ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 79 สร้างให้มีโอกาส
หยุนจิ่งช่วยซูหนานอีเก็บกวาดจนเรียบร้อย จากนั้นจูงมือนางกล่าวว่า “เหนียงจื่อ เราไปกันเถิด”
“อืม” ซูหนานอีส่งสายตามองไปยังหลิวว่านเพ่ยและชายชราอีกคนหนึ่ง ก่อนจะโค้งตัวคำนับด้วยความรวดเร็ว แล้ววิ่งตามหยุนจิ่งไปอีกด้านหนึ่งของป่า
ชายชราผู้นั้นขมวดคิ้วแล้วลูบไปที่คาง “หนุ่มสาวนี่ดีเสียจริง แต่ถูกเจ้าทำให้ตกใจกลัวเอาเสียแล้ว”
หลิวว่านเพ่ยหัวเราะออกมาสั้นๆ สายตาของเขากวาดมองไปยังพื้นที่ซูหนานอีเก็บกวาดเมื่อครู่และพบว่ามันช่างสะอาดเสียจริง มิได้ทิ้งร่องรอยใดไว้เลย
“ยังไม่มีข่าวจากหุบเขาหมอเทวดาอีกหรือ?” ชายชราเอ่ยถาม
“ยังไม่มีเลย” หลิวว่านเพ่ยส่ายหน้า “สถานการณ์ตอนนี้เจ้าเองก็รู้ดี จวนเทียนอีประสบเข้ากับปัญหาครั้งใหญ่ พวกเขาจะกล้าทำการใดในตอนนี้ ทุกอย่างล้วนต้องระมัดระวัง”
“อ้อจริงสิ ตราสัญลักษณ์ยังอยู่มิใช่หรือไร? เหตุใดไม่ลองติดต่อกับชั้นบนดูเล่า?” หลิวว่านเพ่ยเอ่ยถาม
ชายชราส่ายหน้า “ก่อนหน้านั้นข้าเคยมี แต่เมื่อคราที่ย้ายบ้านอย่างกระทันหันจึงได้ทำหายไป อีกอย่าง……ท่านหัวหน้าหุบเขามีคำสั่งไว้ว่า หากไม่ถึงตาจนจริงๆจงอย่าได้นำออกมาใช้”
หลิวว่านเพ่ยตกใจมาก “ทำหายอย่างนั้นหรือ? ของสำคัญเช่นนี้เหตุใดเจ้าจึงทำสูญหายไป? หากว่ามันตกอยู่ในมือของคนเลวจะเกิดอะไรขึ้น? อีกอย่าง บัดนี้มิใช่สถานการณ์เข้าตาจนหรอกหรือ?”
ชายชราทำตัวไม่ถูก เขาโบกไม้โบกมือแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้ามิควรให้มันเกิดขึ้น แต่ในตอนนั้นทุกสิ่งอย่างกะทันหันเหลือเกิน ช่างโชคดีที่พวกเราเดินทางออกมาทัน หากในตอนนั้นช้าไปเพียงก้าวหนึ่ง เราสองคนอาจต้องเอาชีวิตเข้าไป เกี่ยวข้อง รอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่านี้หน่อยแล้วข้าจะออกไปตามหา”
หลิวว่านเพ่ยถอนหายใจออกมา “มันมีลักษณะเป็นอย่างไร ท่านกล่าวออกมาข้าจะช่วยหาด้วย”
ชายชราถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าอันหมดเรี่ยวแรง “ข้าเองก็ไม่รู้หรอก ของสิ่งนั้นถูกใส่ไว้ในกล่อง หากมิถึงตาจนจะไม่อาจเปิดออกได้ ดังนั้น……”
หลิวว่านเพ่ยมองดูเขาด้วยสายตาพินิจไตร่ตรอง ผ่านไปสักพักจึงได้ตบลงไปที่บ่าของเขาเบาๆแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงช่วยท่านมิได้หรอก”
ชายชราถอนหายใจและส่ายหน้า “ข้าละอายใจต่อความไว้วางใจของเจ้าของหุบเขาเหลือเกิน”
……
