ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 81 แสดง
หยุนจิ่งมองออกไปตามทิศทางที่ซูหนานอีชี้ และขยี้ตา
“ภรรยา จริงด้วย เป็นรถม้าของจวนอ๋อง”
ซูหนานอีเข้าใจขึ้นมาทันที ต้องเป็นเพราะไท่เฟยได้นับข่าวสาร นางเม้มปากและกระซิบพูดข้างหูของหยุนจิ่ง
หยุนจิ่งรีบวิ่งลงไปจากตึก และตรงไปทางรถม้า
ทุกคนล้วนล้อมรอบดูสนุกอยู่ ไม่มีใครสังเกตถึงสถานการณ์อื่นเลน
คนขับรถม้าเห็นว่าคนที่มาห้ามรถนั้นคือหยุนจิ่ง จึงรีบหยุดเอาไว้ นางรู้สึกรีบร้อนมาก กำลังคิดอยู่ว่าทำไมรถม้ายังหยุดล่ะ เพิ่งคิดจะเปิดผ้าม่านมาดู ก็เห็นหยุนจิ่งโผล่หัวเข้ามาดูในรถม้า
เหยียนโมโม่รู้สึกทั้งดีใจทั้งสงสาร ท่านอ๋องชอบซูหนานอีขนาดนั้น ต้องพูดยังไงดี?
นางยังคิดไม่ได้ หยุนจิ่งก็กระซิบพูดว่า”โมโม่ เจ้าตามข้ามาก่อน”
เหยียนโมโม่ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ลงจากรถตามเขาด้วยความสงสัย หยุนจิ่งจับข้อมือของนางแล้ววิ่งขึ้นไปบนโรงน้ำชา
เหยียนโมโม่หันกลับไปมองบริเวณที่กลุ่มคนวุ่นวายกัน หัวใจหยุดเต้นไปทีหนึ่ง ท่านอ๋องอยู่ใกล้ขนาดนี้ รู้แล้วหรือเปล่า?
กำลังคิดอยู่หยุนจิ่งก็พานางเข้าไปในห้อง ซูหนานอีขึ้นไปทำความเคารพ”โมโม่สบายดีเจ้าค่ะ”
เหยียนโมโม่กำลังสงสัยอยู่ว่าเป็นชายหล่อที่ไหน แต่พอดูอย่างดีๆแล้ว ก็รู้สึกตกใจ”เจ้า……คุณหนูซู?นี่เกิดอะไรขึ้น?”
ซูหนานอีเชิญนางนั่งลง เผชิญหน้ากับหน้าต่าง”ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน กำลังดื่มชาอยู่กับจิ่งเอ้อร์ แม่นางหยุนหลิ่วก็ไม่รู้เป็นอะไร เจาะจงว่าคนนั้นก็คือข้า ยังหาพ่อข้ามาด้วย”
ซูหนานอีขมวดคิ้ว น้ำเสียงค่อนข้างจะจนปัญญา”นี่ทำยังไงดีกันแน่?แม้ตระกูลซูของเราเป็นตระกูลค้าขาย แต่ข้าก็เป็นสาวบริสุทธิ์อยู่ ตอนนี้ก็ได้หมั้นกับจวนอ๋องเป่ยลี้ หากเพราะสิ่งพวกนี้ทำลายชื่อเสียงของจวนอ๋องเป่ยลี้จะทำยังไงดีเล่า”
ระหว่างที่พูดยังได้ทำความเคารพใส่เหยียนโมโม่”โมโม่ยังรู้ด้วย คาดว่าไท่เฟยก็คงรู้แล้วใช่ไหม?เดี๋ยวข้าจะไปกราบขอโทษกับไท่เฟยแน่นอนเจ้าค่ะ”
เหยียนโมโม่ใช้มือประคองนางขึ้นมา เมื่อเห็นความกังวลบนใบหน้าของนางก็เลยปลอบใจเบาๆ”คุณหนูซูคิดแบบนี้ได้ยังไงล่ะ เดิมทีเรื่องนี้เจ้าก็เป็นฝ่ายที่ได้รับความเสียหาย ไท่เฟยจะโทษเจ้าได้ยังไงล่ะ?”
