เมื่อฝู่เฉิงเห็นดังนั้นก็รีบพูดกับหัวหน้ามือปราบว่า "เจ้าพาเขามาที่นี่ทำไม? เดี๋ยวท่านอ๋องก็ตกใจหรอก"
อวี่เหวินฮ่าวเหลือบมองคนบ้าผู้นั้นแวบหนึ่งก็เห็นว่าระดับการเสียสติของเขาไม่ได้ร้ายแรงนัก อย่างน้อยเขาก็ยังรู้ว่าต้องคุกเข่า
เสียงขาทั้งสองกระแทกพื้นเสียงสนั่น อวี่เหวินฮ่าวเกือบคิดว่าเข่าของเขาจะหักเสียแล้ว
คนบ้าผู้นั้นหมอบอยู่บนพื้นและทำความเคารพอย่างเต็มพิธี "ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง!"
อวี่เหวินฮ่าวรู้ได้ทันทีว่าหัวหน้ามือปราบต้องสอนเขามาก่อนแน่จึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตามองหัวหน้ามือปราบ หัวหน้ามือปราบจึงก้มหน้างุดและไม่กล้าพูดอะไร
อวี่เหวินฮ่าวมองไปที่คนบ้าผู้นั้น เขาพยายามทำตัวให้ใจดีและอ่อนโยนที่สุด "เจ้าชื่ออะไร?"
"ข้าชื่อเจ้าโง่!" คนบ้ายิ้มกว้างและมองตรงไปที่อวี่เหวินฮ่าว
อวี่เหวินฮ่าวพยักหน้าและเปิดม้วนหนังสือดูเล็กน้อยแล้วจึงถามว่า "เจ้ารู้จักคนบ้านหนิวจื่อหยางหรือไม่?"
เจ้าโง่พยักหน้า สองมือวาดเป็นวงกลมขนาดใหญ่และทำเสียงจิ๊จ๊ะ "รู้จัก ตายหมดแล้ว เลือดเยอะมาก"
"แล้ววันที่พวกเขาตายเจ้าเห็นอะไร?" อวี่เหวินฮ่าวถามอีกครั้ง
เจ้าโง่เอียงคอคิดเล็กน้อย "ข้าเห็น มีคนหนึ่งถือกระบี่ที่ย้าวยาวไปที่จวนของพวกเขา คนคนนั้นดุร้ายมาก ข้ามองเขาแวบเดียว เขาก็ถลึงตาใส่ข้า"
"เจ้าตามเขาไปหรือเปล่า?" อวี่เหวินฮ่าวถาม
เจ้าโง่ส่ายหัว "ข้าไม่กล้าตามไปหรอก กระบี่ของเขายาวจะตายไป"
"ยาวแค่ไหน?"
เจ้าโง่ทำท่าประกอบ สองมือของเขากางออกยาวประมาณหนึ่งจั้งเศษ "ยาวขนาดนี้แหละ"
หัวหน้ามือปราบกล่าวอย่างโมโห "อย่าพูดเหลวไหล กระบี่ยาวอย่างนี้มีที่ไหนกัน?"
"จริงๆ นะ!" เจ้าโง่ร้อนรน เขาอธิบายกับหัวหน้ามือปราบต่อ ตื่นเต้นจนน้ำลายกระเซ็น "ยาวขนาดนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียวที่เห็นเสียหน่อย เจ้าตูบก็เห็นเหมือนกัน"
ดวงตาของอวี่เหวินฮ่าวเป็นประกายวาววับ "เจ้าตูบคือใคร? เขาอยู่ที่ไหน?"
