ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 97 ในสายตามีเพียงแต่นาง
เซี่ยชื่อตะโกนออกมา ซูหนานอีก็หันไปมองนางที่ชักดิ้นชักงอเหมือนกับติดเบ็ด ด้วยแววตาเย็นเยือกทันที แม้แต่จิตวิญญาณก็ถูกติดไปด้วย
“นั่นเป็นสินเดิมของท่านแม่ข้า ไม่ว่าท่านแม่จะมีพินัยกรรมหรือไม่ แม้นไม่มี รอให้ข้าแต่งออกไป ของพวกนั้นก็ควรเป็นของข้า ท่านพ่อยังไม่พูดอะไร ท่านเป็นแค่อนุ อีกทั้งยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่าน มีสิทธิ์อะไรบอกว่าไม่ได้”
ซูหนานอีพูดออกมาอย่างร้ายกาจ แต่ละคำเหมือนกับมีดกรีดเลือดออกมา เซี่ยชื่อรู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกตบจนเจ็บหน้า แต่เรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของสินเดิมของแม่ซูหนานอีพวกนั้น วันนี้ก็มีกำไรมาก หลายปีมานี้ มีร้านมากกว่าครึ่งอยู่ในมือนาง นางจะยอมคืนออกมาได้ยังไง
นางพยายามระงับความโกรธ อยากจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก “หนานอี จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก แม่ของเจ้าแต่งเข้ามาในตระกูลซู ก็ถือว่าเป็นคนของตระกูลซู แม้แต่สิ่งของก็ใช่ ตระกูลซูเลี้ยงดูเจ้ามาจนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ตั้งแต่เล็กจนโตก็หมดไปไม่ใช่น้อยๆ เอ่อ……หากเจ้าจะนำพวกนี้ไปด้วย จะไม่เกินไปหน่อยหรือ”
ซูหนานอีหรี่ตาลง แววตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นเยือก นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แสดงท่าทีเหยียดหยัน
“ถ้าอย่างนั้นสินเดิมของท่านก็อยู่ในห้องเก็บของของตระกูลซูใช่หรือไม่ ตัวท่านเองก็เป็นของตระกูลซูใช่หรือไม่”
เซี่ยชื่อถูกพูดดักจนพูดไม่ออก ซูหนานอีหันไปทางซูซืออวี้ “จากที่น่าเซี่ยพูด เลี้ยงดูข้าก็หมดไปไม่ใช่น้อย ท่านพ่อก็จะคิดบัญชีข้าด้วยหรือไม่”
“ข้า……”
“หากคิด หรือว่าคิดเพียงตัวข้าคนเดียว” คำพูดของซูหนานอีนั้นคมกริบราวกับมีด ไม่มีโอกาสให้ซูซืออวี้ตั้งสติให้คิดไตร่ตรองเลย
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นก็เรียกซูหว่านเอ้อร์มา และนำชุด กล่องเครื่องประดับของนางออกมา และนำของข้าออกมาด้วย ดูสิว่าเลี้ยงดูใครใช้เงินมากกว่ากัน ข้าเป็นถึงลูกภรรยาเอก เงินที่ให้ซูหว่านเอ้อร์ใช้ก็น่าจะน้อยกว่าข้า หากว่าเยอะกว่าข้า ท่านพ่อก็ควรจะชดเชยให้ข้าใช่หรือไม่”
“หรือว่า ท่านพ่อก็จะคิดบัญชีกับข้า ใช้สินเดิมของท่านแม่ข้าพ่อมาหักลบค่าเลี้ยงดูข้า ที่เหลือก็ค่อยคืนให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
“ท่านพ่อ ท่านคิดจะทำอย่างไรกันแน่”
ตอนนี้ซูซืออวี้เหงื่อชุ่มไปทั้งหน้า เขาก็ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรอยู่ถึงได้ลามมาถึงเรื่องนี้
“เจ้า……” เซี่ยชื่อเหมือนอย่างจะพูดอะไร ซูหนานอีก็กวาดสายตามองไป “ข้ากำลังคุยกับท่านพ่อ คุยเรื่องสินเดิมของท่านแม่ข้า ท่านมีสิทธิ์อะไรมาพูดสอด! ท่านพ่อ ท่านลืมคำพูดของใต้เท้าแล้วหรือ”
ซูซืออวี้นึกขึ้นมาได้ ใช่แล้ว คนของใต้เท้าเคยบอกว่า เขานั้นไม่เคร่งครัดกับคนในบ้าน ทำให้ภรรยาที่เป็นเพียงอนุขึ้นมามีสิทธิ์มีเสียงในการตัดสินใจ
เขาไอกระแอมลำคอ แล้วก็ตัดสินใจเด็ดขาด จ้องไปทางเซี่ยชื่อ “หุบปากเจ้าไปเถอะ!”
