ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 78 เหนียงจื่อของข้าทำเป็นหลายอย่างยิ่ง
“เอ้า นี่ถึงแล้วล่ะ!” ซูหนานอีชี้ไปยังทะเลสาบเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลนัก
“โอโห้! ที่นี่มีทะเลสาบอยู่ด้วยหรือ” หยุนจิ่งตะโกนออกมาเสียงดัง ซูหนานอีจึงใช้นิ้วชี้สัมผัสลงตรงริมฝีปากของเขาเบาๆกล่าวว่า “ชู่ว์ จิ่งเอ้อร์เบาเสียงลงหน่อย มิเช่นนั้นของอร่อยอาจจะตกใจจนหนีไปได้”
ดวงตากลมโตของหยุนจิ่งประกอบกับแก้มอันปูดโปน มองไปเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ตัวเล็กๆ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ซูหนานอีจึงปล่อยนิ้วของนางลง “จิ่งเอ้อร์อยากจะตกปลามิใช่หรือ? ที่นี่มีปลามากเลยทีเดียว”
นางคว้ากิ่งไม้เล็กๆมาแล้วลับให้แหลม “นั่นไงจิ่งเอ้อร์ลองดูสิ”
นางเดินตรงไปที่ริมแม่น้ำแล้วยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย จิตใจจดจ่อ ดวงตาจับจ้องไปที่ผิวน้ำแล้วฟังเสียงเคลื่อนไหวด้วยหู
นางพลิกข้อมืออย่างกะทันหัน ปลายแหลมของไม้นั้นพุ่งลงไปในสายน้ำ เมื่อดึงมันออกมาอีกครั้งก็พบว่ามีปลากำลังดิ้นไปมา
“โอ้โห!” หยุนจิ่งรีบวิ่งเข้ามาปรบมือ “เหนียงจื่อช่างเก่งกาจเหลือเกิน!”
ซูหนานอีโยนปลานั้นขึ้นไปบนฝั่ง ก่อนจะส่งกิ่งไม้ให้แก่เขา “เอาสิ จิ่งเอ้อร์ลองดู”
หยุนจิ่งรับมันไปอย่างมีความสุข ส่วนซูหนานอีมองดูท่าทางและฝีก้าวของเขา ก่อนจะมองไปที่ท่าทางการจับกิ่งไม้นั้น แล้วในใจก็รู้สึกปวดร้าวขึ้นมา
ทักษะการต่อสู้ของซูหนานอีมิได้สูงมากนัก แต่ก็เพียงพอในการป้องกันตนเอง นางมองออกว่าหยุนจิ่งนั้นมีกังฟูที่ไม่แย่เลยทีเดียว
หากว่า…… นับจากกลุ่มคนที่นางรู้จัก นอกจากลู่ซือหยวนที่อาจจะพอสู้กับเขาได้ คนอื่นคงไม่มีใครมีความสามารถพอ
กู้ซีเฉินยังมิใช่คู่ต่อสู้ของหยุนจิ่ง
ช่วงที่นางกำลังเหม่อลอยก็พบว่าหยุนจิ่งจับปลาได้ตัวหนึ่งแล้ว “เหนียงจื่อรีบดูนี่สิ!”
ซูหนานอีจึงได้สติกลับคืนมาแล้วรีบก้าวไปด้านหน้า “จิ่งเอ้อร์ปลาตัวนี้ช่างตัวใหญ่เหลือเกิน มันอ้วนมาก คงต้องอร่อยแน่ๆ”
ดวงตาของหยุนจิ่งยิ้มเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว “เหนียงจื่อ พวกเรากลับจวนให้พ่อครัวทำอาหารให้กินเถิด”
“มิต้อง พวกเราจะทำกันเอง” ซูหนานอีหยิบมีดสั้นออกมาและจัดการกับปลาเหล่านั้น ก่อนจะใช้กิ่งไม้เสียบเข้าไป “อีกประเดี๋ยวพวกเราหาที่ๆเหมาะสมแล้วย่างพวกมันเสีย”
หยุนจิ่งมองไปที่นางด้วยสายตาเหลือเชื่อ แววตานั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมและเสน่หา เหนียงจื่อของข้าทำเป็นหลายอย่างเหลือเกิน!
