ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 69 ข้าเป็นคนสำคัญที่สุด
ใต้เท้าจ้าวรีบเข้าไปที่จวนตระกูลหลี่ พอฮูหยินหลี่เห็นเขาก็ร้องห่มร้องไห้ออกมา บอกว่าบุตรสาวของตนโชคชะตารันทด
ใต้เท้าจ้าวนิ่งฟังนางร้องไห้จนเสร็จ ถึงเอ่ยถาม: “ฮูหยินหลี่ ท่านมีบุตรสาวกี่คน”
ฮูหยินหลี่ถึงกับอึ้ง หลับตา “แน่นอนว่ามี……”
“ท่านลองคิดดีๆ แล้วค่อยพูด” ใต้เท้าจ้าวพูดแทรกนางขึ้นมา “ข้าถามว่ามีบุตรสาวกี่คน ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวนอกสมรส ไม่ว่าจะเป็นบุตรที่ไม่ถูกยอมรับ มีกี่คนก็นับมาให้หมด”
ฮูหยินหลี่ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “มีสองคน”
“ใต้เท้าจ้าวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แล้วอีกคนล่ะ ออกมาให้ข้าเจอหน่อย”
“เอ่อนั่นเป็น…เป็นบุตรสาวของภรรยาเก่าของสามีข้า ไม่เคยเจอหน้ามาก่อน นิสัยแข็งกระด้าง เกรงว่าจะทำให้ใต้เท้าจ้าวตกใจ อีกอย่าง นางกับเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน”
“มีหรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าต้องสืบดูก่อนถึงจะทราบได้ ฮูหยินหลี่ไม่ต้องพูดให้มากความ รีบนำคนออกมา ข้าทำงานมาหลายคดี คนอย่างไรข้าก็เคยเจอมาแล้ว”
ฮูหยินหลี่ถึงกับหน้าซีด ท่าทางอึกอักไปชั่วครู่ ถึงได้ตอบปากรับคำเสียงเบา: “นาง……นางไม่รู้ไปไหนแล้ว”
“อะไรนะ” ใต้เท้าจ้าวขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม แล้วลุกขึ้นทันที “หมายความว่า บ้านท่านมีบุตรสาวหายตัวไปสองคนอย่างนั้นหรือ”
ฮูหยินหลี่ก็ลุกขึ้นตามพร้อมกับซับน้ำตา: “……เจ้าค่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน บุตรสาวของข้าออกไปแล้วไม่กลับมาอีก สาเหตุมาจากมีเรื่องในจวน สามีตำหนินางไม่กี่คำ ใครจะคิดว่านางจะโกรธโมโหแล้วก็ออกจากจวนไปโดยไม่สนอะไรเลย”
ใต้เท้าจ้าวหน้าเคร่ง “งั้นข้าขอสอบถามท่านหน่อยว่า คนที่ไปจุดธูปเป็นหลี่จิ้งหว่านหรือหลี่จิ้งหมิ่น”
ฮูหยินหลี่คิ้วขมวดเล็กน้อย รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แต่นางก็กัดฟันไม่ยอมรับ : “แน่นอนว่าเป็นบุตรสาวของหญิงโสเภณีนั่น จิ้งหว่าน”
ใต้เท้าเจ้าเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าเป็นผู้ว่าการที่ที่ว่าการจิงจ้าว ในเมื่อพวกท่านขอร้องให้ข้าตามหาบุตรสาวของท่านเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ก็ควรจะพูดความจริงออกมา มิเช่นนั้นหากข้าสืบได้ว่าพวกท่านให้การเท็จ พอถึงตอนนั้นข้าก็จะตัดสินโทษพวกท่าน! โดยไม่สนใจว่าพวกท่านจะได้รับความลำบากหรือไม่!”
