ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 77 เกมเปลี่ยนหน้า
หลี่จิ้งหว่านคำนับให้ซูหนานอีอย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณยิ่งนัก”
มือของซูหนานอีถือกริชเอาไว้แล้วจับจ้องไปที่หลิวลี่ซงทำท่าครุ่นคิด “ข้าควรจะ…… จัดการเจ้าอย่างไรดี?”
หลิวลี่ซงรู้สึกถึงความเย็นชาผ่านเข้ามาในสมอง เขาไม่กลัวหลี่จิ้งหว่าน อย่างมากสุดก็เพียงแค่โกหกนางแล้วรีบปลีกตัวออกมา แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซูหนานอี เขามักรู้สึกว่าตนนั้นไม่ต่างอะไรกับเด็กอายุสามขวบ ที่ไม่ว่าจะทำอะไรนางก็มองออกไปเสียทุกอย่าง
“อาหว่าน ได้โปรดเถิด โปรดเห็นแก่รักของเราในอดีต……”
เขายังไม่ทันพูดจบ กริชในมือของซูหนานอีก็จ่อเข้าให้ที่คอของเขา “เจ้าลองกล่าวออกมาอีกสักคำ!”
หลิวลี่ซงจึงได้หุบปากแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
“ความรักในอดีตอย่างงั้นหรือ มีความรักอะไรให้พูดถึงกัน? ตอนที่เจ้าและชุ่ยจือดื่มสุราด้วยกัน เหตุใดเจ้าจึงไม่คิดถึงความรักในอดีตล่ะ หืม?”
ใบหน้าของหลิวลี่ซงขาวซีด เม็ดเหงื่อหยดลงบนมาจากหน้าผาก
ซูหนานอีเก็บกริชเล่มนั้นลงแล้วกล่าวกับเสี่ยวชีว่า “จงไปจัดเตรียมรถม้า เราจะไปที่ศาลจิงจ้าวกัน”
“เจ้าค่ะ”
ซูหนานอีและหยุนจิ่งมัดตัวหลิวลี่ซงแล้วพามายังที่ศาลจิงจ้าว ส่วนหลี่จิ้งหว่านนั้นเดินกลับไปที่เรือนเล็กโดยมิได้แม้แต่หันหลังกลับมามอง นับแต่นี้เป็นต้นไปนางกับหลิวลี่ซงหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก
เจ้าเมืองจ้าวแห่งศาลจิงจ้าวหงุดหงิดยิ่งนัก ในตอนแรกคนจากจวนเจ้ากรมกล่าวว่าจะมาขอตัวแม่นางจิ่น จากนั้นก็มีคดีหญิงสาวหายตัวไป ซึ่งบัดนี้มิเพียงแต่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ อีกทั้งยังมีคนหายตัวไปเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เซี่ยหล่านที่เขามิชื่นชอบเป็นที่สุด ก็ยังเดินทางมาที่เมืองวินเยว่และเข้าฟ้องร้องอยู่ถึงสองคดี
เซี่ยหล่านไม่ชื่นชอบที่เจ้าเมืองจ้าวเป็นคนซื่อตรงเกินไปไม่อ้อมค้อม ส่วนเจ้าเมืองจ้าวไม่ชื่นชอบที่เซี่ยหล่านมีแต่ความคิดอันคดโกงไม่สุจริต ทั้งสองคนต่างไม่ชอบมาพากลซึ่งกันและกัน เดิมที่คิดว่าเมื่อแยกจากกันที่เจียงหนานแล้วก็คงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าผ่านไปเพียงแค่พริบตาเดียวพวกเขาก็ได้มาพบกันอีกครั้ง
เจ้าเมืองจ้าวพยายามเก็บความรู้สึกโมโหเหล่านั้นลงไป และ ณ วินาทีนั้นเขาก็ได้ตั้งใจแล้วว่าคดีนี้จะต้องจัดการให้ได้ มิเช่นนั้น คงจะถูกเจ้าหมอนี่หัวเราะเยาะเย้ยเอาเป็นแน่! ซึ่งเขาคงไม่อาจทนได้!
