หยวนชิงหลิงมองเขาแปลกๆ "เหตุใดจึงได้วกกลับมาเป็นว่าข้าหวังหรือไม่หวังไปได้เล่า? ข้าไม่ได้เป็นคนที่จะเป็นรัชทายาทเสียหน่อย"
"หากข้าเป็นรัชทายาท เจ้าก็จะเป็นพระชายาของรัชทายาทอย่างไรเล่า"
หยวนชิงหลิงหัวเราะ "พระชายาขององค์รัชทายาทกับองค์ชายแตกต่างกันอย่างไร?"
"จะไม่ต่างกันได้อย่างไร? เจ้าอย่าได้แสร้งทำเป็นเลอะเลือนกับข้าเลย หรือว่าเจ้าไม่อยากเป็นฮองเฮาหรือ?" อวี่เหวินฮ่าวมองนาง
หยวนชิงหลิงขยับแก้วน้ำบนโต๊ะและเอ่ยเสียงเบา "คิดน่ะง่าย แต่หนทางนั้นลำบากนัก ไม่คุ้ม" อย่างไรก็ยังเป็นประโยคนั้น สิ่งที่ต้องแลกนั้นมีมากเกินไป ไม่อาจกระทำได้
"เพียงแต่" อวี่เหวินฮ่าวมองนางและคุยกันถึงปัญหาที่ลึกซึ้งกว่านั้น "หากน้องเจ็ดดำรงตำแหน่งรัชทายาทได้อย่างมั่นคงก็แล้วไป หากไม่มั่นคงแล้ว คนนั้นที่จะขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งนั้นต้องไม่ปล่อยข้าและเจ้าไปแน่ ดังนั้นหากไม่แย่งชิงจนถึงที่สุดก็อาจจะไม่เหลือแม้แต่ชีวิต"
หยวนชิงหลิงแววตาไหววูบ "ท่านต้องการหรือ?"
อวี่เหวินฮ่าวส่ายหน้าช้าๆ "ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ลองคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อน"
หากเรื่องราวดำเนินไปถึงขั้นนั้นจริงเขาก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยง
หยวนชิงหลิงยักไหล่ "ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องกังวลมากมายเช่นนั้น เสด็จพ่อยังหนุ่มแน่น ตอนนี้คิดวิธีแก้ปัญหาเรื่องของหยวนเจี๋ยก่อนเถิด เรื่องตรงหน้าต่างหากที่ด่วนที่สุด"
อวี่เหวินฮ่าวเก็บอารมณ์และมองหน้า "เจ้าพูดถูก ในเมื่อจ้าเห็นด้วยกับแผนนี้ เช่นนั้นก็เข้าวังเถอะ"
ดวงตาของเขาฉายแววข้องใจขึ้นมาแวบหนึ่ง "ตอนนี้เสด็จพ่อคงประทับอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรพูดคุยกับขุนนางคนสนิทเป็นการส่วนพระองค์"
"ข้าจะไปเอง ท่านทำเป็นไม่รู้อะไรก็แล้วกัน" หยวนชิงหลิงกล่าว
"เข้าใจแล้ว!" เรื่องนี้เขาจะรู้ไม่ได้จริงๆ มิฉะนั้นเสด็จพ่อคงจะพิโรธมาก
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้กับเหล่าขุนนางกำลังปรึกษาหารือกันอยู่ด้านใน หยวนชิงหลิงก็มาถึงด้านนอกตำหนักและคุกเข่าลง ทำให้มู่หยูกงกงตกตะลึง
"ไอ้หยา พระชายาทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ? รีบลุกขึ้นมาเถิด!" มู่หยูกงกงรีบก้าวเข้ามาประคองนาง
หยวนชิงหลิงมีสีหน้าเจ็บปวด "ไม่ กงกง ให้ข้าคุกเข่าอยู่ตรงนี้เถิด ข้ามีความผิดใหญ่หลวงจึงได้มาขอรับโทษจากเสด็จพ่อ"
มู่หยูกงกงไม่กล้าให้นางคุกเข่าอยู่ตรงนี้จึงรีบไปรายงานจักรพรรดิหมิงหยวนตี้
เมื่อจักรพรรดิหมิงหยวนตี้ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว "ไล่นางกลับไปก่อน ไม่เห็นหรือว่าเจิ้นกำลังยุ่งอยู่?"