ฮูหยินตกใจกลัว คิดว่าจะทำอย่างไรดี นายท่านหลี่ก็กลับมาจากข้างนอกแล้วเดินเข้ามาข้างในอย่างรีบเร่ง หลังจากถามหาสาเหตุเรียบร้อยแล้ว ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างประหม่า
ใต้เท้าจ้าวได้ฟังก็รู้สึกว่าบุตรสาวทั้งสองคนนั้นถูกหลี่ใต้เถาจัดการขั้นเด็ดขาดแล้วจริงๆ และก็แอบประหลาดใจในใจว่าเป็นไปตามที่ซูหนานอีพูดไม่มีผิด เกือบพลาดเบาะแสสำคัญนี้ไปแล้ว
เขาได้ถามถึงเรื่องนักพรตจิน ตระกูลหลี่ก็ไม่กล้าปิดบังอีก เพราะว่าได้ยินมาว่านักพรตจินมีเก่งกาจ จึงได้เชิญมาทำนาย แล้วก็ไม่มีอะไรจากนั้นก็ให้เงินเขาแล้วเขาก็ไป
ใต้เท้าจ้าวสอบถามแล้วก็ไม่ได้ความอะไร เลยกลับออกไปจากจวนตระกูลหลี่ ในระหว่างเดินทางกลับก็ครุ่นคิด คิดว่าเหมือนมีเรื่องบางอย่างปิดบังไว้อยู่
พอกลับมาถึงที่ว่าการก็สั่งให้คนพาแม่นางจิ่นมาพบ ก่อนหน้านี้ทั้งรีบเร่งและมีเรื่องโกลาหลอยู่บนถนน แม่นางจิ่นผู้นี้ก็ได้แต่ก้มหน้าผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูแทบไม่ได้เลย ตอนนี้พอถอยออกมาแล้วมองก็อดที่จะผงะไม่ได้
ใบหน้าของแม่นางจิ่นมีรอยแดงเต็มหน้า เหมือนกับเนื้อที่เน่าแล้วงอกเนื้อใหม่ขึ้นมา มีบางส่วนยังไม่งอกมาใหม่ และยังมีบางส่วนที่ผิวแตกดูแล้วน่าตกใจกลัว
แม่นางจิ่นรู้สึกได้ถึงสายตาของเขาก็ก้มหน้าลงเอามือกุมหน้าตัวเองไว้ “ใบหน้าของผู้น้อยทำให้ใต้เท้าตกใจกลัว”
ใต้เท้าจ้าวรีบทำหน้าให้กลับมาปกติดังเดิม แต่ในใจก็มีคำถามเกี่ยวกับก็ท่านเสนาบดีโจวที่สูงส่งอย่างมาก
“ไม่เป็นไร มีเรื่องอะไรที่เจ้าจะร้องขอความเป็นธรรม เจ้าก็พูดออกมาเถอะ!”
แม่นางจิ่นโขกหัวตัวเอง ฟุบไปกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ขึ้นมา
ทางฝั่งใต้เท้าจ้าวที่ไต่สวนอยู่นั้น ซูหนานอีกับหยุนจิ่งก็กำลังผ่านหน้าจวนตระกูลหลี่ไป
เดินทางผ่านครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่มีหลายคนเดินรวมตัวกัน มีเพียงบ่าวสองคนเฝ้าประตูที่กำลังซุบซิบกันอยู่
“เมื่อครู่เจ้าได้ยินหรือไม่ ฮูหยินร้องไห้อีกแล้ว นายท่านก็โกรธโมโหขึ้นมาอีกแล้ว”
“ใช่ๆ สองวันมานี้พวกเราต้องตื่นตัวสักหน่อย ห้ามแอบไปอู้งานเด็ดขาด” เจ้าว่าคุณหนูทั้งสองนี่ยังไงกัน หายตัวไปทั้งสองคนเลย”
“ไอ้หนุ่มที่มาจากบ้านนอก ข้าดูแล้วไม่ได้เรื่องอะไร ดีที่ฮูหยินหาคนไปรับเขามา”