"เจ้าตูบก็คือหมาของบ้านหลี่ฟู่กุ้ยไง" เจ้าโง่ตอบ
อวี่เหวินฮ่าวกระตุกมุมปากเล็กน้อย "เป็นสุนัขนี่เอง…"
"แต่เจ้าตูบเห็นแล้วว่าเขามีดาบยาวขนาดนั้น เจ้าตูบก็ไล่ตามเขาไป" เจ้าโง่ทำท่าทางประกอบอีกครั้ง
"แล้วเจ้าเห็นอะไรอีก? เจ้าเห็นเขาไปหรือเปล่า?" ฝู่เฉิงถาม
เจ้าโง่ส่ายหัว "ไม่เห็นแล้ว ข้าเห็นแค่เงา แวบหนึ่งก็หายไปแล้ว"
ฝู่เฉิงนิ่งไป เขามองอวี่เหวินฮ่าวและพูดว่า "ท่านอ๋อง ดูเหมือนว่าถามไปก็คงจะไม่ได้อะไรอีก ตอนนั้นเป็นยามโพล้เพล้ หลายคนกลับบ้านทำอาหารและไม่มีใครเดินอยู่บนถนนในหมู่บ้าน คนร้ายผู้นี้แม้จะเป็นคนนอกก็สามารถที่จะไม่ถูกพบได้"
อวี่เหวินฮ่าวยกมือขึ้น "เจ้าให้เขาอยู่ที่กรมการปริมณฑลก่อนสักสองสามวันเถอะ พาเขาไปอาบน้ำ เอาเสื้อผ้าให้เขาหน่อย"
จนถึงบัดนี้เจ้าโง่นับว่าเป็นพยานเพียงคนเดียว แม้ตอนนี้ไม่อาจรู้อะไรจากปากของเขาได้ แต่ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าหากค่อยชักนำเขาไปแล้วไม่แน่ว่าเขาอาจจะนึกอะไรออกอีกก็เป็นได้ เขาบอกว่าเจ้าตูบไล่ตามไป หากเจ้าตูบเป็นมนุษย์ก็คงจะดีไม่น้อย
เมื่ออวี่เหวินฮ่าวกลับมาที่จวนก็เป็นเวลาใกล้จะสิ้นยามโหย่ว*แล้ว (*เวลา 17.00 – 19.00 น.)
ท้องฟ้าเพิ่งครึ้มและมีลมพัด
อากาศในต้นฤดูใบไม้ร่วงจะร้อนในตอนกลางวัน แต่เมื่อตกกลางคืนจะรู้สึกหนาว
เขาไม่ต้องการรบกวนหยวนชิงหลิงเกี่ยวกับเรื่องของกรมการปริมณฑล ดังนั้นเมื่อนางถามถึงเรื่องคดี เขาจึงตอบไปว่าได้เรื่องแล้ว
แต่หยวนชิงหลิงจะไม่เห็นว่าเขาขมวดคิ้วและแสร้งทำเป็นผ่อนคลายได้อย่างไร?คดีสังหารล้างตระกูล อีกทั้งยังเป็นสองคดีติดต่อกัน ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเข้าประชุมขุนนาง ดังนั้นอวี่เหวินฮ่าวจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ
เขานอนตะแคงกอดหยวนชิงหลิงไว้หลวมๆ ในสมองยังคงคิดถึงเรื่องคดี
เขาแน่ใจว่าพรุ่งนี้เช้าในการประชุมขุนนางต้องมีการพูดถึงคดีนี้แน่
คดีทั้งสอง ผู้ตายล้วนเป็นคนธรรมดา ไม่มีปูมหลังที่โดดเด่นอะไรและไม่มีความแค้นกับใคร เป็นตระกูลธรรมดาจนไม่อาจธรรมดากว่านี้ได้อีก หากจะบอกว่าการฆ่าล้างคนในตระกูลหนึ่งโดยที่ไม่ทันได้รบกวนเพื่อนบ้านก็คงต้องใช้อันรวดเร็วทำให้พวกเขาหมดลมหายใจหรือส่งเสียงออกมาไม่ได้ แต่ผลการชันสูตรศพกลับพบว่าถูกของมีคมที่ทื่อฟันและทุกศพยังมีมากกว่าหนึ่งแผล