"ฝ่าบาท เกรงว่าคงจะเกลี้ยกล่อมให้นางกลับไปไม่ง่ายนักพ่ะย่ะค่ะ!" มู่หยูกงกงกล่าว
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ระงับโทสะไว้ในใจและลุกขึ้นยืน "ให้นางไปพบข้าที่ตำหนักข้าง"
เหล่าขุนนางมองหน้ากันไปมา พระชายาฉู่อ๋องคุกเข่าขอรับโทษอยู่ด้านนอก? ตำหนักข้างและห้องทรงพระอักษรห่างกันไม่มากนัก จักรพรรดิหมิงหยวนตี้เข้าไปด้านใน หยวนชิงหลิงก็ถูกพาตัวเข้าทางอีกประตูหนึ่ง
หยวนชิงหลิงคุกเข่าลง ยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ก็กล่าวเสียงเย็น "ลุกขึ้น เจิ้นรู้ว่าเจ้ามาทำไม รีบออกจากวังไปเดี๋ยวนี้"
หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาจะต้องมองออก แต่ว่าอย่างไรนางก็ต้องเล่นละครต่อ นางกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า "เสด็จพ่อ เหตุการณ์ที่ประตูเมืองหม่อมฉันยอมรับโทษทั้งหมดเพคะ"
"เกี่ยวอะไรกับเจ้า? เจ้าคิดจะก่อเรื่องอะไร?" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้หมดความอดทนแล้ว เจ้าห้าและลูกสะใภ้คนนี้นับวันก็ยิ่งจะไร้เหตุผล
หยวนชิงหลิงกล่าวเสียงดัง "มีเพคะ หม่อมฉันเป็นถึงพระชายาฉู่อ๋อง ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างเหลือล้น ได้รับความเคารพจากเหล่าประชาชน ตอนที่เกิดเหตุ แม้จะอยู่ที่นั่นด้วยแต่กลับไร้ความสามารถขัดขวางได้ทันเวลา ทำให้คนบาดเจ็บยิ่งแย่ลง สถานการณ์ตอนนั้นวุ่นวายมาก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหม่อมฉันไม่ได้ยับยั้งสถานการณ์ให้เร็วกว่านี้ ตอนนั้นหม่อมฉันก็อยู่ที่บนป้อมประตูเมือง เห็นว่าประชาชนที่มาเข้าแถวแสดงอาการไม่พอใจแล้วและคิดว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้ แต่ในใจก็คิดว่าอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นจึงไม่ได้สั่งให้คนแจ้งแก่กรมการพระนครได้ทันเวลา ตอนนี้ผู้คนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างกว้างขวางว่าพระชายาฉีอ๋องไร้คุณธรรม คิดจะใช้โจ๊กหนึ่งชามมาแลกชื่อเสียงอันดีงาม หม่อมฉันก็เป็นพระชายาเช่นกัน มีหรือจะไม่ใช่การกล่าวโทษหม่อมฉันด้วย? หม่อมฉันนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน ในใจยากที่จะสงบลงได้ ต้องเข้าวังมารับโทษจากเสด็จพ่อ เพื่อให้เหล่าประชาชนสงบลง เสด็จพ่อโปรดออกราชโองการลงโทษหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ"
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าคำพูดที่เหลิ่งจิ้งเหยียนสอนอวี่เหวินฮ่าวมานั้นไม่อาจลากฉู่หมิงฉุ่ยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยได้ แต่ในเมื่อนางต้องเป็นแพะรับบาป นางย่อมไม่ปล่อยฉู่หมิงฉุ่ยไปแน่ ต้องลากนางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยให้ได้ เช่นนี้จึงจะยุติธรรม จุดนี้นางได้รับการสั่งสอนจากไท่ซั่งหวง หากจะทำการใดก็ให้ทำจนถึงที่สุด
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้โมโหจนควันออกหู แต่ว่าครั้งนี้นางกล่าวคำพูดออกมาอย่างจริงใจ น้ำตาของนางคลอหน่วย ท่าทางราวกับมีโทษหนักเสียเต็มประดา ที่สำคัญก็คือเหล่าขุนนางที่อยู่ด้านนอกก็กำลังฟังอยู่ เขาจึงไม่อาจบันดาลโทสะได้
"ออกไป!" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้พูดได้เพียงแค่นี้ หลังจากนั้นเขาก็ลดเสียงลงแล้วกล่าวอย่างโมโห "เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะไม่กล้าลงโทษเจ้าจริงๆ เจ้าได้คืบจะเอาศอกครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องมีสักวันที่เจ้าจะต้องชดใช้ให้กับความเอาแต่ใจของเจ้า" จักรพรรดิหมิงหยวนตี้หน้าบึ้งสุดขีด แม้แต่มู่หยูกงกงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา
หยวนชิงหลิงก็กลัวมากเช่นกัน นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เอื้อมมือเข้าไปในแขนเสื้อ ควานหาของอยู่นานก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ในยามที่จักรพรรดิหมิงหยวนตี้กำลังจะบันดาลโทสะ ก็เห็นนางหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาอย่างสั่นๆ และยื่นมาให้เขาด้วยท่าทางตัวสั่นงันงกอย่างน่าสงสาร
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้เพียงรู้สึกว่าสมองของเขาระเบิดขึ้นมาในทันใด แม้กระทั่งหัวใจและปอดก็แทบจะระเบิดออกมาด้วยจนรู้สึกเจ็บแปลบ
"เสด็จพ่อ คนที่มีคุณธรรมนั้นหาง่าย แต่ผู้ที่ความจงรักภักดีนั้นหายาก หากขุนนางที่สร้างความชอบถูกลงโทษอย่างไม่ยุติธรรม จะเป็นการตัดขาของคนอีกมากเพียงใดที่ตั้งใจรับใช้ราชสำนัก?" หยวนชิงหลิงโขกศีรษะและกล่าวอย่างจริงใจและเก็บสีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อครู่ไว้อย่างมิดชิด ตอนนี้นางคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ไฟโกรธในใจของจักรพรรดิหมิงหยวนตี้ถูกระงับลงทันที เขาเหลือบมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ "ลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้ข้ามีความคิดของตนเอง"
หยวนชิงหลิงไม่ลุกขึ้น นางเงยหน้าขึ้นมองเขา "เสด็จพ่อในใจของหม่อมฉันเป็นราชาผู้ฉลาดเฉลียวทรงคุณธรรม"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้พูดอย่างไม่สบอารมณ์ "เจิ้นเพียงลงโทษหยวนเจี๋ยก็ไม่ฉลาดเฉลียวทรงคุณธรรมแล้วหรือ? เจ้ามันเห็นคนอื่นดีกว่า!"