หยุนจิ่งปลอบใจด้วยเสียงเบา”ภรรยาไม่ต้องกลัว เสด็จแม่ไม่โทษภรรยาหรอก คือคนพวกนั้นใจร้าย ไม่เกี่ยวข้องกับภรรยาเลย”
เขาขมวดคิ้ว เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ พูดกับเหยียนโมโม่ซ่า”โมโม่ เข้ารีบพาไอ้หยุนหลิ่วที่น่ารังเกียจนั้นกลับจวนเถอะ ให้นางอย่าพูดใส่ร้ายภรรยาเลย”
เหยียนโมโม่มองไปดูนอกหน้าต่าง เห็นว่าหยุนหลิ่วยังร้องไห้อยู่ นางเป็นคนใกล้ชิดของไท่เฟย เมื่อก่อนที่อยู่ในพระราชวังก็คอยรับใช้อยู่ จากนั้นก็ติดตามไท่เฟยแต่งเข้าไปในจวนอ๋องเป่ยลี้ เรื่องพวกนี้นางรู้อยู่แก่ใจแล้ว เมื่อก่อนดูถูกหยุนหลิ่วคนนี้จริงๆ
เหยียนโมโม่รู้สึกโกรธมาก กำลังคิดจะลงไป ซูหนานอีพูดด้วยเสียงเบาๆ”โมโม่ ท่านพูดกับข้าได้ไหมว่า แม่นางหยุนหลิ่วคนนี้ตกลงเป็นใคร?ข้าถึงสามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้องเจ้าค่ะ”
เหยียนโมโม่เห็นดวงตาที่สว่างของนาง ในใจก็รู้ซึ้งว่า เรื่องการขจัดเสนียดจัญไรให้หยุนจิ่งยังคงต้องพึ่งนาง ตอนนี้ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่มันก็ดีไปถึงไหนแล้ว
เมื่อนึกถึงตอนนี้ เหยียนโมโม่ถอนหายใจออกมา”ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้ เมื่อก่อนแค่รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ รอให้คุณหนูแต่งไปก็จะรู้เอง แต่ตอนนี้……ก็ช่างเถอะ”
“คุณหนูซูไม่ทราบมาก่อน หยุนหลิ่วเดิมเป็นสาวใช้ระดับสองที่อยู่ข้างไท่เฟย ปีนั้นฤดูหนาวท่านอ๋องเล่นอยู่ข้างทะเลสาบ ถูกสาวใช้ในจวนคนหนึ่งหลอกว่าข้างในมีสัตว์ประหลาด แถมยังมีโรคติดตัวเพราะเรื่องนี้ด้วย เพื่อตอบแทนบุญคุณในการช่วยเจ้านายของนาง ไท่เฟยยกเลิกฐานะทาสของนาง และเลี้ยงนางเหมือนกับแม่นางในจวน”
ซูหนานอีค่อนข้างจะรู้สึกแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าเป็นเช่นนี้ แต่จู่ๆนางก็นึกถึงคืนนั้นที่เห็นหยุนหลิ่วคุยกับผู้หญิงที่เป็นใบ้คนหนึ่งในเรือนที่ทรุดโทรม ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ
ซูหนานอีหมุนลูกตา”ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ช่างเถอะ โมโม่ไม่ต้องพูดอย่างอื่นแล้ว เพียงต้องพาคนกลับไปก็พอ นางเคยช่วยชีวิตของจิ่งเอ้อร์ เพียงสิ่งนี้ข้าก็ไม่มีวันลืม”
เหยียนโมโม่ประหลาดใจเล็กน้อย”คุณหนูซูใจกว้างเช่นนี้ บ่าวจะแจ้งให้ไท่เฟยทราบแน่นอนเจ้าค่ะ”