“ท่านพี่……”
“กลับเรือนไปซะ แล้วก็หยุดพูดมากได้แล้ว!”
เซี่ยชื่อหมดความอดทน ยังต้องจัดการเรื่องงานแต่งงานของซูหว่านเอ้อร์ จะพูดให้ซูซืออวี้โกรธโมโหไม่ได้
นางจ้องตาไปทางซูหนานอีอย่างไม่ยอมแต่ก็ต้องเดินออกไป
เดินไปไม่กี่เก้าก็หันกลับมา กวักมือเรียกบ่าวรับใช้ที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ ให้มาหายัดเงินให้สองอีแปะ แล้วชี้ไปข้างในเรือน
ซูหนานอีเห็นตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็คร้านที่จะสนใจ
“หนานอีอา” ซูซืออวี้หันกลับมานั่งลง “พ่อก็ไม่มีอะไร แล้วจะคิดบัญชีกับเจ้าได้อย่างไร เจ้าเป็นลูกภรรยาเอกของข้า ข้าเฝ้ารัก……”
เขาอยากจะบอกว่าเขาเฝ้ารักเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมาจนโต พูดยังไม่ทันจบก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาบ้าง ได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้ซูหนานอี คำพูดหลังจากนั้นก็ไม่สามารถพูดออกมาจากปากได้
“หว่านเอ้อร์ นั้นถูกให้ท้ายจนชิน และนางนั้นน้อยมาก โดยทั่วไปแล้ว พ่อแม่ในใต้หล้ามักจะเอาใจลูกคนเล็ก นาง……” ! ซูหนานอีเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียงเบา นางลูบลวดลายที่อยู่บนกล่องสี่เหลี่ยมด้วยท่าทีสบาย “ข้าโตแล้ว ไม่ใช่เด็กที่จะต้องมาแย่งความรักจากท่านแล้ว และข้าก็ไม่ต้องการให้ท่านพ่อมาเข้าใจอะไรด้วย ท่านอยากจะรักใครก็แล้วแต่ท่าน ข้าอยู่ที่จวนนี้มานานหลายปี ตั้งแต่เล็กจนโตมาจนถึงป่านนี้ก็รู้อยู่แก่ใจดี”
ซูซืออวี้ถึงกับหน้าชา
“ข้าแค่ต้องการของของแม่ข้าคืน นั่นเป็นสินเดิมของนางตอนแต่งงาน หลายปีมีนี้ใครเป็นผู้ดูแลและกำไรอยู่ที่ใด ข้าไม่ถามหาไม่ต้องการให้เอาออกมาก็ถือว่าเมฆตามากแล้ว ข้าอยากให้ท่านรู้สักหน่อยว่าของของแม่ข้า ข้าจะเอาคืนมาให้ได้แน่ไม่มีอะไรที่จะต้องมาปรึกษาคุยกันอีก”
ซูหนานอีจบอย่างห้วนๆ ก็หัวเราะออกมา ลมข้างนอกยามค่ำคืนมาพร้อมกับอากาศที่ร้อนจัดทำให้คนที่ได้ฟังถึงกับกลัดกลุ้มร้อนใจ
“ท่านพ่อ ขั้นบันไดจวนท่านแม่ทัพใหญ่นั้นสูงนัก ท่านก็น่าจะรู้ แต่ทำไมถึงได้มีเรื่องแต่งงานนี้ได้ และทำไมยังเร่งรีบอย่างนี้อีก”
“ท่านพ่อจะไม่คิดไตร่ตรองดูหน่อยหรือ หรือว่านึกว่าซูหว่านเอ้อร์บุตรสาวคนเล็กที่ท่านเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างดีจะมีปัญญา ดีใจไปได้ประเดี๋ยวก็จะมาร้องไห้ทีหลังนะ ข้าพูดได้แค่นี้”