เมื่อหยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาไม่ได้โกรธมากขนาดนั้นแล้วก็กล่าวอย่างจริงจัง "เสด็จพ่อไม่ได้ต้องการจะลงโทษหยวนเจี๋ยจริงๆ ถึงแม้จะเป็นการลงโทษเพียงชั่วคราวและต่อไปจะใช้งานเขาอย่างดี หม่อมฉันไม่ได้กังวลแทนหยวนเจี๋ย แต่หม่อมฉันกังวลว่าคนที่ทำผิด มีใจละเลยนั้นจะไม่เข้าใจและจะกระทำการล่วงเกินเช่นนั้นต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่เพียงทำร้ายประชาชนไม่กี่ร้อยคน แต่จะเป็นการทำให้ประชาชนสูญเสียความมั่นใจและความเชื่อใจที่มีต่อราชวงศ์ เสด็จพ่อ คนผู้นั้นกระทำผิดไม่ใช่เพียงครั้งแรก หากเสด็จพ่อหวังดีต่อฉีอ๋องก็ไม่ควรปล่อยนางไป"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้แค่นเสียงเย็นชา "เจ้ากลับไม่กลัวที่จะทำลายความปรองดองของเหล่าสะใภ้"
"พวกเราไม่เคยปรองดองเพคะ" หยวนชิงหลิงตอบอย่างฉะฉาน
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้กล่าวเสียงเย็น "เช่นนั้นไม่กลัวว่าคนนอกจะคิดว่าเจ้าอิจฉานางหรือ? หรือว่าโลภอยากได้ของของคนอื่น?"
หยวนชิงหลิงยิ้มยิงฟัน "ไม่กลัวเพคะ ผู้ที่มีสติปัญญาย่อมมองเรื่องทั้งหมดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ยังคงกล่าวต่อด้วยเสียงเย็น "เจ้าไม่กลัวว่าตระกูลฉู่จะมาล้างแค้นเจ้าหรือ?"
รอยยิ้มของหยวนชิงหลิงค่อยๆ หายไป เสียงของนางสั่น "กลัวเพคะ!"
เมื่อจักรพรรดิหมิงหยวนตี้เห็นสีหน้าเช่นนี้ของนางก็กล่าวอย่างพอใจว่า "เอาคทาหลวงของเจ้าไปแล้วออกไปเสีย!"
อวี่เหวินฮ่าวรอหยวนชิงหลิงอยู่ที่ประตูวังด้วยความกระวนกระวาย ไม่รู้ว่านางจะถูกต่อว่าหรือไม่? ไม่รู้ว่าจะถูกโบยหรือไม่? ร่างกายของนางต้องทนไม่ไหวแน่
ซวีอีเห็นเขาเดินไปเดินมาจึงเอ่ยว่า "ท่านอ๋อง มิสู้เข้าวังไปดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ? พระชายาปากจัดนัก ง่ายที่จะทำให้คนไม่พอใจ ประเดี๋ยวทำให้ฝ่าบาทโมโหเข้าต้องไม่ดีแน่"
"เงียบน่ะ คงจะไม่ถึงขั้นนั้น!" อวี่เหวินฮ่าวเอามือไพล่หลัง เหตุใดจึงยังไม่ออกมาอีกนะ หากถูกโบยก็น่าจะโบยเสร็จแล้ว เดินออกมาไม่ไหวก็น่าจะมีคนหามออกมาสิ?
ซวีอีเบ้ปาก "พูดยากพ่ะย่ะค่ะ หากพระชายาเกิดไม่รู้หนักเบา ไปแขวะใครกัดใครเข้า ทำให้ฝาบาททรงขุ่นเคืองพระทัย ถูกโบยก็ไม่เท่าไหร่ กลัวเสียแต่ว่า…"
MANGA DISCUSSION