อย่างไรบาดแผลไม่ได้เกิดจากอาวุธที่คมแน่ กล่าวก็คือตั้งแต่มีดแรกแทงลงไปจนก่อนจะหมดลมหายใจก็มีเวลาพอที่จะส่งเสียงได้แต่ก็ไม่มี ถ้าเพื่อนบ้านอยู่ไกลก็ว่าไปอย่าง แต่บ้านในหมู่บ้านก็อยู่ติดกันเพื่อมิให้เสียที่ดินให้ผู้อื่นไปแม้เพียงนิ้วเดียว นอกจากนี้บ้านที่เกิดเหตุก็ไม่ใหญ่นัก มีเพียงแค่กำแพงกั้น ไม่มีเสียงร้องเลย ช่างประหลาดนัก
เจ้าโง่บอกว่าอีกฝ่ายใช้กระบี่ แต่ผู้ตายในทั้งสองบ้านกลับไม่เสียชีวิตด้วยบาดแผลจากดาบ ดูเหมือนว่าคำพูดของเจ้าโง่จะไม่มีประโยชน์จริงๆ และเขาก็ถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว
มือของหยวนชิงหลิงลูบขึ้นไปที่คอของเขาและจากนั้นทำให้คิ้วที่ขมวดของเขาคลายลงและถามอย่างง่วงงุน "ท่านถอนหายใจหรือ? เป็นอะไรหรือเปล่า?"
อวี่เหวินฮ่าวรีบกอดนาง "ไม่เป็นไร แค่หวังว่าเจ้าจะหายดีในเร็ววัน"
"โกหก!" เสียงของหยวนชิงหลิงแหบแห้งด้วยความงัวเงีย นางขยับร่างกายเล็กน้อยและพาดขาก่ายเขา หาตำแหน่งที่สบายและไม่กดทับบาดแผล "ท่านมีเรื่องในใจ เรื่องคดีใช่ไหม?"
อวี่เหวินฮ่าวเอื้อมมือออกไปขยับขาที่บาดเจ็บของนางอย่างระมัดระวังดีขึ้น "ทำไมเจ้าถึงได้ฉลาดนัก? ในใจข้าคิดอะไรเจ้าก็รู้ไปเสียหมด"
"ใช่แล้ว ท่านไม่สามารถซ่อนมันจากข้าได้" หยวนชิงหลิงลืมตามองดูเขาอย่างกังวล "บอกข้ามาเถอะ บางทีข้าอาจจะช่วยได้"
อวี่เหวินฮ่าวแตะที่ริมฝีปากของนางและกล่าวว่า "ทั้งสองคดีไม่มีเบาะแสเหลืออยู่เลย คนร้ายใช้อาวุธอะไรก็ไม่รู้ มันเหมือนกับเอาขวานมาฟันคนอย่างไม่ตั้งใจ"
"เป็นฝีมือของคนบ้าหรือเปล่า?" หยวนชิงหลิงถาม
"เหมือนเสียสติทำก็จริง แต่ว่าไม่ใช่หรอก เพราะไม่มีเบาะแสอะไรเหลืออยู่เลยทั้งอาวุธสังหารและพยาน… ช่างเถอะ อย่าว่าแต่ผู้เห็นเหตุการณ์เลย คนสติไม่สมบูรณ์คงวางแผนไม่ได้แยบยลเช่นนี้หรอก"
หยวนชิงหลิงรู้สึกแปลกมาก "บ้านเรือนอยู่ห่างไกลกันไหม? หากบอกว่าฆ่าทุกคนในบ้านก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ส่งเสียงออกมา"
"นี่ก็คือจุดที่ประหลาดมาก บ้านเรือนก็อยู่ใกล้กันนิดเดียว เวลาที่ใช้สังหารก็ไม่สั้น เหยื่อกลับไม่มีเสียงอะไรเลย"
"เว้นแต่จะวางยาสลบไว้ก่อนแล้ว" หยวนชิงหลิงกล่าว
อวี่เหวินฮ่าวส่ายหัว "ไม่หรอก เพราะในทั้งสองคดีมีเพียงเด็กทารกที่ไม่ตาย ทารกเหล่านี้ตื่นอยู่และไม่ได้หายใจเอายาสลบเข้าไปเลย"