“เหนียงจื่อ ข้าจะไปดูตรงนั้นสักหน่อย!”
“ไปเถอะ แต่อย่าไปไกลนักล่ะ” ซูหนานอีมองไปตามทางที่เขาชี้นิ้วแล้วกำชับ
“ตกลง!”
ซูหนานอี ยืนถือกิ่งไม้ที่เหลาจนปลายแหลมอยู่ข้างริมแม่น้ำ แล้วกางออก หูของนางกำลังฟังการเคลื่อนไหวรอบๆ
การที่นางเดินทางมาในวันนี้ มิใช่มาเพื่อต้องการจับปลาธรรมดาๆเท่านั้น
นางมาจับปลาใหญ่ต่างหาก
เมื่อคืนเซี่ยหล่านได้เขียนจดหมายมาถึงนาง กล่าวว่าในภูเขาเล็กๆแห่งนี้ มีบ้านไม้หลังขนาดย่อม ซึ่งผู้อาศัยคืออาจารย์และศิษย์สองคน ทั้งสองคนนี้เคยเป็นสมาชิกของหุบเขาหมอเทวดา แต่หลังจากที่จวนเทียนอีเกิดเรื่องแล้ว พวกเขาก็ได้หนีมาอาศัย ณ ที่แห่งนี้ ศิษย์สองคนนั้นจะยังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่ บัดนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร และพวกเขาถูกปีศาจเอาชนะใจได้หรือไม่ เซี่ยหล่านยังมิได้ตรวจสอบออกมา เนื่องจากหุบเขาหมอเทวดาเดิมทีก็ค่อนข้างจะลึกลับซับซ้อน และมีกฎอันระมัดระวังยิ่ง นับภาษาอะไรกับเมื่อจวนเที่ยงอีเกิดเรื่องขึ้น แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้นอีกเป็นพิเศษ ในขณะที่ซูหนานอีกำลังครุ่นคิดอยู่นั่น จู่ๆหูของนางก็ได้ยินเสียงเป็ดร้องขึ้น และตามมาด้วยเสียงอันตื่นเต้นของหยุนจิ่ง
“เหนียงจื่อ!”
ซูหนานอีหันศีรษะไปมองและพบว่าหยุนจิ่งโผล่ขึ้นมาจากกอหญ้าที่ไม่ไกลออกไปนัก เขาอุ้มเป็ดมาตัวหนึ่งไว้ในอ้อมแขน “จิ่งเอ้อร์จับเป็ดได้หรือ? พวกเรามีเป็ดย่างกินแล้วล่ะ!”
“เหนียงจื่อทำเป็นอย่างนั้นหรือ? ฟังดูแล้วน่าอร่อยนัก!” ดวงตาของหยุนจิ่งเป็นประกายและเริ่มกลืนน้ำลายลงคอ
“แน่นอนข้าทำเป็น นำมาให้ข้าเถิด แล้วจิ่งเอ้อร์จงไปเก็บกิ่งไม้แห้งมาอีก” ซูหนานอีรับเป็ดป่าไป โดยไม่ลืมที่จะกำชับว่า “อย่าไปให้ไกลนัก”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ซูหนานอีรู้วิธีทำจริงๆ ทักษะในการทำอาหารของนางไม่เลวเลย ในแต่ละปีจะมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่นางเดินทางออกไปเสาะหาวัตถุดิบทางการแพทย์ หากมิสามารถเอาชีวิตรอดในป่าได้ก็คงแย่ ทุกคนรู้ว่าว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนเทียนอีนั้นสูงส่งมากเพียงใด แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วนางมิได้เป็นสตรีผู้อ่อนแอ แต่ยังสามารถเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มีความรู้มากมาย หยุนจิ่งก็กลับมาพร้อมกับกิ่งไม้มากมาย เขาวางมันลงและจากไปอีกอย่างรวดเร็ว
ซูหนานอีมองเห็นเขาทำท่าทางอย่างสนุกสนานจึงมิได้เอ่ยปากรั้งเอาไว้ ปล่อยให้เขาเล่นตามอำเภอใจ
นางหาสถานที่ที่ใกล้กับลำธารและทำความสะอาดพื้นที่ ก่อนจะลองดูทิศทางลมเพื่อป้องกันมิให้เกิดไฟไหม้บนภูเขา
เมื่อไฟถูกจุดขึ้นหยุนจิ่งก็วิ่งกลับมาอีกครั้งด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม “เหนียงจื่อ ดูสินี่คืออะไร!”