หากเปรียบเทียบกันแล้ว แม้ว่าเรื่องในจวนของท่านเจ้ากรมจะดูยุ่งยากกว่าสักหน่อยแต่จัดการได้ง่ายกว่ามากนัก เขาได้จัดเตรียมเขียนหนังสือฟ้องร้อง โทษฐานหละหลวมต่อการปกครองและประมาทเลินเล่อต่อชีวิตของผู้อื่น
ในขณะที่กำลังร่างหนังสืออยู่นั้น ก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามารายงานว่า “นายท่านขอรับ ที่ด้านนอกมีคนเข้ามาร้องเรียน กล่าวว่าเกี่ยวข้องกับคดีที่มีสตรีสูญหาย”
“งั้นรึ” เจ้าเมืองจ้าวรีบวางพู่กันลงทันใด “เร็วเข้า รีบไปที่ห้องโถง”
“……นายท่านขอรับ อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวว่าเพียงต้องการมาให้เบาะแสแก่พวกเรา มิใช่มามอบตัวหรือมาร้องทุกข์แต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่อยากจะเปิดเผยให้เป็นสาธารณะ”
สำหรับเจ้าเมืองจ้าวแล้ว ความซื่อตรงเป็นอำนาจสูงสุดของกฎหมาย ส่วนเรื่องวิธีการจัดการนั้นสามารถยืดหยุ่นได้ โดยปกติแล้วเขาก็มิได้ว่างท่าแต่อย่างใดเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้จึงมิได้ขัดแย้งรำคาญ “ตกลง เช่นนั้นให้พวกเขามาพบข้าที่นี่เถิด”
“ขอรับ!”
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น เจ้าเมืองจ้าวจึงได้เงยหน้าขึ้นมองดูและพบชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาจากประตู เขาอดไม่ได้ที่ดวงตาจะสว่างเป็นประกาย
สตรีนั้นช่างงามเลิศ ส่วนชายหนุ่มก็หล่อเหลา จะดูยังไงก็ช่างงดงามตา
ประเดี๋ยวนะ! สตรีนางนี้มิใช่คุณหนูแห่งจวนซูหรอกหรือ? เมื่อหันไปมองดูชายหนุ่ม เจ้าเมืองจ้าวก็ได้กระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ
“ท่านอ๋อง?” เจ้าเมืองจ้าวรีบก้าวหน้าไปเพื่อคารวะ “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง”
นายทหารผู้นั้นก็ตกตะลึงเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าหยุนจิ่งมองไปช่างคุ้นตานัก แต่ต่อมาเมื่อเห็นเขาหิ้วชายคนหนึ่งเข้ามา อีกทั้งยังทำท่าทางเชื่อฟังซูหนานอี มันช่างไม่เหมาะสมกับตัวตนของท่านอ๋องเอาเสียเลย
หยุนจิ่งหาได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา
เจ้าเมืองจ้าวลุกขึ้นแล้วมองไปทางซูหนานอี “คุณหนูซู มิทราบว่า……”
“ตุ๊บ!” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะคำพูดของเจ้าเมืองจ้าว
จนทำให้เขาตกสะดุ้งตกใจถอยหลังออกไป เมื่อมองอย่างตั้งใจพบว่าที่รอบข้างมีคนหนึ่งถูกมัดเอาไว้และสลบล้มลง
หยุนจิ่งปัดมือไปมากล่าวว่า “เขานี่แหละ เขาเที่ยวแจกจ่ายใบปลิวและออกตามหาใครบางคนบนท้องถนน”
ซูหนานอีมอบใบปลิวนั้นไปให้ฉบับหนึ่ง เป็นฉบับที่เขียนด้วยลายมือของหลิวลี่ซงและนำแจกจ่ายตรงถนน
“ท่านเจ้าเมืองจ้าว ชายผู้นี้แจกจ่ายใบปลิวที่บนถนน กล่าวว่าตนมีความรักอย่างลึกซึ้งกับคุณหนูหลี่
เจ้าเมืองจ้าวรับใบปลิวไปดู เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วกล่าวว่า “ช่างน่ารังเกียจเสียจริง! ข้าจะต้องสอบสวนคดีนี้อย่างดีเป็นแน่!”