ซูหนานอีและหยุนจิ่งเดินไปพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเปียกเช็ดหน้าออก แล้วเดินออกมาจากป่าพบว่าท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว คนขับรถกำลังรออยู่อย่างกังวลใจ เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินออกมาเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ท่านอ๋อง คุณหนูซูขอรับ รีบขึ้นรถม้าเถิด อีกประเดี๋ยวประตูเมืองจะปิดลงแล้ว”
ทั้งสองคนจึงขึ้นไปบนรถม้าและรถก็วิ่งกลับไปยังเมืองอย่างรวดเร็ว
“จิ่งเอ้อร์ พวกเราจะต้องเดินทางไปช่วยในเจ้าเมืองจ้าวสักหน่อย” ซูหนานอียกม่านในรถม้าขึ้นแล้วมองออกไป ก่อนจะให้คนขับรถม้าหยุดลงที่หน้าร้านหนังสือแห่งหนึ่ง
ในร้านหนังสือนั้นมักจะมีอุปกรณ์เครื่องเขียนวางขายอยู่ด้วย ซูหนานอีจึงได้ยืมปากกา พู่กันและกระดาษเขียนจดหมายฉบับหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นเลือกซื้อหนังสือทางการแพทย์มาสองเล่ม ก่อนจะดึงมือหยุนจิ่งขึ้นรถม้าไป
หยุนจิ่งมองไปที่ซองจดหมายในมือนางฉบับนั้นก่อนจะกระซิบถามว่า “เหนียงจื่อ พวกเราจะไปที่ใดกัน?”
“จวนของผู้อาวุโสโจว”
หยุนจิ่งครุ่นคิดอยู่สักครู่ ในที่สุดดวงตาของเขาก็เป็นประกาย “อ้อ! ข้ารู้แล้ว ชายชราหัวรั้นและมีเครายาว” เขากล่าวพลางทำท่าทางเลียนแบบ
ซูหนานอีหัวเราะขึ้น “ใช่แล้ว ชายชราหัวดื้อรั้นนั่นแหละ”
“เขาทำงานที่หออาลักษณ์หลวงมิใช่หรือ พวกเราเดินทางไปที่นั่นก็ได้ ซูหนานอีเข้าใจดีว่าที่เขากล่าวถึงนั้น ก็คือกล่องร้องทุกข์ที่อยู่ข้างหน้าหออาลักษณ์หลวง ซึ่งบรรดาข้าหลวงในหออาลักษณ์หลวงล้วนแต่เป็นผู้มีคุณธรรม พวกเขาคู่ควรกับอำนาจและศักดิ์ศรีของความยุติธรรมในนามขององค์จักรพรรดิ มีความตรงไปตรงมา หากว่ามีเรื่องใดที่ศาลจิงจ้าวมิอาจจัดการได้ หรือว่าขุนนางบางคนที่ทำท่าทางดูหมิ่นกฎหมายกลั่นแกล้งคนดี ก็จะเขียนคำร้องมาส่งยังกล่องร้องทุกข์นี้ แต่ทว่าเพื่อการป้องกันความผิดพลาด ซูหนานอีจึงต้องการที่จะนำจดหมายร้องทุกข์นี้ไปใส่ที่หน้าจวนท่านโจวโดยตรง เนื่องจากว่าในครั้งนี้ผู้ที่นางต้องการจะฟ้องนั้นไม่ธรรมดา
ท่านโจวเป็นหัวหน้าของอวี้สื่อ และเป็นทหารผ่านศึกมาถึงสามราชวงศ์ เขามิเกรงกลัวผู้ใด ต่อให้เป็นกู้ซีเฉินก็จะต้องให้เกียรติเขา
ซูหนานอีและหยุนจิ่งลงจากรถม้าที่ข้างถนนก่อนจะเดินเข้าไปที่หน้าจวนท่านอวี้สื่อโจว ที่นั่นมีกล่องจดหมายถูกวางเอาไว้เช่นกัน เพียงแต่ว่ากล่องนี้ถูกวางเอาไว้ในที่สูง มันวางเอาไว้ด้านหลังป้ายประตูจวน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้คนมาสร้างความรบกวน สองข้างของป้ายประตูจวนนั้นมีกลไกตั้งวางอยู่ เพียงแค่สัมผัสไปที่มัน