เขาใช้ชายเสื้อห่อมันเอาไว้แล้วยื่นให้ซูหนานอีดูอย่างระมัดระวัง
มันเป็นไข่เป็ดใบกลมโตสองสามฟอง
“โอ้โห!” ซูหนานอีกล่าวออกมาอย่างมีความสุข “เอามาจากที่ใดกัน?”
“มันอยู่ในพงหญ้าแถวนั้น เหนียงจื่อ เจ้านี่กินได้ไหม?”
“กินได้สิ ใช้เวลาไม่นานก็สุก” ซูหนานอีรับไข่เป็ดไปแล้วขุดหลุมตื้นๆใต้กองไฟ วางไข่ลงไปแล้วกลบดินอย่างระมัดระวัง สายลมพัดโชยมา ใบไม้ส่งเสียงซอกแซก เปลวไฟเต้นระบำอยู่ภายใต้เป็ดป่าที่ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว
“เหนียงจื่อ ช่างหอมเหลือเกิน” หยุนจิ่งโน้มตัวเข้ามาดู
ซูหนานอีรีบดึงเขากลับมาแล้วหัวเราะเบาๆว่า “ประเดี๋ยวจะถูกผมไหม้เอา”
ดวงตาของหยุนจิ่งจับจ้องไปรอคอยอย่างมีความหวัง ที่ปลายจมูกของเขามีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย
ซูหนานอีมองไปยังเขาที่ทำท่าทางทั้งน่ารักและเชื่อฟัง จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เมื่อรู้สึกว่าเวลาน่าจะเพียงพอแล้วจึงได้ใช้ไม้เล็กๆเขี่ยไข่ออกมาก่อนจะกลิ้งมันไปหยุดอยู่ตรงหน้าหยุนจิ่ง
“เอ้านี่กินได้แล้ว กินรองท้องไปก่อน แต่ต้องรอสักครู่นะมันจะร้อนลวกมือ”
ดวงตาของหยุนจิ่งกะพริบด้วยความปีติยินดี เขาเม้มริมฝีปากแน่นแล้วใช้ไม้อันเล็กๆ เขี่ยไข่ให้กลิ้งไปมา ในที่สุดไข่ก็คลายร้อนลง เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วเคาะลงบนหินเสียงดังสนั่นกังวาน กลิ่นหอมโชยออกมา
หยุนจิ่งปอเปลือกไข่พลางเป่าให้มันหายร้อน เผยให้เห็นไข่ขาวนวลผ่องที่อยู่ด้านในอันอ่อนนุ่ม
หยุนจิ่งยกมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วนำไข่ยื่นไปทางปากของซูหนานอี “เหนียงจื่อ รีบกินเร็ว”
ซูหนานอีมองไปยังไข่ที่หอมกรุ่น และดวงตาที่ส่องประกายของหยุนจิ่ง มันบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างที่เกลือกกลิ้งไปบนใบบัวหลังฝนตกพรำ
หัวใจของนางเต้นแรงโครมคราม นางกลืนน้ำลายลงคอแล้วกัดลงไปเบาๆ “อร่อยจริงๆ! จิ่งเอ้อร์รีบกินเถอะ ยังมีอีกนะ”
เมื่อหยุนจิ่งเห็นว่านางกินเข้าไปก็มีความสุขยิ่งนัก
ซูหนานอีได้เขี่ยไข่ที่อยู่ในหลุมที่เหลือออกมาวางกองทั่วพื้นเต็มไปหมด หยุนจิ่งจึงได้เอื้อมมือไปหยิบมันมากิน
ดวงตาอันเป็นประกายดุจสายน้ำของซูหนานอีจึงได้ละสายตาหันกลับไปมองกองไฟ
ทั้งสองคนทั้งกินทั้งเล่นอย่างสนุกสนาน พวกเขามองไปรอบๆ ราวกับว่าอยู่บนสวรรค์
จนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า จู่ๆซูหนานอีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นในป่าซึ่งห่างออกไปไม่ไกลนัก
