ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 99 คืนมาให้ข้าภายในสามวัน
ลูซือหยวนก้มมองลงขาตัวเอง จากที่จะพูดอะไรต่อนั้นก็กลืนลงคอ
เจ้าไม่ควรได้รับความลำบากอย่างนี้
“เมื่อสักครู่ที่ข้าคุยกับหลี่จิ้งหว่านเจ้าคงได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย”ซูหนานอีเอ่ยถาม
ลูซือหยวนพยักหน้า “เจ้าคิดจะส่งนางไปอยู่ที่ร้านทางตะวันตกเฉียงเหนือ เดินทางไปชายแดนพร้อมกับกลุ่มพวกพ่อค้าอย่างนี้นั้นหรือ ”
ซูหนานอีขมวดคิ้วเล็กน้อย “เห็นแก่ที่เจ้ากับข้ามีสัญญาต่อกัน ใช่ เจ้าพูดถูกแล้ว ”
“เมื่อก่อนเจ้าเคยบอกว่า ทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่ปลอดภัย แต่ในเมืองหลวงนั้นยิ่งอันตราย ” ลู่ซือหยวนเม้มริมฝีปาก “เจ้าช่างมองการณ์ไกลเสียจริงๆ”
ซูหนานอีมองตัวเองแล้วหัวเราะ “เจ้าไม่ต้อง……เข้ามายุ่งเรื่องนี้ กลับไปที่หุบเขาหมอเทวดา ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ดีกว่าหรือ”
สายตาของซูหนานอีพลันหันไปทางหยุนจิ่ง “ดีสิ แต่ตอนนี้ข้ามีเรื่องที่ยังเป็นห่วงอยู่ และยังมีความแค้นที่ต้องชำระ เรื่องพวกนี้จะต้องทำให้เสร็จก่อนทีละเรื่อง”
หยุนจิ่งที่รู้สึกได้ถึงสายตาที่นางมองมา ก็หันกลับไปมองนาง แล้วเดินเข้าไปจับมือนาง
ซูหนานอียกยิ้มขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความสุข
ลู่ซือหยวนก็หลับตาลงราวกับแสงดวงดาวท่านกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลที่มีมอดดับลง
ต่อมาก็ไม่มีพูดอะไรอีก ได้แต่นั่งอยู่เงียบๆ แสงดวงอาทิตย์สาดจ้าลงมา ผ่านช่องใบไม้ที่อยู่บนต้นลงมาแต่กลับทำให้รู้สึกอบอุ่น แสงเงาที่แกว่งไปมา ทำให้คนตาลาย
เสียงใบไม้เสียดสีจนเกิดเสียงซือๆ เมฆที่ลอยอยู่เหนือเส้นขอบฟ้าอย่างเงียบๆ เปลี่ยนรูปไปมาแล้วแต่จินตนาการ ซูหนานอีลูบแก้มตัวเอง หรี่ตามอง ทันใดนั้นก็เดินความรู้สึกนึกถึงช่วงเวลาที่สงบ
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาเบา ๆทำลายความเงียบ เห็นเป็นเงาที่เคลื่อนไหวลงมาอย่างรวดเร็ว หยุนจิ่งกระโดดขึ้นมา ส่งเสียงเรียกพร้อมกับยิ้ม “เสี่ยวเฮย!”