ซูหนานอีชี้ไปที่กล่องไม้เล็กๆนั้นแล้วเอ่ยถามว่า “จิ่งเอ้อร์ นำมันใส่ลงไปได้หรือไม่? จงระมัดระวังอย่าให้ผู้ใดสังเกตุเห็นและอย่าได้สัมผัสกับกระดิ่งทั้งสองข้างนั้น อย่าให้มันดังขึ้น”
“ได้แน่นอน เหนียงจื่อวางใจเถิด” หยุนจิ่งรับจดหมายนั้นไปแล้วมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงเดินขึ้นบันไดนั้นไป
บัดนี้ประตูจวนได้ถูกปิดลงแล้ว มีเพียงโคมไฟอยู่สองดวงที่แกว่งไปมาหน้าประตูส่องแสงสลัว
หยุนจิ่งกระโดดลอยตัวขึ้นมาเบาๆแล้วใส่จดหมายเข้าไปในกล่องอย่างง่ายดาย โดยที่กระดิ่งมิได้ดังเลย
เขากลับมาที่ข้างกายซูหนานอีอีกครั้งเพื่อรอคำชม
ซูหนานอีดึงแขนเสื้อของเขาไว้แล้วกล่าวว่า “วิชาตัวเบาของจิ่งเอ้อร์ยอดเยี่ยมนัก”
หยุนจิ่งเมื่อได้รับคำชมจากนางก็ยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข
“ไปเถิด พวกเรากลับกัน”
ซูหนานอีหันหลังกลับไปมองดูที่ประตูหน้าจวนโจวอีกครั้ง คาดว่าวันพรุ่งนี้จดหมายฉบับนั้นคงจะส่งถึงมือท่านอวี้สื่อโจว และการประชุมราชวงศ์ตอนเช้าของวันถัดไป คาดว่าเขาคงจะมีเวลาพอเพื่อสอบสวนเรื่องนี้
ตอนนี้เวลาค่ำมากแล้ว หยุนจิ่งจึงได้ส่งซูหนานอีกลับเรือน ซูหนานอีจู่ๆก็นึกถึงเรื่องที่แม่บ้านชุยกล่าวกับนางในเมื่อเช้าขึ้นมาได้
นางครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะกล่าวกับหยุนจิ่งว่า “จิ่งเอ้อร์ ส่งข้าที่ปากทางก็พอแล้ว ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีก”
“เหนียงจื่อไม่ต้องการให้จิ่งเอ้อร์อยู่เป็นเพื่อนหรือ?” หยุนจิ่งกล่าวออกมาด้วยความท่าทางไม่ดีใจเท่าไรนัก
“ตอนนี้เย็นมากแล้ว จิ่งเอ้อร์ควรจะรีบกลับไป ไม่ควรทำให้ไท่เฟยต้องกังวล เมื่อกลับไปแล้วเจ้าอาจจะเล่าเรื่องราวอันน่าสนใจให้นางฟัง” ซูหนานอีกระซิบเข้าไปที่ข้างหูของเขาว่า “แต่จะเล่าเรื่องความลับของเรามิได้นะ”
น้ำเสียงของนางบางเบามาก ลมหายใจอันแผ่วเบาของนางประกอบกับกลิ่นหอมจางๆที่โชยออกมา ทำให้หัวใจของหยุนจิ่งกระสับกระส่าย เขาเอียงศีรษะลงมาจับจองที่ริมฝีปากแดงของนาง
ซูหนานอียังไม่ทันจะตอบสนองใดๆ จู่ๆหยุนจิ่งก็เอื้อมศีรษะไปจับศีรษะของนางแล้วประทับริมฝีปากลงไป
หยุนจิ่งส่งเสียงครางออกมาอย่างพึงพอใจ ความปลื้มปีติ เอ่อล้นออกมาที่ลำคอของเขา มืออีกข้างหนึ่งจับไปที่เอวของนาง ริมฝีปากและลิ้นของเขาครอบงำนางโดยไม่ยอมปล่อย