หัวใจของนางสั่นไหวเล็กน้อยแต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทว่าหยุนจิ่งที่กำลังมองหาไข่เป็ดในพงหญ้ากระซิบขึ้นว่า “เหนียงจื่อ มีคนมา”
“จิ่งเอ้อร์หูดีเสียจริง แต่ว่าอย่าได้กล่าวอันใดไป เราดูก่อนว่าเป็นผู้ใดและจะทำอะไร”
“อืม” หยุนจิ่งพยักหน้าตอบรับ
เสียงฝีเท้าท่ามกลางป่านั้นหยุดลง ซูหนานอีสัมผัสได้ว่ามีดวงตาสองคู่จับจ้องมาที่ตัวนางและหยุนจิ่ง
แต่นางหาได้สนใจไม่ กลับลุกขึ้นยืนเก็บกวาดกองไฟและดับไฟทั้งหมดจนมอด
หลังจากมองดูอยู่สักครู่ทั้งสองคนก็ได้เดินออกมา ชายที่อยู่ด้านหน้ายิ้มแล้วกล่าวว่า “แม่นาง หากจะทำสิ่งนี้ต้องตั้งใจกว่านี้สักหน่อย ควรแน่ใจว่าได้ดับไฟจนมอดสิ้นแล้ว มิเช่นนั้นอาจเกิดไฟไหม้ลุกลามได้”
ซูหนานอีสะดุ้ง ทำเหมือนกับเพิ่งจะพบพวกเขาและเงยหน้าขึ้นมาทันใด
เดิมที่นางคิดว่าจะเป็นศิษย์ทั้งสองคนนั้น แต่คาดไม่ถึงว่าคนที่กล่าวออกมานั้นคือคนแซ่หลิวที่พบในวัดกวนอิมในวันนั้น
ซูหนานอีเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ข้า…… เข้าใจแล้ว ท่านผู้เฒ่าโปรดวางใจได้”
นางแสร้งทำเป็นลดเสียงหลงสีหน้าดูเขินอายเล็กน้อย
“ท่านหลิว อย่าทำให้แม่นางน้อยต้องตกใจเลย” ชายชราอีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆๆ ข้าดุเช่นนั้นเชียวหรือ? แม่นางน้อยอย่าต้องกลัวไป ข้าแซ่หลิวนามว่าหลิวว่านเพ่ย มิใช่คนเลวอะไร”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูหนานอีก็สั่นไหวเล็กน้อยหลิวว่านเพ่ย ชื่อนี้ดูคุ้นเคยเสียจริง นางเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อนกันแน่นะ?
แต่นางก็หาได้เอ่ยสิ่งใดออกมา กลับมองไปที่หลิวว่านเพ่ยแล้วพยักหน้าด้วยความตื่นตระหนก
หยุนจิ่งวิ่งมาจากไหนที่ไม่ไกลนัก เขาเข้ามาบังไว้ด้านหน้าซูหนานอี “เจ้าจะทำอะไร?”
หลิวว่านเพ่ยและชายชราที่อยู่ข้างๆสบตากันแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณชายน้อยอย่าได้กังวลใจไปเลย พวกเรามิได้ทำสิ่งใด เพียงแค่ตักเตือนให้นางดับไฟให้มอดก่อนเท่านั้นเอง”
หยุนจิ่งเม้มริมฝีปากเข้าหากัน “เหนียงจื่อของข้าบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และพวกเราจะปฏิบัติอย่างระมัดระวัง”
สายตาของหลิวว่านเพ่ยหันมามองที่หยุนจิ่ง เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่คือสองสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกัน แม้ว่าการเเต่งกายจะไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่ในเมืองซินเยว่นี้ก็มีผู้มั่งคั่งไม่น้อย ที่จริงมันก็ไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติอะไรแต่เหตุใด……เขาจึงรู้สึกกระสับกระส่ายใจเช่นนี้กัน?