น้ำเสียงของซูหนานอีลดต่ำลง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความจริงจังกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองจ้าว ในวันนั้นหลังจากที่ท่านเดินจากไป ข้าน้อยก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง เป็นคุณหนูตระกูลหลี่หรือผู้ใดกันแน่ที่เดินทางไปจุดธูปในวันนั้น?”
เจ้าเมืองจ้าวลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับไปว่า “คุณหนูซู ความจริงแล้วเรื่องเกี่ยวกับคดีนี้ ข้ามิสมควรจะกล่าวออกมา แต่เรื่องนี้คุณหนูเป็นผู้หาเบาะแสสำคัญมาให้เรา ข้าข้อกล่าวตามความจริงมิอย่างมีปิดบังว่า แท้จริงแล้วตระกูลหลี่ได้หาตัวแทนมา และให้คุณหนูจิ้งหมิ่นไปจุดธูปแทน”
ซูหนานอีทำท่าทางประหลาดใจออกมา “ถ้าเช่นนั้น หมายความว่าตระกูลหลี่ช่างใจกล้าเหลือเกิน แม้แต่คนของพระชายา ก็ยังกล้ามาสับเปลี่ยน! อีกทั้งในขณะนี้ เจ้าหมอนี่ยังได้เผยแพร่ใส่ร้ายความบริสุทธิ์ของคุณหนูลี่บนท้องถนนอีกด้วย!”
ดวงตาของเจ้าเมืองจ้าวเบิกกว้างเป็นประกาย “จริงสิ ช่างบังเอิญเหลือเกิน!” การแย่งชิงในเรือนหลัง เจ้าเมืองจ้าวเองก็พบมามิน้อย จู่ๆสมองของเขาก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของหลิวลี่ซงเป็นประกายมองไปที่บริเวณเข็มขัดของหลิวลี่ซงซึ่งมีบางสิ่งโผล่ออกมา
เขายื่นมือออกไปดึงและพบว่ามันเป็นผ้าเช็ดหน้าของสตรี
ดวงตาของซูหนานอีเปล่งประกายออกมาก่อนจะโค้งคารวะเจ้าเมืองจ้าวกล่าวว่า “ในเมื่อข้าน้อยได้นำคนมาให้แล้ว ก็คงมิขอรบกวนในฐานในการสืบสวนคดีอีกต่อไป”
เจ้าเมืองจ้าวพยักหน้า จากนั้นหันไปทำความเคารพหยุนจิ่งก่อนจะส่งพวกเขาออกจากประตูไปด้วยตนเอง
ทันทีที่ขึ้นไปบนรถม้า ยังมิทันจะได้ขับออกไปก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้ามาแต่ไกล ผู้ที่นำหน้ามานั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ส่วนด้านหลังเป็นพวกลูกน้องอีกสิบกว่าคน
หยุนจิ่งเหลือบมองผ่านช่องว่างของประตูหน้าต่างรถม้าแล้วกล่าวว่า “เหนียงจื่อ โจวเฉิง!”
“อย่าไปสนใจเขาเลย พวกเราไปกันเถอะ”
หยุนจิ่งจึงลดม่านลงอีกครั้งอย่างว่าง่าย ใช่แล้ว เหนียงจื่อเคยกล่าวว่ามิให้ไปเล่นกับพวกโจวเฉิง
“เอ่อ เหนียงจื่อ……พวกเรา จะไม่ไปดูเจ้าเมืองจ้าวหน่อยหรือ?” หยุนจิ่งกล่าวออกมาด้วยความกังวลเล็กน้อย
เจ้าเมืองจ้าว ตาเฒ่าผู้นั้นมองดูแล้วก็เป็นคนดีมากทีเดียว
ซูหนานอีดูเหมือนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “เขาน่ะหรือ เก่งกาจจะตายไป เรื่องในตระกูลโวจรับรองว่าเขาจัดการได้ง่าย แต่จะว่าไป…… ที่จิ่งเอ้อร์กล่าวก็ถูกแล้ว พวกเราควรจะช่วยเขาสักหน่อย”
“จะช่วยอย่างไรหรือ?” หยุนจิ่งถามพลางกะพริบตา
“ต้องรอให้ถึงกลางคืนเสียก่อน” ซูหนานอีมองออกไปที่นอกหน้าต่าง “จิ่งเอ้อร์ เย็นนี้ข้าจะพาเจ้าไปกินอาหารอร่อย! เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วก็คงได้เวลาเดินทางไปช่วยเจ้าเมืองจ้าวพอดี”
“ตกลง! ตกลงตามนั้น! ข้าชื่นชอบอาหารอร่อย” ดวงตาของหยุนจิ่งเต็มไปด้วยประกายแวววาว ถ้าได้กินกับเหนียงจื่ออะไรก็อร่อยทุกอย่าง”
หัวใจของซูหนานอีอ่อนระทวยราวกับสายน้ำ ผู้ใดเล่าจะทนทานได้
รถม้าค่อยๆขับเคลื่อนออกจากประตูเมืองไปยังเชิงเขาทางด้านตะวันตกของเมือง
ซูหนานอียิ้มออกมาแล้วกล่าวอย่างลึกลับว่า “จิ่งเอ้อร์ พวกเรามาเล่นเกมเปลี่ยนหน้ากันดีไหม?”