ซูหนานอีเหนื่อยหอบ ใบหน้าของนางร้อนระอุขึ้นมา ดวงตาของหยุนจิ่งในตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เขาเองก็มิสามารถเข้าใจได้
ความรู้สึกเช่นนี้มันไม่คุ้นเคยและมักทำให้เขาตื่นเต้นอย่างควบคุมไม่ได้
ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียว ในที่สุดซูหนานอีก็ผลักเขาออกไปด้วยสติสัมปชัญญะที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่แล้วกระซิบว่า “จิ่งเอ้อร์ จิ่งเอ้อร์”
เสียงลมหายใจของหยุนจิ่งดูหอบหนัก เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวเรียกเขาก็สามารถระงับคลื่นที่ซัดสาดเข้ามาในหัวใจได้บ้างเล็กน้อย หน้าผากของเขาดันไปที่หน้าผากของนาง
“จิ่งเอ้อร์จะทำแบบนี้บ่อยๆไม่ได้ ต้องรอให้ถึงวันแต่งงาน……เข้าใจหรือไม่” ซูหนานอีกระซิบเบาๆ
หยุนจิ่งไม่รีรอ เขานึกถึงเรื่องที่ซูหนานอีเคยกล่าวเอาไว้ว่าหลังจากที่แต่งงานกันแล้วก็จะได้อยู่กันตลอดไป ดังนั้นจึงพยักหน้าตอบรับ
“ตกลง!”
“เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน เจ้าเองก็รีบกลับไป อย่าทำให้ไท่เฟยทรงกังวล”
“อืม”
ซูหนานอีจัดระเบียบเสื้อผ้า ก่อนจะเลิกม่านขึ้นแล้วก้าวลงจากรถ
หยุนจิ่งมองไปยังที่นั่งอันว่างเปล่า จากนั้นยื่นมือออกไปสัมผัส กลิ่นหอมของนางยังลอยคลุ้งอยู่ในห้อง เขารู้สึกว่าหัวใจว่างเปล่าเหลือเกิน ดูเหมือนมีบางสิ่งเข้ามาปิดกั้นเอาไว้
เขาเปิดม่านขึ้นดูพบว่าร่างเพรียวบางของซูหนานอีเดินหายเข้าไปในตรอกซอย
……
หอเหมียนชุน นี่คือซ่องโสเภณีที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง ซูหนานอีจงใจเดินอ้อมไปรอบๆหอเหมียนชุนนี้
ถนนหลายสายในที่แห่งนี้ยังไม่ได้หลับใหลลง อันเนื่องมาจากหอเหมียนชุน แม้ว่าจะดึกมากแล้วแต่ก็ยังมีตลาดกลางคืนอยู่ ซึ่งมีทั้งแผงขายผลไม้ ขนมขบเคี้ยวหลายแห่งอีกทั้งแป้งและน้ำหอมก็ยังมีขาย
ซูหนานอีเลือกอีกสิ่งของมาสองสามอย่าง ก่อนจะหันหลังเดินตรงกลับไป นางเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด และตรงที่มืดมีคนน้อย เดินไปพลางคิดขึ้นในใจว่า โอกาสดีๆเช่นนี้หากมีรีบลงมือก็คงจะเสียดายมากเลยทีเดียว เมื่อความคิดนี้แวบเข้ามาในสมอง ซูหนานอีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังของนาง คิ้วของนางขมวดขึ้นเล็กน้อย มาแล้วจริงๆ! แต่ต่อจากนั้นนางก็รู้สึกถึงความผิดปกติไป เนื่องจากจมูกสูดดมได้กลิ่นของแป้งหอมจางๆลอยมา และฝีเท้าเท่านั้นดูน้ำหนักเบาอย่างระมัดระวัง
หืม? เหตุใดจึงเป็นสตรีเล่า?