ซูหนานอีพูดจบแล้วก็ลุกขึ้นยืน ยกกล่องที่อยู่ในมือขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง ไฟในห้องสะท้อนใบหน้าที่งดงามของนางที่ตอนนี้ดูเย็นเยือกน่าเกรงขาม
“ของของข้า ขอให้ท่านคืนมาถึงมาคือตามเวลาที่กำหนดไว้ด้วย เราสองพ่อลูกอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขจะดีกว่า”
นางพูดจบก็หันหลังเดินออกไป รอจนให้เงาเบื้องหลังของนางหายไปกับเงามืด ก็ไม่เห็นร่างของนางแล้ว ซูซืออวี้ถึงได้ตั้งสติขึ้นมาได้ แล้วก็ถอนหายใจยาว แล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกตกใจขึ้นมามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาจ้องไปตามทางที่ซูหนานอีหายไป รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนกับเห็นเงาของภรรยาที่จากไปแล้ว เขาก็หลับตาลงเล็กน้อยอย่างรู้สึกไม่ถูก
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าได้เข้ามาอย่างรีบเร่ง ทำให้เขาหยุดคิด: “นายท่าน คุณนายเซี่ยเชิญท่านทั้งสองไปหน่อยขอรับ”
ซูซืออวี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเซี่ยชื่อชื่อจะพูดอะไร ก็รู้สึกกัดกลุ้มใจขึ้นมา
และประจวบเหมาะกับเวลานี้ ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา แม่นางแซ่หลิ่วกซุปเข้ามา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม: “นายท่าน ข้าตุ๋นซุปมาให้ท่าน ขอให้ท่านชิมๆ หน่อย”
ปกติซูซืออวี้นั้นก็ไม่อยากไปหาเซี่ยชื่ออยู่แล้ว และตอนนี้ด้วยก็ยิ่งไม่อยากไป “ได้”
เขากวักมือเรียก คนมารายงานก็ทนดูต่อไม่ได้แล้วก็ถอยออกไปรายงานเซี่ยชื่อ
เซี่ยชื่อที่ตอนนี้เดินไปเดินมาในเรือนของตนอย่างร้อนใจ พอได้ยินเสียงเดินมาก็นึกว่าเป็นซูซืออวี้มาแล้ว แต่เสียงที่ได้ยินกลับไม่ใช่ “นายท่านล่ะ”
“นายท่าน……ดื่มซุปอยู่ที่เรือนรับรองขอรับ”
พูดยังไม่ทันจบ เซี่ยชื่อก็พอเข้าใจแล้ว แววตาก็ลุกโชนด้วยความโกรธ
เซี่ยเถาเดินถอยออกไป “พอแล้วๆ เจ้าอย่าพึ่งรีบร้อน แม่นางหลิ่วลงมือตอนนี้ก็เหมาะสมแล้ว”
เดินทีเขาคิดจะกลับแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสดีอย่างนี้ เขาเลยอยู่ต่ออีก
“เหมาะสมอย่างไรหรือ ท่านไม่เห็น ซูหนานอียัยเด็กร้ายกาจนั่นอยากได้อะไรก็ต้องได้ หากข้าไม่รีบลงมือ แล้วท่านพี่รับปากนางจะทำอย่างไรดี” เซี่ยชื่อที่ตอนนี้นี้ใจร้อนดังกับไฟที่จะเผาไหม้ทั้งเรือนได้เลย “ร้านในสามที่ ข้าได้รับปากว่าจะยกให้หว่านเอ้อร์เป็นสินเดิมตอนแต่งงานแล้ว”