เงาสีดำที่ลอยวนไปมาอยู่ในห้อง ท่าทางเหมือนกำลังลังเล แต่ในที่สุดก็บินไปเกาะที่ไหล่ของซูหนานอี
จากนั้นซูหนานอีก็ปลดเอาแท่งไม้ไผ่เล็กๆที่ขาของมันออก จากนั้นเสี่ยวเฮยก็บินไปหาหยุนจิ่งทันที และซูหนานอีได้กลิ่นแปลกจากตัวของมัน
“……”
“เสี่ยวเฮย!” หยุนจิ่งแบบมือออก นกพิราบส่งสารนี้ก็ไปเกาะอยู่บนฝ่ามือของเขา หัวของมันก็ถูไปมาที่นิ้วมือของเขา
หยุนจิ่งลูบหัวมันไปมาอย่างดีใจ จากนั้นก็นำเอาเมล็ดพืชจากในถุงออกมาให้มัน
ซูหนานอีกางจดหมายออก ในจดหมายมีใจความสั้น ๆไม่กี่บรรทัด แต่สีหน้าของนางถึงกับเปลี่ยนไปทันที
“เป็นอะไรหรือ” ลู่ซือหยวนเอ่ยถาม
ซูหนานอีส่งจดหมายให้กับเขา ลู่ซือหยวนก้มหน้าอ่าน “มีคนสืบเรื่องหุบเขาหมอเทวดาอย่างนั้นหรือ”
“อืม เซี่ยหร่านบอกอย่างนั้น น่าจะไม่ผิด” ซูหนานอีมองออกไปดูก้อนเมฆที่ลอยเคลื่อนตัวอยู่บนฟ้า “ดูแล้ว วิธีแหวกหญ้าให้งูตื่นของข้าจะได้ผล”
“ยังไง”
“เซี่ยหร่านบอกกับข้าว่า จุดนัดพบของหุบเขาหมอเทวดาในเมืองซินเยว่นั้นปล่อยทิ้งล้างไว้ตั้งแต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับข้าแล้ว แต่เพราะว่ามีหนอนบ่อนไส้ พวกเขาไม่ได้รับจดหมายอนุญาตเลยไม่รู้ว่าควรจะอยู่ต่อหรือควรถอยไปก่อน จนได้ออกมาหลบถึงนอกเมืองซ่อนตัวอยู่บนเขา ข้าไปที่นั่นแล้ว และก็ได้เจอกับคนรับผิดชอบแล้ว”
“ห๊ะ เป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่ใช่แค่คนรับผิดชอบเท่านั้น ยังมีคนแซ่หลิวนั่นอีก” ซูหนานอีที่ทั้งนึกและทั้งพูดออกมา “ใช่แล้ว
ลู่ซือหยวนคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ยออกมา : “หลิวว่านเพ่ย เป็นคนหูโจว ปีนี้อายุ41ปี เมื่อแปดปีก่อนเคยช่วยคนจมน้ำตายในแม่น้ำ เพราะว่าวิธีการช่วยคนของเขาทำให้เป็นที่สนใจ หลังจากนั้นใช้เวลาสองปีในการค้นคว้า และได้เข้าไปในหุบเขาหมอเทวดา คนผู้นี้มีความฉลาดหลักแหลมแต่เพราะว่าความฉลาดมีไหวพริบนี้ เจ้าเลยไม่ยอมยกตำแหน่งสำคัญภายในสำนักให้กับเขา”
“เมื่อสามปีก่อน กู้ซีเฉินถูกอ๋องเว่ยวางยาพิษ เกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนั้นเจ้าออกไปข้างนอกเพื่อไปหาสมุนไพรกลับมาไม่ทันเวลา คนที่ถูกสั่งให้ไปรักษากู้ซีเฉินก็คือ หลิวว่านเพ่ย”
ซูหนานอีแอบสูดหายใจ นางลืมเรื่องราวไปมากมายจริงๆ
ลู่ซือหยวนหัวเราะเบาๆ แววตาเต็มไปด้วยล้อเล่น “ใจเจ้าไม่ได้จดจ่อเรื่องนี้ และก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าจำแทนเจ้าก็ได้”
