ที่ประชุมขุนนางมีขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ยืนเข้าแถวแยกกัน
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์มังกรและนั่งลงอย่างช้าๆ ด้านล่างมีเสียงทรงพระเจริญดังขึ้นสามครั้ง เขาเหลือบมองลงไปอย่างน่าเกรงขาม "ลุกขึ้นเถอะ มีเรื่องอะไรก็ว่ามา!"
ฉู่โสวฝู่ก้าวออกมาก่อนแล้วพูดว่า "ฝ่าบาท เรื่องสองคดีฆ่าล้างตระกูลในเมืองหลวงได้กลายเป็นเรื่องที่เหล่าประชาชนได้นำมาวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว หนึ่งวันที่หาตัวคนร้ายมาลงโทษไม่ได้ ประชาชนก็ไม่อาจวางใจ เมื่อเวลายิ่งผ่านไปนานเข้าจิตใจของผู้คนก็จะยิ่งระส่ำระสาย!"
เมื่อโสวฝู่กล่าวจบแล้วก็มีกลุ่มคนกล่าวเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
หัวใจของอวี่เหวินฮ่าวหนักอึ้งเล็กน้อย ว่าแล้วว่าต้องพูดถึงคดีนี้
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้หันมามองอวี่เหวินฮ่าว "คดีมีความคืบหน้าอย่างไรบ้างแล้ว?"
หากบอกว่าคืบหน้าไปเล็กน้อยก็ยังพอจะสามารถกลบเกลื่อนไปได้ แต่ความจริงแล้วมันกลับไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นอวี่เหวินฮ่าวจึงได้แต่เพียงส่ายหัวแล้วพูดว่า "กราบทูลฝ่าบาท ตอนนี้คดียังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ไม่มีอาวุธ พยาน หรือเบาะแสใดๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ"
บนใบหน้าของจักรพรรดิหมิงหยวนตี้เขียนคำว่าไม่สบอารมณ์ไว้ เจ้าลูกโง่ ทำไมถึงได้ซื่อสัตย์เช่นนี้นะ?
ฉู่โสวฝู่กล่าวว่า "ท่านอ๋องเพิ่งเข้าดูแลกรมการพระนคร เกรงว่าคงจะยังไม่คุ้นเคยกับการทำคดีนัก ไม่สู้ส่งต่อคดีนี้ไปยังกรมอาญาโดยตรง? ให้กรมอาญาคลี่คลายโดยเร็วที่สุดและทำให้ประชาชนได้คลายความตื่นตระหนก"
หากคดีถูกโอนย้ายไปที่กรมอาญาก็จะเป็นการตบหน้าอวี่เหวินฮ่าวและบอกว่าเขาไร้ความสามารถ ไร้ประโยชน์! ยิ่งไปกว่านั้นยังตบหน้าจักรพรรดิหมิงหยวนตี้อีกด้วย เพราะนี่เป็นเจ้ากรมการพระนครที่เขาแต่งตั้งขึ้นมาเอง
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้จึงยิ่งไม่พอใจ แต่เขามักจะเกรงใจโสวฝู่อยู่เสมอ "ไม่ต้องร้อนรนไป ในเมื่อฉู่อ๋องไม่คุ้นเคย เช่นนั้นก็ให้เวลาเขาทำความคุ้นเคยเสีย คดีนี้เหมาะให้เขาพิสูจน์ความสามารถของตนเองได้พอดี"
เขามองอวี่เหวินฮ่าว "เจิ้นและโสวฝู่มีความคาดหวังต่อเจ้า เจ้าอย่าได้ทำให้เจิ้นและโสวฝู่ผิดหวัง"
อวี่เหวินฮ่าวจึงตอบว่า "กระหม่อมจะพยายามคลี่คลายคดีให้ได้พ่ะย่ะค่ะ"
"โดยเร็วที่สุด!" ฉู่โสวฝู่หันไปมองอวี่เหวินฮ่าว "ท่านอ๋อง คดีนี้มีผลกระทบใหญ่หลวงนัก หากฆาตกรไม่ถูกจับในเร็ววัน เกรงว่าเขาจะลงมืออีกครั้ง ท่านอ๋องคิดว่าจะคลี่คลายคดีนี้ได้ในกี่วันหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
กี่วันงั้นหรือ?อวี่เหวินฮ่าวยิ้มเยาะในใจ สองสามเดือนก็อาจจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
"สามวัน?" ฉู่โสวฝู่ถามขึ้นอีกครั้ง
จี้อ๋องจึงเดินก้าวออกมาและกล่าวว่า "เสด็จพ่อ ใต้เท้าฉู่ คดีนี้ซับซ้อนเกินไป เกรงว่าสามวันห้าวันคงไม่อาจตรวจสอบให้ชัดเจนได้ ไม่สู้ให้เวลาน้องห้าสิบวันดีหรือไม่?"