ซูหนานอีชะลอฝีเท้าลง บ้านนอกอย่างนี้หรือ หรือว่าจะเป็นบัณฑิตหนุ่มที่หลี่จิ้งหว่านคบอยู่ นางได้รับจดหมายที่หลี่จิ้งหว่านฝากส่งไปให้บ้านนอก ผลปรากฏว่าพอไปถึงกลับว่างเปล่า บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นไม่อยู่บ้าน บ้านของเขานั้นจนมาก มีเพียงกำแพงล้อมสี่ด้านก็ไม่ถือว่าพูดเกินจริง อีกทั้งพ่อแม่จากไปนานแล้ว มีเพียงป้าของเขาที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ บ้านของเขา
ซูหนานอีสอบถามมาล้วนไม่รู้ว่าบัณฑิตหนุ่มหายไปไหน เดิมทีนางคิดว่าจะรอจนสืบจนได้เรื่องถึงจะกลับไปบอกกับหลี่จิ้งหว่าน ตอนนี้ดูแล้ว หาจนรองเท้าสึกก็คงไม่เจอ พอเห็นซูหนานอีเข้ามานางก็รีบเดินเข้ามาหาด้วยความดีใจ “คุณหนูซู”
“คุณหนูหลี่ อากาศร้องอย่างนี้ ท่านอย่าทำงานพวกนี้เลย”
หลี่จิ้งหว่านโดนแดดเผ่าจนหน้าแดงก่ำ หน้าผากปลายจมูกล้วนมีเม็ดเหงื่อย้อยลงมา “ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างถนอม ปกติงานอย่างนี้ข้าก็ทำ คุณหนูซูต้องการอันใด ก็สั่งข้ามาได้เลย”
ซูหนานอีมองนางยิ้มระรื่น ก็รู้สึกพอใจนางมากขึ้นอยู่ในใจ คนที่ในช่วงคับขันแต่ยังคงมองโลกในแง่ดี จะต้องมีจิตใจที่เปิดกว้างมาก
“คุณหนูหลี่” ซูหนานอีจูงนางมาในที่ร่ม “ท่านพักสักครู่เถอะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
หลี่จิ้งหว่านมองนางด้วยท่าทีสงสัย แต่ก็พอจะคาดเดาออกว่าเรื่องอะไรจากนั้นก็พยักหน้าตกลง
หยุนจิ่งก็เดินตามซูหนานอีเข้ามาในห้องของลู่ซือหยวน เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อ กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าตู้หนังสือ
ได้ยินเสียงเลยหันมาแล้วยิ้มให้กับซูหนานอี “เจ้ามาแล้ว”
หยุนจิ่งเห็นลู่ซือหยวนยิ้ม ก็รู้สึกอึดอัดในใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่เขาก็ไม่ได้ตระหนี่นำกล่องเย็นมาวางไว้บนโต๊ะเปิดออกแล้วหยิบจานใบเล็กออกมาวางบนโต๊ะ “นี่ ให้เจ้า”
ลู่ซือหยวนอึ้ง มือถือหนังสือมองจานใบเล็กแล้วก็มองเขา แล้วก็มองซูหนานอี
ซูหนานอีก็คิดไม่ถึง ยิ้มให้หยุนจิ่งตาหยี “หยุนจิ่งว่าง่ายจริงๆ”
พอได้ยินซูหนานอีชม ความรู้สึกที่หยุนจิ่งไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไรก็พลันหายไป เหนียงจื่อดีกับข้าที่สุดแล้ว ข้าถึงเป็นคนสำคัญที่สุดของเหนียงจื่อ!