เขาพูดขึ้นมา “หลิวว่านเพ่ยผู้นี้ พบกับกู้ซีเฉินเพียงไม่กี่ครั้ง หลังจากที่เขาถูกวางยาพิษครั้งนั้น เพียงไม่นานเจ้าก็กลับมาแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เจอกันอีก ถ้าหาก……”
“อาจจะแอบติดต่อกันอย่างลับ ๆมาโดยตลอดก็เป็นได้ หรือบางทีอาจจะถูกกู้ซีเฉินเรียกใช้กะทันหันก็เป็นไปได้” ซูหนานอีเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนน่าสงสัยมากที่สุด”
“อืม” ลู่ซือหยวนพยักหน้า “แต่แค่จำได้ว่าหลิวว่านเพ่ยผู้นี้เหมือนจะรู้จักวิชาต่อสู้มาบ้าง แต่ฝีมือก็ไม่เก่งกาจอะไร”
ซูหนานอีหรี่ตาลง แววตาสั่นเทาเล็กน้อย “เป็นเขาหรือไม่ ลองดูเดี๋ยวก็รู้เอง”
เวลาผ่านไปไม่นานเซี่ยหร่านก็กลับมา พอเขาเข้ามาเห็นหยุนจิ่งเล่นกับนกพิราบของเขา ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ข้าบอกแล้ว นี่ไม่ใช่นกทั่วไป ส่งสารเสร็จแล้วก็ปล่อยมันกลับไป เจ้าเอาแต่เล่นกับมันไม่ปล่อยมันกลับไป ทำอย่างนี้ได้อย่างไร”
หยุนจิ่งที่ถูกเขาว่าก็แบมือออกแล้วเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้: “เจ้าดูดีๆ สิ ข้ากักมันไว้ที่ไหนกัน ข้ากักมันไว้รึยัง ข้าแบบมือออกอยู่นี่ มันคิดว่าข้าดีกับมัน อยากเล่นกับข้า แล้วจะทำไม”
เขาไม่ได้เหลียวมองเซี่ยหร่านที่ตอนนี้ควันออกหู แล้วเอ่ยกระแซะต่อ: “ตัวเจ้าไร้วาสนา แม้แต่นกก็ยังไม่ชอบ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องของข้า เจ้ามาว่าข้าทำไม”
เซี่ยหร่าน “……”
ซูหนานอีที่ตอนนี้กลั้นขำไว้ เซี่ยหร่านหันมาหานาง “เจ้าก็ไม่รู้จัดสั่งสอนเสียบ้าง!”
“เจ้าอย่ามาว่าเหนียงจื่อของข้านะ!” หยุนจิ่งรีบเดินไปขวางหน้าเขาทันที “เจ้าดุข้าเสร็จแล้วยังไปดุเหนียงจื่อของข้าอีก เจ้า……เจ้า……เจ้ามันขี้ติดแวววับ !”
เซี่ยหร่าน “!!!”
ลู่ซือหยวน “? ? ?”
ซูหนานอี “ฮ่าๆ……”
เห็นซูหนานอีระเบิดหัวเราะออกมาเขาก็แทบอยากจะบ้าตาย “ช่วงนี้คงอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว!”
หลังจากหัวเราะ ซูหนานอีก็พูดกับเซี่ยหร่าน “เอาล่ะๆ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
“อะไรนะ” เซี่ยหร่านที่มองอย่างระมัดระวัง
ซูหนานอีที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “อย่าเป็นอย่างนี้สิ แล้วเรื่องที่เจ้าเสนอตัวจัดการ ช่วงนี้มีพวกพ่อค้าออกเดินทางหรือยัง”
“มี พรุ่งนี้ตอนบ่ายมีกลุ่มพวกพ่อค้าจะเดินทางไปเจียงหนาน หลังจากไปส่งของนี่นั่นแล้วจะเปลี่ยนเส้นทางไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
ซูหนานอีปรบมือขึ้นมาทันที “ช่างบังเอิญเสียจริง ให้จิ้งหว่านไปเก็บของ ให้นางแฝงตัวไปกับกลุ่มพ่อค้าออกจากเมืองไปเถอะ”
