ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 76 สาธิตการตบหน้า
ซูหนานอียังคงมิได้หันหลังกลับไปมอง แต่กลับคงเดินอยู่ในตรอกอันมืดนี้
จู่ๆคนที่ด้านหลังของนางก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ?”
เมื่อซูหนานอีได้ยินเสียงนี้ก็หันศีรษะไปทันที แสงจากดวงจันทร์ที่ส่องกระทบมาทำให้เห็นชัดว่าขอนี่ก็คือชุนหลิงนั่นเอง
“เจ้า? เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่?” ซูหนานอีเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
ชุนหลิงยกถุงกระดาษในมือขึ้นพลางเดินไปหานาง “บ่าวมาซื้อขนมให้แม่นางหลิ่วเจ้าค่ะ”
“เจ้าช่างเป็นบ่าวที่จงรักภักดียิ่งนัก” ซูหนานอีเยาะเย้ยเล็กน้อย “อยู่กับเจ้านายคนใหม่เป็นอย่างไรบ้าง?”
ดูเหมือนว่าชุนหลิงจะฟังไม่ออกถึงความหมาย นางจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดีทีเดียวเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูที่เป็นห่วงเป็นใย แม่นางหลิ่วมีนิสัยอ่อนโยนและปฏิบัติต่อสาวใช้ไม่เลวเลย”
ซูหนานอียังไม่ทันได้กล่าวอะไรออกมาอีก นางใช้เพียงความเงียบเข้าตอบโต้ และดูว่าชุนหลิงต้องการทำอะไรกันแน่
“คุณหนูเจ้าคะ เดิมทีบ่าวต้องการจะใช้เส้นทางลัดนี้ แต่ทว่าตอนนี้ท้องฟ้ามืดน่ากลัวเหลือเกิน บ่าวกลัว บ่าวขอติดตามกลับไปพร้อมคุณหนูไปด้วยได้หรือไม่?”
ซูหนานอีพยักหน้าเล็กน้อย “ได้สิ”
ชุนหลิงจึงรีบโค้งคารวะขอบคุณ แววตาของนางมีความโหดร้ายผ่านแวบเข้ามาเป็นประกาย
เมื่อเดินไปถึงตรงทางแยก จู่ๆชุนหลิงก็ลื่นไถลและล้มลงบนถนน
ซูหนานอีหยุดฝีเท้าและหันกลับมามองนาง “เป็นอะไรหรือ?”
“คุณหนูเจ้าคะ ดูเหมือนว่าบ่าวจะข้อเท้าเคล็ด……” ชุนหลิงสูดหายใจเข้า ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา
ซูหนานอีเอนตัวลงมาเพื่อต้องการดูว่านางได้รับบาดเจ็บอย่างไร ในขณะที่นางกำลังก้มศีรษะลงไปนั้นจู่ๆชุนหลิงก็โบกมือขึ้น หมอกควันสีชมพูจางระเบิดขึ้นต่อหน้านาง กลิ่นหอมหวานกระจายออกไปทั่วทันที! ท่ามกลางผงฝุ่นนั้น ซูหนานอีเห็นได้ชัดว่าแววตาของชุนหลิงเต็มไปด้วยความชั่วร้ายน่าสะพรึงกลัว และยังมีความเย่อหยิ่งอยู่ด้วย
แต่ทันใดนั้นชุนหลิงก็รู้สึกตกใจและสับสน ฝุ่นผงเริ่มจะจางหายไปท่ามกลางอากาศด้วยกลิ่นอันหอมหวาน มันจางหายไปอย่างรวดเร็วแต่ว่า……
ดูเหมือนซูหนานอียังคงมีสติดี! ดวงตาดำเข้มคู่นั้นยังคงเป็นประกายในยามค่ำคืนราวกับมีดคมที่ตัดเข้าไปยังขั้วหัวใจ
ความเย่อหยิ่งในดวงตาของชุนหลิงเมื่อสักครู่เปลี่ยนไปเป็นความตื่นตระหนก “ท่าน……”
นางกล่าวได้เพียงคำเดียว ก็พบว่าซูหนานอียกมือขึ้นจากนั้นนางก็รู้สึกเจ็บบริเวณท้ายทอยแล้วภาพตรงหน้าก็มืดมนไปทันที
ซูหนานอีหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น จากนั้นใช้มือเอื้อมไปค้นหาขวดกระเบื้องเล็กๆมา ด้านในเป็นยาเม็ดเล็กสีชมพู นางนำมันขึ้นมาดมแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะหยิบมาสองเม็ดแล้วบีบปากชุนหลิงบังคับให้นางกลืนลงไป ในที่ไม่ไกลออกไปนักมีใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้ๆ ชั่วพริบตาเดียวซูหนานอีก็ได้ปลดถุงใส่ตราหยกตรงเอวออกมาสับเปลี่ยนกับชุนหลิง ก่อนจะหลบซ่อนไปยังข้างทางอันมืดมิด
ผู้ที่เดินทางมานั้นเป็นชายสองคน พวกเขาก้มหน้าลงมองดูชุนหลิงที่สลบอยู่ก่อนจะตบหน้าของนางเบาๆ เมื่อสังเกตเห็นท่าทางของนาง ชายคนหนึ่งจึงได้ยิ้มออกมาเบาๆว่า Wช่างโหดเหี้ยมเสียจริง ยาเช่นนี้ยังให้นางกินได้ถึงสองเม็ด คืนนี้คงมิได้พักผ่อนกันพอดี”
ชายอีกคนหนึ่งหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย “จะเป็นไรไปเล่า เรียกสหายมาอีกสักสี่ห้าคนก็ได้มิใช่หรือ?”