เจ้ากรมอาญากล่าวว่า "หากล่าช้าไปอีกสิบวัน เกรงว่าฆาตกรคงจะมีการลงมืออีก ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าเจ็ดวันเหมาะสมที่สุด หากกรมการพระนครต้องการ กรมอาญาพร้อมจะให้ความร่วมมือเสมอพ่ะย่ะค่ะ"
อวี่เหวินฮ่าวฟังพวกเขาเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยและแอบคิดคำนวณในใจ ตอนนี้ไม่มีเบาะแสใดๆ เลย ไม่ต้องบอกว่าสิบวัน ถึงจะเพิ่มมาอีกสิบวันก็เหมือนเดิม แต่เมื่อพูดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็จำต้องตกปากรับคำ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงประสานมือคารวะแล้วจึงพูดว่า "ฝ่าบาท เช่นนั้นก็เจ็ดวันเถอะพ่ะย่ะค่ะ!"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้พยักหน้า "เช่นนั้นก็ดี ภายในเจ็ดวัน เจ้าจะต้องไขคดีนี้ให้ได้"
จักรพรรดิหมิงหยวนตี้ไม่ได้บอกว่าหากทำไม่ได้จะริบตำแหน่งคืนจากเขาหรือไม่ แต่ว่าก็ไม่จำเป็นต้องบอก หากฉู่อ๋องไม่สามารถคลี่คลายคดีลงได้ เขาจะต้องสูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนและหมู่ขุนนางแน่
เขาเหลือบมองจี้อ๋องเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูสมใจ
ที่ฉู่โสวฝู่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ในวันนี้นั้นเขาไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย เขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับงานราชการ คดีนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน ฉู่โสวฝู่เสนอให้ปิดคดีโดยเร็วที่สุดก็เป็นสิ่งที่เขาคาดไว้แล้ว
แต่เบาะแสในตอนนี้มีแค่คนบ้าคนหนึ่งและสุนัขตัวหนึ่ง บนตัวของพวกเขาจะหาเบาะแสสำคัญมาไขคดีได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้
หลังจากออกมาจากท้องพระโรงแล้ว อวี่เหวินฮ่าวกลับไปที่จวนก่อน แต่กลับพบว่าหยวนชิงหลิงได้สั่งให้คนพานางไปที่จวนของหวายอ๋อง เขาส่ายหัวเล็กน้อย ว่าแล้วเชียวว่านางไม่สามารถนอนนิ่งๆ ได้เลย
เมื่อกลับมาที่กรมการปริมณฑล เขาก็ได้ประกาศราชโองการว่าจะต้องคลี่คลายคดีให้ได้ภายในเจ็ดวัน คนที่นั่นต่างก็ตระหนกตกใจ
อวี่เหวินฮ่าวตบโต๊ะและพูดอย่างโกรธเคือง "ยังไม่รีบไปหาเบาะแสอีก? ไปหาชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ แล้วถามเสีย หรือไม่เช่นนั้นก็ไปดูรอบๆ ว่ามีอาวุธสังหารหรือไม่?"