หยุนหลิ่วเคยชีวิตของท่านอ๋อง คนในจวนอ๋องล้วนรู้กันหมด หากไท่เฟยจัดการนาง ตอนนี้ซูหนานอียอมให้อภัย แน่นอนว่าดีที่สุดแล้ว
สายตาของเหยียนโมโม่ปรากฏความชื่นชมขึ้นมา”คุณหนูซูไม่ต้องเป็นห่วง บ่าวลงไปพานางกลับจวนเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ไปด้วยกันเถอะ”ซูหนานอีสะบัดแขนเสื้อ”ยังไงข้าก็ต้องปรากฏหน้าหน่อย ไม่งั้นจะอธิบายให้ดีได้ยังไงล่ะ”
เหยียนโมโม่พยักหน้า สามคนลงบันไดด้วยกัน
ซูซืออวี้สั่งให้พ่อบ้านหาคนมาช่วย กำลังจะยกคนขึ้นไปบนรถ แต่ปิ่นปักผมของผู้หญิงคนนั้นก็ตกลงพื้น
หยุนหลิ่วไปเก็บขึ้นมา ยื่นให้ซูซืออวี้ พูดด้วยความเศร้าโศก”คุณหนูซูเคยพูดกับข้าว่า นี่เป็นสิ่งที่รักของนาง นายท่านซูเอากลับไปด้วยกันเถอะ”
ซูซืออวี้รู้สึกว่าปิ่นปักผมนี้คุ้นเคยมาก เป็นสิ่งที่รักของซูหนานอีหรือเปล่าเขาไม่รู้ ตอนนี้รู้สึกแต่ว่ามันสกปรก
กำลังยื่นมือไปอย่างลังเล ยังไม่ทันได้แตะต้องจู่ๆก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาส่งเข้ามา”ข้าจำไม่ได้ว่าข้าเคยพูดเช่นนี้กับแม่นางหยุนหลิ่วเลย”
ทุนคนต่างหันไปด้วยความประหลาดใจ เห็นแต่สามคนเดินเข้ามา คนที่พูดนั้นมองขึ้นไปแล้วเหมือนเป็นชายหล่อ แต่พอดูดีๆแล้วเป็นหญิงสาวที่มีความเข้มแข็งในตัว ใส่เสื้อของชนชาติหู ผมมัดขึ้นมา เลิกคิ้วเล็กน้อย มีบุคลิกที่ดีในตัว
ผู้ชายข้างๆของนางตัวสูง สวมมงกุฏหยกบนศีรษะและคาดเข็มขัดหยกรอบเอว สีหน้าบึ้งตึง ขมวดคิ้วและมองไปทางหยุนหลิ่ว
นิ้วมือของซูซืออวี้สั่นและหดตัวกลับมา หันไปมองเห็นซูหนานอีที่ใส่ชุดชนชาติหู ความตกใจและความประหลาดใจในสายตาล้วนกลายเป็นความดีใจ
เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนมีชีวิตกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เดินไปหานางอย่างสะเปะสะปะ”หนานอี ลูกสาวของพ่อ!เจ้า……ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?”
ซูหนานอียื่นมือไปประคองเขา แต่อันที่จริงแล้วแค่โดนแขนเสื้อของเขาเท่านั้น มองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มและถามว่า”ทำไมพ่อถึงพูดเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ ลูกอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือเจ้าคะ?”