พอมีความรู้สึกนี้ เขาก็ปอกเปลือกลิ้นจี่แล้วป้อนที่ปากของนาง “เหนียงจื่อกิน”
ซูหนานอีไม่มีท่าทีรังเกียจหรือขัดขืนก็จับมือของเขาแล้วกิน “หวานจริงๆ ของที่หยุนจิ่งป้อนอร่อยที่สุด”
หยุนจิ่งยิ้มอย่างพอใจ ซูหนานอีตบเข้าที่มือของเขา “ข้าต้องฝังเข็มให้เขา จิ่งเอ้อร์นั่งรอก่อน หรือเขียนหนังสือดีหรือไม่”
“ได้ จิ่งเอ้อร์จะรออย่างว่าง่าย”
ซูหนานอีก้มลงหยิบเข็มเงินออกมา ตรวจชีพจรของลู่ซือหยวนก่อน “ดูแล้วเซี่ยหร่านทำได้ไม่เลว ยาที่ใช้ล้วนเป็นยาที่ดีที่สุด ร่างกายของเจ้าฟื้นตัวได้เร็วมาก ผ่านไปสักพักก็สามารถรักษาหายแล้ว วันนี้ยังต้องทำเหมือนเดิม ฝังเข็มก่อนนะ”
ลู่ซือหยวนม้วนขากางเกงขึ้น เหมือนให้เห็นขาแล้วเอ่ยเสียงเบา: “เจ้าคิดจะยอเขาอย่างนี้ตลอดเลยหรอ”
ซูหนานอีเงยหน้าขึ้นมองเขา จ้องลึกไปใจแววตาสีนิลนั่น “ข้าจะต้องรักษาเขาให้หาย”
นางเม้มปากแน่น “แม้จะใช่ แต่ก็ไม่มีปัญหา เขาดีกับข้า ไม่คิดร้ายต่อข้า ดีต่อข้าด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะฐานะของข้า การแพทย์ของข้า เพียงเพราะว่าข้าเป็นข้า”
นางเหลือบตาลงแล้วฝังเข็มอย่างรวดเร็ว หน้าของลู่ซือหยวนก็ค่อยๆ ซีดลง เขากัดริมฝีปากไม่พูดอะไร
ที่จริงแล้วเขาอยากจะพูด ข้าก็เหมือนกัน
เพราะว่า เพียงเพราะว่าเจ้าเป็นซูหนานอีไง
พอฝังเข็มหมดแล้วก็ถือเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุด ซูหนานอีคุยกับเขาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ “ข้าไปที่วัดเจ้าแม่กวนอิมแล้ว สายลับที่แฝงตัวอยู่ในหุบเขาหมอเทวดาสืบมาได้พอสมควรแล้ว”
ลู่ซือหยวนเลิกคิ้วขึ้น “เป็นผู้ใด”
“ยังไม่แน่ใจ แม้ไม่ใช่เขา แต่ก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ข้าคิดหาโอกาสพาเจ้าไปยืนยันตัวเขาสักหน่อย”
ลู่ซือหยวนพยักหน้า “ได้ เมื่อไหร่”
“ยังไม่คิดไว้ ข้าต้องคิดหาวิธีก่อน ต้องรับรองว่าจะไม่สูญเสียแม้แต่น้อย หากต้องจับเขาจะเผยตัวตนของเจ้าไม่ได้ ไม่ต้องรีบ ค่อยเป็นค่อยไป”
ลู่ซือหยวนหลับตาลง “ข้าในตอนนี้ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย เจ้ามีวิธีใด ต้องการให้ข้าทำอะไร บอกข้ามาได้เลย”
“เจ้าถือว่าช่วยข้าได้มากแล้ว” ซูหนานอีถอนหายใจออกมาเบาๆ “พูดตามจริงข้าต่างหากที่ทำให้เจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
ลูซือหยวนเงยหน้าขึ้นมาให้ ขนตายาวสั่น “หนานอี เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าเดือดร้อนเลย ห้ามพูดอย่างนี้อีก”
แววตาเจ้าเล่ห์ของซูหนานอีก็ส่งมา “ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าก็ห้ามพูดว่าไม่สามารถช่วยข้าได้อะไรอย่างนี้อีก”
ลู่ซือหยวนถึงกับอึ้ง แล้วพยักหน้าเบาๆ
พูดมาถึงตอนนี้ ทันใดนั้นก็มีเงาสีขาวว๊าบมาจากบนฟ้า และทันใดนั้นก็เห็นปีกบินมาเกาะที่หน้าต่าง