ท่านอ๋องบันดาลโทสะแล้วจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เหล่าคนในกรมการปริมณฑลต่างก็ยุ่งกันเป็นพัลวัน วันต่อๆ มา อวี่เหวินฮ่าวออกจากบ้านแต่เช้าและกลับดึกทุกวัน
ตอนที่หยวนชิงหลิงยังไม่ตื่นเขาก็ออกไปแล้ว เมื่อหยวนชิงหลิงหลับลงแล้วเขาจึงจะกลับมา นางรู้ว่าเขากำลังยุ่งกับคดีและนางไม่อาจช่วยอะไรเขาได้ ดังนั้นนางจึงไม่คิดสร้างปัญหาให้เขาเพิ่มอีก อาการบาดเจ็บของนางค่อยๆ ฟื้นตัว นางสามารถลงมาเดินได้แล้ว แต่ยังคงเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก
นางยังหาเวลากลับไปที่จวนจิ้งโหวด้วย นางแอบกลับไปอย่างลับๆ โดยไม่เอิกเกริก เพียงแค่กลับไปเยี่ยมฮูหยินใหญ่และจ่ายยาให้นางเท่านั้น ไม่มีใครทันได้รบกวน นางก็จากไปแล้ว
จวนของหวายอ๋องก็สงบสุขเช่นกัน ก่อนหน้านี้พระสนมหลู่ทำการตรวจสอบไปครั้งใหญ่ก็พบว่ามีเรื่องน่าตกใจ ในจวนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คนที่น่าสงสัยนางก็กำจัดออกไปหมดแล้ว
อวี่เหวินหลิงกลับวังไปแล้ว เมื่อกลับไปแล้วก็ไม่ง่ายนักที่จะออกจากวังมาอีก เพราะอย่างไรนางก็ยังไม่ได้แต่งงาน
องค์หญิงลั่วผิงมาในวันรุ่งขึ้น นางคุ้นเคยกับหยวนชิงหลิงแล้ว เรื่องบาดหมางก่อนหน้านี้ก็ไม่มีแล้ว
หลังจากตรวจร่างกายหวายอ๋องแล้ว นางนั่งสนทนากับองค์หญิงลั่วผิงและพระสนมหลู่อยู่ในห้องโถงรับรอง
องค์หญิงลั่วผิงถามนางด้วยความเป็นห่วง "จริงสิ คดีได้เรื่องหรือยัง? วันนี้ก็เป็นวันที่ห้าแล้ว"
"วันที่ห้าอะไรหรือ?" หยวนชิงถามด้วยความงุนงง
องค์หญิงลั่วผิงถามด้วยความประหลาดใจ "เจ้าไม่รู้หรือ? เสด็จพ่อกำหนดให้น้องห้าไขคดีให้ได้ภายในเจ็ดวัน วันนี้เป็นวันที่ห้าแล้ว"
"ข้าไม่รู้ เขาไม่ได้บอกข้า" หยวนชิงหลิงวางแก้วลง "ช่วงนี้เขายุ่งมาก แม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่ได้คุยจริงจังมาหลายวันแล้ว"
"เจ็ดวันไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นคดีสังหารล้างตระกูล จะง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร? ฉู่โสวฝู่และพี่ใหญ่จงใจทำให้น้องห้าต้องลำบาก" ราชบุตรเขยผู้เป็นสวามีขององค์หญิงลั่วผิงเป็นรองเจ้ากรมอาญา นางจึงรู้เรื่องนี้มานานแล้ว
หยวนชิงหลิงถามว่า "เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจี้อ๋องอย่างไรหรือ? ไม่ใช่คำสั่งของเสด็จพ่อหรือ?"