นางมองไปที่เหยียนข้างๆ”ท่านพ่อ ไท่เฟยมีบุญบารมีต่อเรายิ่งนัก กลัวที่จวนไม่มีคนมาจัดการเรื่องงานแต่งของลูก วันนี้จึงให้เหยียนโมโม่มาช่วย”
เหยียนโมโม่พยักหน้า แสดงว่าที่ซูหนานอีพูดนั้นเป็นความจริง
ซูซืออวี้รู้สึกว่าพูดไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรดี ในที่สุดทำความเคารพใส่เหนียนโมโม่”ของพระคุณโมโม่ขอรับ”
หยุนหลิ่วอึ้งไปตั้งนาน ฟื้นสติกลับมาไม่ได้เลย บนใบหน้าที่แข็งตัวนั้นยังมีน้ำตาที่ยังไม่แห้ง มองยังไงก็รู้สึกประชดประชัน
ซูหนานอีมองมาที่นางอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”แม่นางหยุนหลิ่ว เราสองคนเจอกันก็แค่ไม่กี่ครั้งเอง แต่เจ้ากลับรู้ว่าข้าชอบเครื่องประดับอะไหล่ แม้ว่าอยู่ห่างกันขนาดนี้ก็จำข้าได้ด้วย ทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจจริงๆเลย”
สีหน้าของหยุนหลิ่วซีดขาว นิ้วมือบีบปิ่นปักผมนั้นอย่างแน่น”ข้าจำได้ว่าเมื่อวานเจ้า……”
“ใช้ เมื่อวานข้าได้ใส่ปิ่นปักผมนี้จริงๆ แต่ต่อมาข้าได้ประทานให้สาวใช้ในจวนคนหนึ่งชื่อชุนหลิง”
“ชุนหลิง?”ซูซืออวี้กรีดออกมาเสียงหนึ่ง”เจ้าหมายความว่านี่คือชุนหลิง?”
ซูหนานอีส่ายหน้า”ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นใคร ข้าไม่ได้เห็นหน้าของนาง มองไม่ออก คงไม่สามารถดูจากขาก็มองออกเนอะ”
นางหมุนลูกตา มองไปทางซูซืออวี้และหยุนหลิ่ว”พวกเจ้าตาดีจริงๆ”
“……”ซูซืออวี้รู้สึกอับอายมาก
หยุนหลิ่วใช้มือจับปิ่นปักผมอย่างแน่น ฝ่ามือรู้สึกเจ็บปวดมาก
ซูหนานอีเดินหน้าขึ้นไป ค่อยๆผลักผมสีดำที่บังหน้านั้นไปข้างๆ แล้วพูดอย่างชัดเจน”เป็นชุนหลิงจริงด้วย”
“ท่านพ่อ ชุนหลิงก็เป็นสาวใช้ที่รับใช้อยู่ข้างๆน้องสาวมานาน วันนี้ได้ประสบอุบัติเหตุเช่นนี้ก็น่าสงสารเช่นกัน เชิญท่านพ่อพากลับไปรักษาในจวน เรื่องนี้……ก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของนางใจเย็นมาก แต่ซูซืออวี้กลับมีความรู้สึกว่าคำพูดของนางนั้นไม่ใช่เป็นการปรึกษา เป็นการบังคับล้วนๆ เมื่อกี้นี้ต้องโทษเขาไม่ระวัง และหยุนจิ่งก็อยู่ที่นี่ด้วย แม้ว่าเขาไม่ได้เปิดเผยตัวเอง แต่เขาก็ไม่กล้าทำให้เขาขัดใจ
“เจ้าพูดถูกแล้ว ถึงแม้เป็นทาส ก็ต้องรักษาให้ดี”
“ยังต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่า ตกลงใครเป็นคนทำจนชุนหลิงเป็นเช่นนี้”
หยุนหลิ่วหลับตาลง รอให้ซูหนานอีมากล่าวตำหนินาง แต่ซูหนานอีไม่ได้พูดอะไรกับนางอีกเลย แม้กระทั่งยังไม่ได้มองมาอีก
เหยียนโมโม่เดินหน้าขึ้นไป”แม่นางกลับจวนกับข้าเถอะ อย่ามาก่อความวุ่นวายที่นี่อีกเลย”
หยุนหลิ่วรู้สึกว่าคำพูดนี้ของนางมีความหมายโดยนัยแฝงอยู่