“จะว่าไปก็ถูก ไปเถอะ พวกเราไปหาความสุขกัน”
ทั้งสองคนนำชุนหลิงใส่ลงไปในกระสอบแล้วแบกขึ้นสู่อก เดินทางออกจากตรอกนั้นอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของซูหนานอีมืดมนลงทันใด ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและโมโห นี่ต้องการทำให้นางถึงแก่ชีวิตเลยหรือไร! นางมิลังเลและรีบติดตามพวกเขาไปท่ามกลางความมืด
ทั้งสองคนเดินไปถึงตรงซอยก็มีรถม้าจอดรออยู่ที่นั่น
ซูหนานอีพบว่าทิศทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปนั้นคือทางตรงข้ามกับหอเหมียนชุนก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อหวนนึกดูดีๆ ชายหนุ่มสองคนเมื่อครู่ดูเหมือนจะมิใช่คนของหอเหมียนชุน
แม้ว่าในหอเหมียนชุนนั้นจะมีพวกลูกจ้างผู้ชายอยู่บ้าง แต่ทั้งสองคนนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ฟังจากน้ำเสียงการพูดจาและท่าทางอันกระฉับกระเฉง พวกเขา……มีรังสีโหดเหี้ยมอำมหิต
ในใจของนางสะดุ้งทันใด ขณะที่ต้องการติดตามไปนั้นจู่ๆก็พบร่างหนึ่งจากทางด้านหลังกระโดดลงมาจากต้นไม้ นางหันหลังกลับไปมองพบว่าเป็นเซี่ยหล่าน
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” นางผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เซี่ยหล่านเองก็มองนางด้วยสายตาประหลาดใจ Wข้าติดตามเจ้าสองคนนั่นมา บัดนี้มิมีเวลาอธิบาย ไว้ข้าจะไปหาเเล้วเล่าให้ฟังวันหลัง”
“ย่อมได้ ข้าจะเล่าให้ฟังระหว่างทาง”
พวกเขาติดตามรถม้าไป ซึ่งรถคันนั้นมุ่งหน้าไปทางประตูเมือง ทว่าบัดนี้กลอนประตูเมืองได้ปิดลงตั้งนานแล้ว ในใจซูหนานอีรู้สึกสงสัยยิ่งนัก พวกเขาจะไปยังประตูเมืองเพื่อสิ่งใด?
นอกเสียจาก……
เป็นจริงดังนั้น เมื่อรถม้าขับไปถึงหน้าประตูเมืองก็หยุดลง มิรู้ว่าคนขับแสดงสิ่งใดแก่ทหารเฝ้ายาม ทหารผู้นั้นจึงได้ถอยออกไปแล้วเปิดประตูเมืองออก ขับรถม้ามุ่งตรงออกไปจากประตูเมืองด้วยความรวดเร็ว
ซูหนานอีรู้สึกว่ามือเท้าเยือกเย็น เซี่ยหล่านผิวปากจากนั้นก็มีเงาดำพุ่งมาตกลงบนมือของเขา มันคือนกพิราบส่งสารนั่นเอง
เซี่ยหล่านให้อาหารมันจากนั้นผูกปล้องไม้ไผ่เล็กๆเข้าที่ขา พิราบสีดำก็กางปีกออกบินหายลับไปในท้องนภา
“เล่าให้ข้าฟังได้หรือยัง? ทั้งสองคนนั่นเป็นใคร?” ซูหนานอีถาม
เซี่ยหล่านหันศีรษะมามองนาง “เป็นคนจากภูเขาโพ่หลาน”
ซูหนานอีตกตะลึง “เขาโพ่หลาน? หมายถึงพวกโจรป่างั้นหรือ?”
เซี่ยหล่านพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว เดิมทีพวกเขาเป็นโจรป่า ต่อจากนั้นเมื่อองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังค์ก็ได้เรียกเข้ารับใช้รับสั่งให้กลับตัว น่าแปลกหรือไม่?”
