้วกำชับอีก โดยเฉพาะกับซวีอีและหมอหลวง เมื่อใดก็ตามที่นางลงจากเตียง จะต้องมีพวกเขาทั้งสองคอยเฝ้าดูแลอยู่ด้านหลัง
สองวันผ่านไป หยวนชิงผิงก็หอบสัมภาระเดินทางมา นางพูดอย่างเริงร่าว่า "ครั้งนี้ท่านพ่อเป็นคนขอร้องให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่านเลยนะ"
"ขอร้อง?" หยวนชิงหลิงหัวเราะ นางรู้สึกขันกับการใช้คำพูดของหยวนชิงผิง
หยวนชิงผิงเลิกคิ้ว "ถึงแม้ว่าจะเป็นคำสั่ง แต่น้ำเสียงก็ฟังดูดีขึ้นเยอะเลยล่ะ"
MANGA DISCUSSION