องค์หญิงลั่วผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วลดเสียงลง "ฉู่โสวฝู่สนใจคดีนี้เป็นอย่างมาก ตอนประชุมขุนนางเขาก็ได้บอกว่าให้น้องห้าไขคดีให้ได้ภายในสามวัน แต่คำพูดของฉู่โสวฝู่นั้น ทุกคนต่างก็รู้ว่าเป็นแค่การกดดัน แต่พี่ใหญ่กลับทำทีเป็นขอร้องแทนเขาว่าขอเวลาเจ็ดวันด้วยท่าทางจริงจัง เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้แล้ว เสด็จพ่อยังจะพูดอะไรได้อีกเล่า?"
หยวนชิงหลิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ "ทำไมคนผู้นี้จึงได้น่ารำคาญเช่นนี้?"
องค์หญิงลั่วผิงยิ้มอย่างขมขื่น "หากเพียงน่ารำคาญก็คงไม่เป็นไร แต่เกรงว่าจะยังมีเจตนาอื่นๆ อยู่ด้วย เอาเถอะ ข้าไม่พูดแล้ว อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สตรีอย่างเราจะเอามาพูดกันได้"
หยวนชิงหลิงรู้ดีว่าหลักการขององค์หญิงลั่วผิงคือการทำแต่เรื่องที่ควรทำเท่านั้น มีเรื่องน้อยลงก็ดีกว่ามีเรื่องมากขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่ทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจหรือมีอคติ ปกตินางจะไม่พูดออกมาแน่ แต่วันนี้นางพูดออกสองสามคำซึ่งหมายความว่านางทนจี้อ๋องไม่ไหวแล้วจริงๆ
พระสนมหลู่ไม่สนใจในคดีนี้ แต่สนใจเรื่องในจวนของจี้อ๋องเป็นอย่างมาก
นางกุมถ้วยชาและพูดว่า "พระชายาจี้อ๋องล้มป่วยลง พวกเจ้ารู้หรือไม่? ได้ยินมาว่าเมื่อคืนคนจากจวนจี้อ๋องไปเชิญหมอหลวงจากในวังโดยไม่ได้หยุดหย่อนเลย"
องค์หญิงลั่วผิงกล่าวว่า "ได้ยินมาแล้วเพคะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร"
พระสนมหลู่กล่าวเสียงเย็น "เข้าวังไปเชิญหมอหลวงทั้งคืน เกรงว่าจะไม่ใช้โรคธรรมดา"
หยวนชิงหลิงเกลียดชังคู่สามีภรรยาจี้อ๋องนัก ดังนั้น ณ เวลานี้นางจึงไม่ได้พูดออกมาให้ฐานะแพทย์ "เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าก็ไม่สนใจหรอก!"
พระสนมหลู่มองดูนาง "หากนางขอให้เจ้ารักษาให้ เจ้าจะรักษาให้นางไหม?"
หยวนชิงหลิงยิ้ม "นางจะไม่ขอร้องข้าหรอก"
"ไม่แน่หรอก คนผู้นี้ไม่มียางอาย" พระสนมหลู่กล่าว
องค์หญิงลั่วผิงยังมองนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น "ถ้าถูกขอร้องจริงๆ ล่ะ?"
หยวนชิงหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ในใจข้าคงไม่ยินดีแน่"
จี้อ๋องเคยลงมือกับอวี่เหวินฮ่าว การลอบสังหารครั้งนั้นเกือบทำให้เขาถึงแก่ชีวิต พระชายาจี้อ๋องไม่ใช่คนบริสุทธิ์ นางโหดร้ายกว่าจี้อ๋องเสียอีก มิฉะนั้นนางคงจะไม่จงใจเกลี้ยกล่อมให้หวายอ๋องหลงกลละทิ้งการรักษา หากไม่มีคนคู่นี้คอยก่อกวน ชีวิตนางคงจะดีขึ้นมาก
MANGA DISCUSSION