เซี่ยหร่านตกใจอึ้ง “ทำไม ไม่แก้แค้นแล้วหรือ ไม่รอให้เรื่องตระกูลหลี่เสร็จก่อนหรือ”
“ใช่ แต่นางบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางแล้ว แล้วแต่คนอื่นจะคิด คิดเสียว่าหลี่จิ้งหว่านได้หายสาบสูญไปแล้ว ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วก็แล้วกัน” ซูหนานอีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า “ที่จริงแล้ว ไม่ได้เรียกว่าแฝงตัวไปกับกลุ่มพ่อค้าหรอก ข้าคิดว่าจะให้นางไปที่ร้านทางตะวันตกเฉียงเหนือโน้น”
เซี่ยหร่านนิ่งคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบอยู่ครู่หนึ่งแล้ว: “เรื่องนี้ค่อนข้างยาก แต่ว่า……เจ้าแน่ใจหรือที่จะให้นางไป ร้านที่นั่นล้วนเป็นร้านที่มีอยู่แต่ก่อนของซูหนานอี”
ซูหนานอีเข้าใจในความหมายที่เขาพูด หลี่จิ้งหว่านไปแล้ว ยากที่จะรับประกันได้ว่าเรื่องมันมีส่วนเกี่ยวข้องกัน และคงจะอดสงสัยเป็นไม่ได้
นางคิดไต่ตรองดูแล้ว ก็พยักหน้า “ไม่เป็นไร ภูเขาตะวันตกเฉียงเหนือสูงและไกลจากเมืองหลวง และยิ่งไปกว่านั้นกู้ซีเฉินก็ไม่รู้ว่าข้ามีร้านที่ตะวันตกเฉียงเหนือ และคงจะไม่ส่งคนไปที่นั่นแน่”
“เอาเถอะ” เซี่ยหร่านเห็นนางยืนกรานอย่างนี้ก็ไม่รู้จะกล่อมยังไง “เจ้าคิดดีแล้วก็ยิ่งดี”
เซี่ยหร่านพูดจบแล้วจากนั้นก็หยิบเอาห่อยาวๆ ออกมาจากด้านหลัง เปิดออกมาเป็นกล่องยาวๆ
“ยาที่เจ้าอยากได้ หามาได้แล้วหนึ่งชนิด”
ซูหนานอีรับกล่องมาเปิดออกดู ข้างในเป็นสมุนไพรสีม่วงอมแดงหนึ่งมัด มีความคล้ายโสม แต่มีกลิ่นหอมกว่าโสม นางเอ่ยด้วยความดีใจ: “เร็วขนาดนั้นเลยหรือ สียังสวยด้วยนะ”
“พูดจาเหลวไหล ตระกูลเซี่ยของข้าหาของ เคยพลาดมั้ย”
เซี่ยหร่านรู้สึกภูมิใจ “ที่เหลือก็เชื่อว่าจะได้ในไม่ช้า ครั้งนี้พวกเขาไปถึงตะวันตกเฉียงเหนือ น่าจะได้มา”
“ซือหยวน” ซูหนานอีหันไปมองลู่ซือหยวน เอ่ยขึ้นด้วยแววตาเต็มไปด้วยความดีใจ “ขาของเจ้ามีความหวังแล้ว”
ลู่ซือหยวนคิ้วขมวด ยานี้หายากขนาดนี้ ที่แท้…… นางหามาเพื่อเขาอย่างนั้นหรือ
หยุนจิ่งอุ้มเสี่ยวเฮยวิ่งมา มองดูยาสมุนไพรที่อยู่ในกล่อง “เอ๊ะ อันนี้คุ้นตาจังเลย”
“จิ่งเอ้อร์เคยเห็นหรือ” ซูหนานอีถามด้วยความแปลกใจ
“อืม” หยุนจิ่งพยักหน้า “ข้าเคยเห็นอยู่กับฮ่องเต้ มี2-3มัดน่ะ และยังมีใบไม้ชนิดหนึ่งสีแดง บนใบมีลูกปัดเม็ดเล็กๆ”
เขานึกอยู่สักพัก “และยังมีลูกปัดสีขาวด้วย”
ซูหนานอีหลี่ตาลง สีหน้าลู่ซือหยวนก็พลันเปลี่ยนสีไปทันที เซี่ยหร่านก็หุบยิ้ม
“จิ่งเอ้อร์ ของพวกนั้นเจ้าอยู่ในวังของฮ่องเต้ใช่หรือไม่” ซูหนานอีพยายามทำให้เสียงตัวเองนิ่งมากที่สุด