“เปลี่ยนหน้าหรือ? ตกลง!”
“เช่นนั้นเจ้าจงหลับตาลงเถิด” ซูหนานอีหยิบของออกมาจากกล่องหนังสองสามอย่างแล้วทาลงไปที่หน้าของหยุนจิ่ง
เพียงชั่วครู่ หน้าตาของหยุนจิ่งก็เปลี่ยนไปอย่างยิ่ง
จากนั้นซูหนานอีก็จับการทาบางอย่างบนใบหน้าของนางเอง ผิวของนางเข้มขึ้นเป็นสีเหลืองคล้ำ คิ้วของนางหนาขึ้นมากกว่าเดิม หางตายาวขึ้น อีกทั้งยังมีกระฝ้า ที่ด้านใต้ปากของนางยังมีไฟขนาดเท่าเมล็ดถั่วด้วย
หยุนจิ่งเบิกตากว้างมองดูนางด้วยความประหลาดใจ “เหนียงจื่อ เจ้า……”
ซูหนานอีขยิบตาให้เขาแล้วกะพริบตารัวๆ “นี่คือเกมเปลี่ยนหน้า และเป็นความลับของข้ากับจิ่งเอ้อร์เพียงแค่สองคน ห้ามบอกกับคนอื่นเชียวนะ”
หยุนจิ่งจึงหุบปากแล้วพยักหน้าอย่างตั้งใจจริงจัง “อืม”
แม้ว่าบัดนี้จะเป็นฤดูร้อน แต่อากาศที่ในที่แห่งนี้ค่อนข้างจะเย็นกว่าที่อื่น มีต้นไม้เป็นร่มเงาแสงแดดอันอบอุ่นส่องผ่านกิ่งก้านของใบไม้มาจึงทำให้เบาบางลง
“เหนียงจื่อ ที่นี่ช่างเย็นสบายดีเหลือเกิน” หยุนจิ่งหรี่ตาลง จากนั้นสัมผัสถึงความรู้สึกลมจากภูเขาที่พัดโชยมาแล้วเอ่ยชื่นชมด้วยความสบายใจ
“มิใช่แค่เย็นสบายอย่างเดียวนะ ที่นี่มีของอร่อยให้กินด้วย!” ซูหนานอียื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อของเขาแล้วเดินตรงเข้าไปในป่า
“ที่แห่งนี้มีอะไรอร่อยกินกัน?” หยุนจิ่งถามออกมาด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น
“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็รู้แล้ว”
ทั้งสองคนวิ่งไปตามต้นไม้เล็กๆเหล่านั้น เสียงสายลมโชยพัดมาเข้าหูและพัดเอาชายเสื้อปลิวไสว ราวกับสามารถปัดความหม่นหมองทิ้งไปได้ หยุนจิ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ซูหนานอีหันไปมองดูเขา แสงอาทิตย์บางเบาตกกระทบไปที่ร่างของเขา สะท้อนเข้าไปในดวงตาเปรียบเสมือนกับดวงดาวที่สว่างเจิดจ้า ซูหนานอีจึงได้หัวเราะตามเขา เสียงหัวเราะนั้นแผ่ขยายไปไกล