"งั้นก็แปลกมาก" หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "หรือว่าคนร้ายโจมตีถึงชีวิตในครั้งเดียว? แต่ต่อให้คนจำนวนมากถูกสังหารด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าคนเพียงไม่กี่คนในเวลาอันรวดเร็ว"
"ผู้ตายมีบาดแผลบนร่างกายมากมายจึงไม่ใช่การโจมตีเพียงครั้งเดียวจะถึงชีวิต" อวี่เหวินฮ่าวไม่อยากคุยกับนางเกี่ยวกับเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ในยามดึก เขาเอื้อมมือออกไปแล้วปิดตาของนางเบาๆ "เอาล่ะ ไม่พูดแล้ว รีบนอนเถอะ"
"อืม" หยวนชิงหลิงหลับตาลงช้าๆ แต่จู่ๆ ก็ถามขึ้นอีกว่า "เช่นนั้นท่านไปดูศพมาหรือยัง?"
"ข้าไม่ได้ดู แต่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพและสัปเหร่อสรุปมาเหมือนกัน"
หยวนชิงหลิงไม่รู้เรื่องการสืบคดี เมื่อเห็นว่านางช่วยอะไรไม่ได้จึงไม่ถามต่ออีก จะได้ไม่ทำให้เขานอนไม่หลับ
บุรุษที่ไปเข้าประชุมขุนนางนั้นกล้าหาญที่สุด ไม่ว่าผ้าห่มจะอุ่นแค่ไหน ผู้หญิงบนเตียงจะนุ่มนิ่มเพียงใด พวกเขาก็ต้องลุกขึ้นมาเตรียมตัวตั้งแต่เช้าตรู่
เมื่อคืนอวี่เหวินฮ่าวได้สั่งให้คนไปเอาเสื้อผ้ามาไว้ที่ห้องด้านข้างเรียบร้อยแล้ว เมื่อเขาตื่นนอนก็ตรงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างปาก ล้างหน้าที่ห้องด้านข้างเพื่อไม่ให้หยวนชิงหลิงตื่น
เพราะหยวนชิงหลิงกินยาจึงได้หลับลึกจนไม่รู้ตัวว่าอวี่เหวินฮ่าวลุกขึ้นและออกไปเมื่อไหร่
ก่อนอวี่เหวินฮ่าวจะออกไป เขาได้สั่งฉีโหลวไว้ว่า "เจ้าให้ห้องครัวตุ๋นรังนกไว้ก่อน พอพระชายาตื่นขึ้นจะได้กินได้เลย จำไว้ว่านมแพะสำหรับตุ๋นรังนกจะต้องสดใหม่ นางไม่ชอบของหวานนัก ดังนั้นใส่น้ำตาลให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้"
ฉีโหลวยิ้มบางๆ "เข้าใจแล้วเพคะ ท่านอ๋องช่างละเอียดรอบคอบยิ่งนัก"
ทำไมก่อนหน้านี้นางถึงไม่รู้มาก่อนว่าท่านอ๋องเป็นผู้ที่ละเอียดเช่นนี้? อวี่เหวินฮ่าวเลิกคิ้ว ไม่ละเอียดคงไม่ได้ นางดูเหมือนจะรอบรู้ไปเสียทุกอย่าง แต่ที่จริงแล้วนางเลินเล่อมาก หากเขาไม่จำให้มากหน่อย นางก็คงไม่รู้ตัวแน่ หลังจากผ่านความเจ็บปวดที่เกือบจะเสียหยวนชิงหลิงไปแล้ว อวี่เหวินฮ่าวจึงรู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่าทะนุถนอม
MANGA DISCUSSION