เซี่ยหล่านหัวเราะออกมาเบาๆ รอยยิ้มนั้นยังมิทันไปถึงดวงตาก็เปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น
ซูหนานอีสูดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆ “พวกโจรเหล่านั้นฆ่าคนดุจดั่งหมูหมากาไก่ แม้แต่คนแก่และเด็กๆก็ยังมีอยู่ละเว้น ขอให้ฆ่าพวกเขาสักสิบครั้งก็มีพอ!”
กู้ซีเฉิน ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ!
“เหตุใดเจ้าจึงสังเกตเห็นพวกเขาได้?” เซี่ยหล่านเอ่ยทัก
ซูหนานอีหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “มิใช่ว่าข้าสังเกตเห็นพวกเขาหรอก เป็นพวกเขาต่างหากที่จับจ้องข้าอยู่ กล่าวให้ถูกก็คือมีคนจัดฉากให้เป็นเช่นนี้ แต่จะเป็นใครนั้นตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้”
นางดึงแขนเสื้อลง “บางทีพรุ่งนี้อาจจะรู้ก็ได้”
……
บัดนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว แต่ไฟในจวนซูเรือนของซูหว่านเอ้อร์ยังคงส่องสว่างอยู่ นางเดินเท้าเปล่าไปบนพื้น ผมเผ้ากระจัดกระจายดูเหมือนผี ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้านหรือสาวใช้ข้างกายนางก็ไม่กล้าเข้าใกล้ หากไม่ใช่เพราะนางเรียกเข้าไปรับใช้ คงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นางนอกจากแม่บ้านชุย
“คุณหนูเจ้าคะ ดึกมากแล้วควรรีบพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ซูหว่านเอ้อร์เดินไปเดินมารอบๆเรือน “มิได้ ถ้าจะพักผ่อนมิได้ ชุนหลิงเล่า? ยังไม่กลับมาหรือ?”
แม่บ้านชุยมองไปที่ประตูแล้วกระซิบว่า “คุณหนูเจ้าคะลืมไปแล้วหรือไร ชุนหลิงไปรับใช้แม่นางหลิ่วแล้ว นางจะมิกลับมาอีก”
สีหน้าของซูหว่านเอ้อร์ตึงเครียดขึ้นมาทันใด “แต่ค่ำคืนนี้ไม่เหมือนเดิม ข้ากำลังรอข่าวจากนางอยู่ นางกล้าดีอย่างไรที่ไม่มา!”
ใบหน้าของแม่บ้านชุยเต็มไปด้วยความเป็นห่วงกังวล “คุณหนูเจ้าคะ พักผ่อนก่อนเถิด เดี๋ยวรอให้ชุนหลิงมาแล้วบ่าวจะไปเรียกดีหรือไม่?”
ซูหว่านเอ้อร์เม้มริมฝีปากลง ทันใดนั้นดูเหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงได้หันกลับไปนั่งลงที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อส่องกระจกดู คนที่อยู่ในกระจุกนั้นทำให้นางอุทานออกมาด้วยเสียงอันดัง แล้วใช้มือปิดบังใบหน้า ปิดปากของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆกางออกและแหวกผมช้าๆ แสงจันทร์ที่ส่องประกายมายังฉากนี้ทำให้คนที่พบเห็นชวนขนลุกเล็กน้อย
แม่บ้านชุยมองไปยังนางแล้วกดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ แต่ภายในใจช่างรู้สึกมีความสุขนัก
ซูหว่านเอ้อร์จับไปยังใบหน้าของนางแล้วมองไปทางแม่บ้านชุยกล่าวถามขึ้นอย่างช้าๆว่า “ข้างามหรือไม่?”
แม่บ้านชุยรีบตอบกลับว่า “คุณหนูงดงามยิ่งเจ้าค่ะ”
ซูหว่านเอ้อร์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “แน่นอนว่าข้าสวยกว่านางซูหนานอี! ข้ามีชีวิตการเป็นอยู่และเสื้อผ้าที่สวมใส่ดีกว่านา! นางคิดว่าตนเป็นใครกัน? นางถูกข้าเหยียบย่ำตั้งหลายต่อหลายปีมา ตอนนี้…… ตอนนี้ก็แค่…… เรื่องบังเอิญเท่านั้นแหละ!”
“ข้าจะต้องแย่งเอาทุกสิ่งอย่างมาจากนาง!”
แม่บ้านชุยก้มศีรษะโน้มตัวลงกล่าวว่า “เจ้าค่ะ คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก”
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังขึ้นเบาๆตรงนอกประตูเรือน
ซูหว่านเอ้อร์กระโดดลุกขึ้นยืนทันที สายตาของนางมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง แต่นับจากครั้งนั้นที่นางได้ฆ่าสาวใช้ของนางตายไปแล้ว นางก็ไม่กล้าออกไปที่ลานบ้านในตอนกลางคืนอีกเลย
“เจ้าจงไปดูว่าเป็นนังบ่าวชุนหลิวหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” แม่บ้านชุยรีบรับคำสั่งและวิ่งไปที่ประตูเรือน ก่อนจะกระซิบถามเบาๆว่า “ผู้ใด?”