“ร้อนใจไปไย เจ้าระงับอารมณ์โกรธของเจ้าก่อน” เซี่ยหร่านเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าแม่นางแซ่หลิวเชื่อฟังผู้ใด นางพูดอะไรตอนนี้น่าจะเหมาะกว่าเจ้า พูดผิดไปก็ไม่มีใครกล่าวโทษนางได้ นางพึ่งมาได้ไม่นาน ไม่รู้เรื่องภายในก็ไม่แปลก อีกอย่างแม้นพูดผิดไม่เข้าหูใคร ก็โทษนางไม่ได้”
เซี่ยชื่อได้ยินอย่างนั้นก็ใจเย็นลงพอสมควร แล้วนั่งคิดไตร่ตรองอยู่บนเก้าอี้ “ซูหนานอียัยเด็กผู้หญิงร้ายกาจคนนี้ สู้โดยมีจวนอ๋องสนับสนุน นับวันยิ่งเหิมเกริม! แต่ก่อนข้ายังเกรงใจนางอยู่บ้าง ตอนนี้หว่านเอ้อร์ของข้าจะแต่งเข้าจวนท่านแม่ทัพ ที่กุมอำนาจทางการทหารจำนวนมาก เยอะมากว่าทหารของจวนอ๋องเสียอีก!”
เซี่ยเถาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้มาก ถึงยังไงเขาก็ต้องทำตามหากเป็นผลดี แต่หากเห็นเหตุการณ์ไม่เข้าท่าเขาก็ต้องหาทางหนีทีไล่
ซูหนานอีกลับไปถึงเรือน แล้วส่งกล่องไปให้เสี่ยวเถา ให้นางเอาไปเก็บ
นำอาหารเข้ามาวางนางก็กินไปบ้างก็คิดถึงเรื่องพรุ่งนี้ อาหารก็เริ่มไม่พร่อง
เขี่ยไปขี่มาก็อิ่ม นางจึงเขียนจดหมายแล้วใช้นกพิราบส่งจดหมายไปให้เซี่ยหร่าน แผนของวันพรุ่งนี้จำเป็นต้องให้เซี่ยหร่านช่วย
เพียงไม่นานนกน้อยก็กลับมา ที่ขาของมันว่างเปล่า แสดงว่าไม่ตอบกลับจดหมาย ซูหนานอีถึงกับหุบยิ้ม เจ้านี้ยังโกรธอยู่เป็นแน่ ช่างขี้น้อยใจจริงๆ
นางก็ไม่ได้ใส่ใจ จุดไฟให้สว่างแล้วเริ่มค้นคว้าชีพจร
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกระพือเปียก นางเลยเปิดหน้าต่างออกและเห็นเพียงนกพิราบส่งจดหมายมาเกาะหน้าต่าง
นางเลยหยิบเอาจดหมายออกมา และมีเพียงอักษรสั้นๆ สามตัว “เข้าใจแล้ว”
ซูหนานอีก็หัวเราะออกมา เจ้าบ้านี่ เหมือนกลัวว่านางจะเป็นกังวล ยังส่งข่าวมาอีก
หลังจากส่งนกกลับไป ซูหนานอีก็กลับมาตั้งใจอ่านหนังสือชีพจรต่อและกำลังตั้งใจอยู่กับหนังสือ ก็ได้กลิ่นเหมือนกลิ่นหอมอ่อนๆ และมีรสหวานน้อยๆ
นางเงยหน้ามองไปทางข้างนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่มืดสนิท ปกติแล้วจะมีแสงเดือนและแสงดาวส่องสว่างทั่วท้องฟ้าแต่วันนี้กลับมืดสนิท อากาศก็ค่อนข้างชื้น
ฝนจะตกแล้ว
นางก้มหน้าลงอีกครั้ง อ่านต่อไปเหมือนไม่มีอะไร
นั่งอ่านอยู่นาน กิ่งต้นไม้ที่อยู่ตรงข้ามหน้าต่างก็สั่นไหว เหมือนกับลมพัด
จากนั้นก็เหมือนเห็นเงาคนผ่านไป